“สนธิ” เผยเค้าลางสงครามจีน-สหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก จากคำเตือนของสีจิ้นผิง ในที่ประชุมกรรมาธิการความมั่นคงแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ให้เตรียมรับมือกรณีเลวร้าย ด้าน รมว.กลาโหมจีนก็ตอกหน้าสหรัฐฯ เต็มๆ ในที่ประชุม Shangri-La Dialogue ที่สิงคโปร์ แสดงท่าทีพร้อมชน ขณะอเมริกันเร่งปิดล้อมจีนทุกด้าน ทั้งส่งเรือรบ-เครื่องบิน เข้าไปยั่วยุจีนบริเวณช่องแคบไต้หวัน เตือนรัฐบาลไทยหากดำเนินนโยบายหละหลวม ประเทศจะกลายเป็นยูเครน 2
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเค้าลางของการเกิดสงครามในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกว่า ตลอดระยะเวลาหลายเดือนและหลายปีที่ผ่านมา ได้พูดผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เตือนทุกๆ ฝ่าย ตั้งแต่ยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ฝ่ายความมั่นคง เรื่อยมาจนกระทั่งถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกฯ และพรรคร่วมรัฐบาลที่กำลังวางแผนจัดตั้งรัฐบาลกันอยู่ ให้ระวังภัยสงครามใหญ่ที่อาจจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อถ้าเราดำเนินนโยบายด้วยความหละหลวม ประเทศไทยจะกลายเป็นสมรภูมิคือกลายเป็นยูเครน 2 เหมือนกับที่ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒนพิบูลได้พูดมา
สถานการณ์ต่างๆ ทางภูมิรัฐศาสตร์โลกมาประจวบเหมาะกับการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง และพรรคก้าวไกลมีนโยบายต่างประเทศที่ชัดเจนตามที่เขียนไว้ว่าจะเปิดประตูให้ฝ่ายตะวันตกนำโดยอเมริกาเข้ามาใช้พื้นที่ของไทยในการปิดล้อมจีน
“ผมเคยพูดเรื่องนี้มาแล้ว เอาเอกสารหลักฐานให้ดูว่าข้อความนโยบายพรรคก้าวไกลระบุชัดเจนว่า จะเลือกเป็นพันธมิตรทางด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา และตั้งเป้าในการเพิ่มทรัพยากรสำหรับการฝึกร่วมคอบร้าโกลด์ ที่จัดขึ้นในไทย พอผมออกมากล่าวเตือน หลายคนก็บอกว่า พอพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง ผมก็ปั่นกระแสสงครามให้คนกลัว บางคนถึงกับบอกว่าภัยสงครามและการแทรกแซงของชาติตะวันตกนั้นไม่มีอยู่จริง"
นายสนธิกล่าวต่อว่า หากบรรดาด้อมส้มทั้งหลาย แฟนคลับพรรคก้าวไกลทั้งหลาย ที่บอกว่าตัวเองมีความเป็นสากลเก่งภาษาอังกฤษกัน ลองไปติดตามข่าวสารการเมืองโลกจะพบความจริงที่ว่า สถานการณ์สงครามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใกล้ตัวเรามากจริงๆ และอาจจะปะทุขึ้นเมื่อไรก็ได้ ที่สำคัญที่สุดคือ เซเลนสกี และยูเครน พ่ายแพ้ให้แก่รัสเซียเร็วขึ้นเท่าไร ความเข้มข้นของการปั่นกระแสสงครามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งประเทศไทยนั้น จะยิ่งเข้มข้นและมีความรุนแรงมากขึ้น
ปลายเดือนที่แล้ว วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2566 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งชาติของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นการประชุมลับและเป็นการประชุมที่มีจำนวนคนไม่มากนัก แต่ก็มีข่าวหลุดออกมา และมีการแถลงอย่างเป็นทางการว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูดว่า ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด (Worst case scenario) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เตือนประเทศจีนให้เตรียมรับคลื่นลมที่กระหน่ำ โดยระบุว่าขณะนี้จีนกำลังเผชิญสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่ซับซ้อน และยากลำบาก
หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อฮ่องกง พาดหัวว่า "China facing 'more complex' security challenges, President Xi Jinping says, warns of 'worst-case' situation." แปลเป็นไทยก็คือว่า สี จิ้นผิง บอกว่าจีนกำลังเผชิญสถานการณ์ความท้าทายด้านความมั่นคงที่ซับซ้อน และเตือนว่าให้เตรียมรับมือกรณีที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือสงครามนั่นเอง
ทั้งนี้ ถามว่า "คลื่นลมกระหน่ำ" ที่สี จิ้นผิง กล่าวนั้น ถูกสื่อมวลชนตะวันตกแปลความว่า เป็นความขัดแย้งในทะเลรอบประเทศจีนและไต้หวัน แต่ความจริงแล้ว คำว่า "คลื่นลมกระหน่ำ" ที่สี จิ้นผิง กล่าวนั้นมาจากสำนวนภาษาจีนว่า 惊涛骇浪 [jīng tāo hài làng ] หมายถึงภยันตรายร้ายแรง หรือการต่อสู้ที่ดุเดือด ซึ่งไม่จำเป็นต้องสู้รบในท้องทะเล แต่หมายถึงการเผชิญหน้ากันในมิติต่างๆ ทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี
การออกมาเตือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งสัญญาณให้เห็นว่ารัฐบาลปักกิ่ง ณ เวลานี้ ตระหนักว่าสถานการณ์ด้านความมั่นคงในปัจจุบันไม่ใช่สงครามตามแบบที่ต้องรบกันด้วยอาวุธ แต่เป็นสงครามพันทาง ที่เรียกว่า Hybrid War ที่เราเจออยู่ขณะนี้ ซึ่งมีแนวรบอยู่ทุกๆ มิติ
ทั้งนี้ สี จิ้นผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งสูงสุดในกองทัพจีน คือตำแหน่งประธานกรรมาธิการความมั่นคง ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ รับผิดชอบเรื่องการแทรกซึมจากธุรกิจต่างชาติ รัฐบาลจีนได้เข้มงวดในการตรวจสอบการเข้าถึงและรวบรวมข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา บริษัทวิจัยของต่างชาติ ที่มีสำนักงานในประเทศจีน ว่าใช้ธุรกิจบังหน้าเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวกรอง ข้อมูลด้านเทคโนโลยี และ/หรือ ข้อมูลที่มีความสำคัญต่อจีนหรือไม่
การที่จีนมีนโยบายเช่นนี้ก็เพื่อรับมือกับการปิดล้อมของสหรัฐฯ และชาติตะวันตกในหลายมิติ เห็นได้จากอเมริกาใช้ 3 กระทรวงสำคัญ คือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ทั้งมิติด้านความมั่นคง การทูต และเศรษฐกิจ เพื่อปิดล้อมจีนในทุกด้าน
“เราไม่ต้องแปลกใจเลยถ้ารัฐบาลไทยจะเริ่มแสดงทีท่าเป็นปฏิปักษ์กับจีน แล้วจีนก็จะออกมาตรการกีดกันการท่องเที่ยว การส่งสินค้า มาตรการการตรวจสอบผลไม้ รวมถึงมาตรการเศรษฐกิจอื่นๆ กับไทย เพราะว่าภูมิรัฐศาสตร์ในยุคนี้ การปะทะกันนั้น อย่างที่เรียนให้ทราบว่ามันมีทุกมิติร่วมกันหมดเลย มิติทางความมั่นคง มิติทางการทหาร มิติทางการเศรษฐกิจ มิติทางเทคโนโลยี” นายสนธิกล่าว
จีนเคยมีปัญหากับเกาหลีใต้ตอนที่เกาหลีใต้จะเอาจรวดแพทริออต จรวดต่อต้านขีปนาวุธ ติดตั้งที่ประเทศเกาหลีใต้ และหันจรวดไปทางประเทศจีน จีนบอกชัดเจนว่าอย่า เกาหลีใต้ไม่เชื่อ จีนก็เลยสั่งปิดห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ซึ่งตั้งอยู่หลายสาขาในประเทศจีน คือ ล็อตเต้ (Lotte) ช่วงนั้นคนจีนเลิกใช้รถยนต์ของเกาหลี (เช่น ฮุนได) ไม่เข้าล็อตเต้ จนกระทั่งล็อตเต้ในประเทศจีนไม่มีคนเข้าเลย เพราะคนจีนเป็นคนที่ชาตินิยมมาก
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นด้วยว่ารัฐบาลจีนพร้อมจะใช้มาตรการตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ในทุกมิติ ไม่เพียงแค่การกระชับพื้นที่ภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่หมายถึงมาตรการการตอบโต้ทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีด้วย
วันที่ 21 พฤษภาคม ที่ผ่านมา สำนักงานความมั่นคงไซเบอร์ของจีนได้ประกาศให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดย “ไมครอนเทคโนโลยี” ซึ่งเป็นบริษัทชิป หน่วยความจำของสหรัฐฯ โดยระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศจีน ห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไมครอนเทคโนโลยีให้กับผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ เช่น หน่วยงานรัฐห้ามใช้ ผู้ที่ใช้บริการโทรคมนาคมห้ามใช้ ธนาคารและระบบสาธารณูปโภคของจีนก็ห้ามใช้
นี่คือมาตรการตาต่อตาและฟันต่อฟันที่จีนทำแบบเดียวกับสหรัฐฯ ที่ใช้มาตรการกีดกันเทคโนโลยีต่างๆ มาหลายปี มาตรการล่าสุดของจีนทำให้อเมริกาเดือดร้อนมาก ขนาดนางจีน่า ไรมอนโด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ออกมาโวยวายว่า จีนต้องการจะพุ่งเป้าเล่นงานบริษัทสหรัฐฯ โดยตรง
“นี่คือความเกเรของอันธพาลใหญ่ของโลก เพราะสหรัฐฯ เองกำหนดนโยบายเลยว่าห้ามส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ชิป ที่จีนสั่งมา เพราะว่าจะทำให้เทคโนโลยีจีนนั้นก้าวล้ำยุคออกไป ห้ามหมดเลยนะ ห้ามไม่ให้ซัมซุงส่ง ห้ามไม่ให้อินเทลส่ง ห้ามไม่ให้ TSMC บริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกของไต้หวันส่ง ห้ามหมดเลย จนกระทั่งจีนต้องพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง แต่พอจีนห้ามไมครอนของอเมริกาไม่ให้มาขายในจีน ก็โกรธเขา ทั้งๆ ที่ตัวเองห้ามทุกอย่างไม่ให้ส่งเข้ามาในประเทศจีน นี่คือลักษณะสันดานอันธพาลใหญ่ของโลกที่ชื่อสหรัฐอเมริกา”
รมว.กลาโหมจีนเตือนซ้ำ สหรัฐฯ ปะทะจีน จะสร้างความเจ็บปวดที่ไม่อาจทานทนได้ให้กับทุกประเทศ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า หลังจากคำเตือนของสี จิ้นผิง ผู้นำกองทัพจีน เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ก็มีการประชุม Shangri-La Dialogue ระหว่างวันศุกร์ที่ 2 ถึงวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่สิงคโปร์ พล.อ.หลี่ ซั่งฝู รัฐมนตรีกลาโหมจีน เพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ไม่กี่เดือนมานี่เอง ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมด้วย การมาครั้งนี้ของ พล.อ.หลี่ ซั่งฝู ถือเป็นการเปิดหน้าชกกับชาติตะวันตกอย่างชัดเจน เพราะฝ่ายจีนรู้ดีว่าเวที Shangri-La Dialogue เป็นเวทีของชาติตะวันตก เพราะจัดขึ้นโดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ International Institute for Strategic Studies หรือ IISS ซึ่งเป็นหน่วยงานของอังกฤษ
รัฐมนตรีกลาโหมจีนกล่าวในเวทีที่ประชุมในสิงคโปร์ ว่า มหาอำนาจบางประเทศกำลังพยายามจัดตั้งพันธมิตรทางการทหารเหมือนกับเป็นนาโตแห่งเอเชียแปซิฟิก เป็นการวางแผนจับประเทศต่างๆ เป็นตัวประกัน ทำให้เอเชียแตกแยก ร้าวฉานและเผชิญหน้ากัน
พล.อ.หลี่ ซั่งฝู กล่าวว่า บางประเทศ (หมายถึงอเมริกา) กำลังกระตุ้นชาติต่างๆ แข่งขันสะสมอาวุธ จงใจแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และตอนนี้แนวความคิดสงครามเย็นเริ่มหวนกลับมาแล้ว ทำให้เพิ่มความเสี่ยงทางความมั่นคงอย่างใหญ่หลวง
ถึงแม้ว่ารัฐมนตรีกลาโหมจีนไม่เอ่ยชื่อ แต่ก็เป็นที่รู้อยู่ว่าก็คืออเมริกานั่นเอง ที่วางยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ขยายอิทธิพลในเอเชียเพื่อปิดล้อมจีน ขยายอิทธิพลโดยการขอใช้ฐานทัพเพิ่มเติมในฟิลิปปินส์ ที่ตอนนี้มีอยู่ 4 ฐานทัพ ตั้งสำนักงานสาขานาโตที่ญี่ปุ่น ตั้งกลุ่มจตุภาคี QUAD ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย จัดตั้งกลุ่ม AUKUS ออสเตรเลีย อังกฤษ สหรัฐฯ ให้ออสเตรเลียฉีกสัญญาซื้อเรือดำน้ำจากฝรั่งเศส และแย่งสัญญาการผลิตเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ให้กับออสเตรเลีย มาเป็นของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
รัฐมนตรีกลาโหมจีน พล.อ.หลี่ ซั่งฝู กล่าวด้วยว่า อินโด-แปซิฟิกควรเปิดกว้างให้ความร่วมมือ ไม่ใช่แบ่งแยก เลือกข้าง พร้อมเตือนว่า อย่าให้ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมช่วงสงครามโลกที่ประเทศต่างๆ ถุกแบ่งแยกและปกครอง พร้อมกับกล่าวเตือนด้วยคำพูดที่ค่อนข้างแรงว่า ถ้าอเมริกาปะทะกับจีน จะสร้างความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะทนได้ให้กับทุกประเทศ
“ท่านผู้ชมครับ ถ้าวันนั้นเกิดขึ้นมา ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน เขาแค่เปิดประตูให้อเมริกาขนข้าวของ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นอุปกรณ์ทางด้านโน่นนี่นั่น อ้างไปเรื่อยๆ แต่ด้วยการหลับตาข้างหนึ่ง เพราะเป็นนโยบายรัฐบาล ให้ส่งอาวุธไปทางพม่า จีนก็สามารถจะใช้สงครามพันทาง ก็คือภูมิรัฐศาสตร์ บวก เศรษฐกิจ จีนก็บอกว่า จากนี้ไปผลไม้ไทยส่งออกต้องตรวจอย่างเข้มงวด มีอะไรผิดปกติหน่อยก็ไม่ให้เข้า นักท่องเที่ยวจีนที่กำลังจะเริ่มเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น บอกให้หยุดก่อน เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นมิตรกับจีนแล้ว ภูเก็ตเจ๊งไหม ? เจ๊ง พัทยาเจ๊งไหม ? เจ๊ง ภาคตะวันออกที่เลือกก้าวไกลไปทั้งหมดเจ๊งไหม ? ก็เจ๊งเช่นกัน นี่ผมแค่เตือนเอาไว้นะ ถ้ามันเกิดขึ้นวันนั้นแล้ว คุณไปถาม ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่คุณเลือกเข้ามา ว่าทำไม เกิดอะไรขึ้น พวกคุณถึงทำให้ประเทศเป็นอย่างนี้ แต่ที่สำคัญ คุณต้องถามปัญญาของคุณเองว่าคุณเลือกเข้ามาได้อย่างไร ไม่คิดหน้าคิดหลังเลย” นายสนธิกล่าว
บรรยากาศอึมครึม รมต.กลาโหมจีน ปฏิเสธที่จะเจรจากับสหรัฐฯ
กลับมาที่ Shangri-La Dialogue ที่สิงคโปร์ ก่อนหน้าการประชุมที่ Shangri-La Dialogue พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา พยายามขอหารือกับ พล.อ.หลี่ ซั่งฝู รัฐมนตรีกลาโหมจีน อ้างว่าเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด พล.อ.หลี่ ซั่งฝู บอกว่า ไม่ต้องการเจอ จับมือทักทาย ไม่ได้มีการหารืออะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว
สื่อทางตะวันตก และอเมริกา ตีข่าวว่าจีนไม่ยอมหารือกับอเมริกา สร้างภาพเหมือนอเมริกาเป็นพระเอกผู้น่าสงสาร และจีนเป็นผู้ร้ายที่ปฏิเสธสันติภาพ แต่กระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยสาเหตุที่รัฐมนตรีกลาโหมจีนปฏิเสธที่จะเจรจากับอเมริกา เพราะว่าอเมริกาต่างหากที่เป็นคนคว่ำบาตร พล.อ.หลี่ ซั่งฝู มาตั้งแต่ปี 2561 ขณะนั้นเขามีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการหน่วยพัฒนายุทโธปกรณ์กองทัพจีน ก่อนจะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม
โดยการคว่ำบาตรเขาอ้างว่าประเทศจีนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายอาวุธในรัสเซีย มาตรการคว่ำบาตรของอเมริการะบุว่า ห้ามพลเมืองสหรัฐฯ ทุกคนติดต่อกับผู้ที่ถูกคว่ำบาตร แต่พอประโยชน์ที่ตัวเองกำลังจะเสีย กลับหาข้ออ้างให้ตัวเองว่าการเจรจาในประเทศที่สาม คือสิงคโปร์ ไม่ผูกพันตามมาตรการคว่ำบาตรของอเมริกา
“ท่านผู้ชมเห็นหรือเปล่า นี่คือ Rules หรือกฎ ที่อเมริกามันตั้งขึ้นมา แล้วคุณพิธาบอกว่าประเทศไทยจะนับถือกฎต่างๆ เหล่านี้เป็นหลักการ ผมจะยืนตัวตรง หลังตรง เพื่อเคารพนับถือกฎ นี่หรือคือกฎ อะไรที่เป็นประโยชน์ กูแหกกฎได้หมด” นายสนธิกล่าว
โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ระบุว่า ถ้าจะเจรจากัน รัฐบาลอเมริกาต้องยกเลิกมาตรการที่ไม่เหมาะสมก่อน เพื่อแสดงถึงความจริงใจ ต้องสร้างบรรยากาศและเงื่อนไขที่จำเป็นจะต้องเจรจาต่อรองกัน
เราเห็นได้ชัดเลยว่าอเมริกาเป็นฝ่ายเล่นละครตีสองหน้ามาตลอด ด้านหนึ่งอเมริกาบอกว่าไม่ได้แสวงหาสงครามเย็นครั้งใหม่ และการแข่งขันต้องไม่เกินเลยจนนำไปสู่ความขัดแย้ง แต่ขณะเดียวกันก็ปิดล้อมจีนทุกด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ ในเมื่ออเมริกากลับกลอก มีพฤติกรรมตึหัวเข้าบ้านเช่นนี้ จีนก็เลยไม่เห็นความจริงใจและไม่จำเป็นต้องเจรจากับสหรัฐฯ
ดังตัวอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหนือน่านฟ้าทะเลจีนใต้ วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 กองบัญชาภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกของอเมริกาได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ขณะที่เครื่องบินสอดแนมของอเมริกาลำหนึ่งกำลังปฏิหน้าที่ตามปกติเหนือทะเลจีนตอนใต้ในเขตน่านน้ำสากล เครื่องบินขับไล่แบบ J-16 ของจีน ได้บินมาปาดหน้าเครื่องบินสหรัฐฯ ทำให้เครื่องบินอเมริกาสั่นสะเทือนจากอากาศแปรปรวน
อเมริการะบุว่า เครื่องบินจีนใช้ความก้าวร้าวที่ไม่จำเป็นใกล้เครื่องบินทหารสหรัฐฯ แล้วก็อ้างเลยว่า ทุกประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก มีสิทธิใช้น่านฟ้าสากลได้อย่างปลอดภัยตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในน่านน้ำช่องแคบไต้หวัน เสาร์ที่ 3 มิถุนายน กองเรือที่ 7 กองทัพสหรัฐฯ ส่งเรือพิฆาต ยูเอสเอส ชุง-ฮุน แล่นผ่านช่องแคบไต้หวัน พร้อมกับเรือฟรีเกต HMCS Montreal ของแคนาดา แล่นเข้ามาผ่านช่องแคบไต้หวัน เห็นชัดเจนเลยว่าเพื่อมายั่วยุจีน ฝ่ายจีนสังเกตเห็นเรือสหรัฐฯ และแคนาดา เข้ามาในพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นพื้นที่ของจีน เพราะว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ก็เลยตอบโต้โดยการส่งเรือลำหนึ่งเข้าประชิดเรือสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เหตุการณ์ดังกล่าวกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของอเมริกาออกมาโวยวายว่าเรือรบสหรัฐฯ และแคนาดา ปฏิบัติการเป็นประจำภายใต้เสรีภาพการล่องเรือในทะเลหลวง นายลอยด์ ออสติน กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า อันตรายอย่างยิ่งที่เรือจีนพุ่งปาดหน้าเรือพิฆาต ห่างไม่ถึง 140 เมตร เรียกร้องให้รัฐบาลจีนควบคุมการกระทำ
จีนตอบโต้อย่างไร ? จีนบอกว่าอเมริกา และแคนาดาจงใจยั่วยุ จากการร่วมกันเดินเรือผ่านช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเป็นน่านน้ำที่มีความอ่อนไหว พล.อ.หลี่ ซั่งฝู รัฐมนตรีกลาโหมของจีน ย้ำว่าจีนไม่ยอมให้อเมริกาและพันธมิตรใช้ข้ออ้างเสรีภาพในการเดินเรือเพื่อแสดงอำนาจบาตรใหญ่
มีการ์ตูนอันหนึ่งจะให้ดู ภาพกราฟฟิกล้อเลียนว่าเรือรบจีนเดินทางไปไกลมากถึง 6,969 ไมล์ หรือกว่า 1 หมื่นกิโลเมตร เพื่อไปยั่วยุเรือพิฆาตของสหรัฐฯ
ส่อซ้ำรอยอุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ย
นายสนธิกล่าวว่า ถ้าเราพิจารณาดูแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ วันนี้คลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับการย้อนรอยประวัติศาสตร์ไปเมื่อเกือบหกสิบปีที่แล้ว ที่เรียกว่า อุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ย หรือ Tonkin Bay ที่เวียดนาม เกิดขึ้นเมื่อปี 2507 (1964) เรือรบอเมริกาชื่อ ยูเอสเอส แมดด็อกซ์ (USS Maddox) อยู่ในระหว่างภารกิจข่าวกรองในอ่าวตังเกี๋ย ทำข่าวกรองตามฝั่งทะเลเวียดนามเหนือ อ้างตัวเองว่าถูกยิงใส่ สร้างความเสียหายให้แก่เรือ ตอร์ปิโดหลายลำที่ติดตามเรือ
ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีอเมริกาคือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี มีแผนจะถอนที่ปรึกษาที่เป็นทหารอเมริกันออกจากเวียดนาม แต่เขาถูกลอบสังหารในเมืองดัลลัส เมื่อปี 2506 เสียก่อน ลินดอน บี. จอห์นสัน ซึ่งเคยเป็นรองประธานาธิบดี ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน เขาเชื่อในทฤษฎีโดมิโน เลยต้องการให้อเมริกาเข้าแทรกแซงเวียดนามอย่างเต็มที่
เขาเป็นผู้เปิดฉากสงครามในเวียดนาม ในปี 2507 อเมริกาออกแถลงการณ์ว่า กองทัพเวียดนามเหนือโจมตีเรือรบสหรัฐฯ ที่ชื่อ ยูเอสเอส แมดด็อกซ์ ในอ่าวตังเกี๋ย นายจอห์นสัน ก็เลยเอาข้ออ้างนี้ไปขออนุมัติคองเกรส ด้วยมติที่ท่วมทันให้ใช้กำลังทหารได้ทันที เพื่อภารกิจที่เรียกว่า Gulf of Tonkin Resolution อเมริกาส่งกองทัพอากาศโจมตีเวียดนามเหนืออย่างหนัก หาเรื่องจะไปใช้ B-52 ลงไปถล่มเวียดนามเหนือ ต้นเดือนมีนาคม 2508 ทหารนาวิกโยธินอเมริกา 3,500 คน ถูกส่งขึ้นฝั่งเมืองดานัง เวียดนามใต้ เป็นหน่วยแรก โดยอ้างว่าเพื่อมาปกป้องฐานทัพอเมริกา
กรณีแบบนี้มันจะต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยสักวันหนึ่ง สมมุติว่ามีเรือลำหนึ่งมาจอด แล้วมีการระเบิดเรือ เข้าไปชน อเมริกาจะใช้ข้ออ้างตรงนี้เพื่อเข้าไปในประเทศนั้น
อเมริกาเรียกร้องให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ส่งทหารเข้าไปร่วมรบ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไทย นิวซีแลนด์ เฉพาะไทย ในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร อนุมัติให้กองทัพสหรัฐฯ ปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเป็นฐานทัพในการลำเลียงหน่วยรบไปยังจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในประเทศ การก่อสร้างด้วยเงินและควบคุมโดยทหารสหรัฐฯ
หลายสิบปีให้หลัง เดือนธันวาคม 2548 องค์กรความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา (USNSA) ออกมายอมรับว่าความจริงแล้วไม่ได้มีเหตุการณ์ในอ่าวตังเกี๋ยอย่างที่บอกเลย ที่เกิดขึ้นและเป็นสาเหตุให้อเมริกาอ้างความชอบธรรมในการโจมตีทางอากาศในเวียดนาม ประชาชนตายเป็นเบือเพราะการโกหกพกลม แล้วประเทศไทยในยุคนั้นดันให้อเมริกาใช้ฐานทัพที่อู่ตะเภาบินเข้าไปทำร้ายประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนกับมีโอกาสสูงที่จะมาใช้อู่ตะเภาเพื่อบินไปทำร้ายกบฏในพม่า หรือถ้าเกิดมีการปะทะกับจีน ก็จะใช้สนามบินอู่ตะเภาเพื่อบินไปปะทะกับจีน
ทั้งหมดนี้ เหตุการณ์ที่อ่าวตังเกี๋ย เป็นเรื่องราวที่ถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการทำสงคราม ไม่ต่างจากที่อเมริกาเปิดศึกในอิรัก อ้างว่าซัดดัม ฮุสเซน มีอาวุธทำลายล้างอานุภาพสูงในครอบครอง หลังจากที่เข้าไปทำลายล้างประเทศ ฆ่าซัดดัม ฮุสเซน เรียบร้อย หาอาวุธที่ร้ายแรงไม่เจอ แต่ที่เจอแน่ๆ และไปยึดของเขา คือบ่อน้ำมัน
เอกสารสำคัญที่สุดซึ่งเปิดเผยเรื่องข่าวเท็จที่อเมริกาอ้างเพื่อก่อสงครามในเวียดนามนั้น เป็นรายงานของนายโรเบิร์ต ฮันยอก (Robert J. Hanyok) นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งที่ปฏิบัติงานให้กับ USNSC เมื่อปี 2544 แต่รายงานชิ้นนี้ถูกเก็บเป็นความลับ ต่อมาอีก 4 ปี นาย Hanyok ได้ศึกษาเอกสารลับเมื่อปี 2507 สรุปว่าไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ฝ่ายเวียดนามโจมตีเรือรบอเมริการในวันที่ 4 สิงหาคม 2507 ตามที่มีการกล่าวอ้าง เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวกับความแตกต่างในเงื่อนเวลาของเหตุการณ์ตามที่หลายฝ่ายถกเถียงเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เขาระบุในรายงานของเขา
สรุปสภาคองเกรสก็อนุมัติให้ลินดอน บี.จอห์นสัน ใช้กำลังกับเวียดนามได้ ซึ่งเป็นการประกาศสงครามเวียดนามอย่างเป็นทางการ จากการสร้างข่าวและโกหกพกลมของอเมริกา
ประเด็นอยู่ที่ว่า เหตุการณ์การสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งและการปะทะโดยจงใจหรือไม่จงใจเช่นนี้ เกิดขึ้นถี่มาก เพราะอเมริกาเดินหน้าเต็มตัวเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก โดยนายโจ ไบเดน ตั้งงบประมาณสำหรับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นงบประมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึงยอดเงิน 315,000 ล้านบาท
อเมริกาจะกดดันพันธมิตรประเทศต่างๆ เพื่อสร้างนาโตแห่งอินโด-แปซิฟิก ที่จะเป็นสมรภูมิแห่งใหม่ ดุเดือดไม่แพ้ยูเครน ฝ่ายจีนก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสหรัฐฯ อย่างแน่นอน ก็จะมีการตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าสงครามเกิดขึ้นจริง แสนยานุภาพของจีนไม่ได้ด้อยกว่าอเมริกา เพราะจีนไม่ใช่เกาหลีเหนือ หรือรัสเซีย ที่ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกมาสวนสนามโชว์ชาวโลกอยู่ประจำ จีนเขาซุ่มพัฒนาเทคโนโลยีด้านกระทรวงกลาโหมอย่างรุดหน้า
นอกจากนี้แล้ว สงครามพันทางยังรวมถึงสงครามเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี จีนเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสอง มีทุนสำรองในประเทศมากที่สุดในโลก กว่า 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ จีนยังสามารถใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อสั่งสอนสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรต่างๆ ที่คิดจะเข้ามาร่วมนาโตแห่งอินโด-แปซิฟิก อย่างแน่นอน ซึ่งจะรวมไปถึงประเทศไทย ถ้านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ได้เป็นรัฐบาล เราคงจะได้เห็นเมืองไทยถูกแทรกซึม และในที่สุดจะกลายเป็นยูเครน 2
“ยูเครนตอนนี้อเมริการู้ว่าแพ้แล้ว กำลังจะโยนซากยูเครนให้ประเทศทางยุโรปรับผิดชอบ แล้วตัวเองมาปั่นกระแสสงครามในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก อย่างที่ผมก็เรียนให้ทราบแล้ว คนที่ไม่เชื่อผม หาว่าผมปั่นกระแส แหกตา อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก เปิดดิกชันนารีก็ได้
“ผมอ้างอิงข้อความจากสภาคองเกรส จากคณะกรรมาธิการความมั่นคงของอเมริกา จากคำให้การของนายโกเดค ที่ให้การต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศ ในวาระที่ต้องมารับตำแหน่งเป็นทูตอเมริกาในประเทศไทย ทั้งหมดนี้ และรวมหลายๆ อย่าง มันพูดชัดเจนเลยว่าประเทศไทยนั้น คือสถานีสุดท้ายที่อเมริกาต้องการนำมาใช้ในการปะทะกับประเทศจีน
“แล้ววันนั้น เมื่อประเทศไทยเกิดเหตุนั้นขึ้นมา พรรคก้าวไกล คอนด้อมส้ม และตลอดจนคอมเมนต์ของนักคอมเมนต์โง่ๆ ทั้งหลาย พวกคุณจะรับผิดชอบได้ไหม อย่ามาหาว่าผมสร้างหนังอีกเรื่องหนึ่ง ผมพูดเรื่องนี้มา ท่านผู้ชมที่เป็น FC ผม ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่เรื่อง "มองโลกมองเรา" สิบเอ็ดปีมาแล้ว ที่ผมพูด”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า เพื่อความยุติธรรม ประเทศไทยเข้ามาผูกพันกับนาโต มาตั้งแต่สมัยยุคนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ แล้ว แต่มาเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่ประหลาดใจมากๆ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นตัวที่ผูกอเมริกาไว้ ไปจับมือกับโจ ไบเดน ที่วอชิงตัน ดี.ซี. แล้วโจ ไบเดน ประกาศวันนั้นว่า สมาชิกอินโด-แปซิฟิก มีไทยอยู่ด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยิ้มหวาน เพราะได้ยืนข้างไบเดน แต่ไม่รู้หรอกว่านัยที่ไปยืนแบบนั้น แล้วไบเดนพูดว่า เมืองไทยเห็นด้วยกับการเข้าร่วมอินโด-แปซิฟิก นั่นคือการแสดงจุดยืนที่ไม่ถูกต้องอย่างมากในระบบภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
แล้วการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไปจับมือกับทรัมป์ ตอนนั้น และกับไบเดน ทีหลัง ก็ตกเป็นเหยื่อการซื้ออาวุธ ซื้อรถถังมา 6,000-7,000 ล้านบาท ต่อเนื่องมาถึงตอนนี้ เจอพรรคก้าวไกล
“คำถามมีอย่างนี้ครับ ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพยายามอ้างว่าตัวเองปกป้องสถาบัน หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นฝ่ายเจ้านั่นล่ะ กับฝ่ายก้าวไกล ซึ่งเป็นพวกมาร์กซิสต์ ซ้ายจัด ซ้ายตกขอบเลย ทำไมสองฝ่ายนี้ถึงมีจุดร่วมเดียวกัน คือเอากับอเมริกาทั้งคู่ ตลกไหม”
“วันนี้ผมกำลังจะสร้างแกนของการรักชาติขึ้นมา ชาติไทยต้องอยู่รอด และชาติไทยจะอยู่รอดไม่ได้ ถ้าเรามีทั้งอเมริกา และจีน เราต้องอยู่รอดด้วยตัวเราเอง โดยที่เราเป็นอิสระ แต่ถ้าจำเป็นต้องเลือกในที่สุด ถ้าหงายไพ่แล้วให้เลือกใบเดียว ผมจะเลือกจีน เพราะจีนไม่เคยรุกรานใคร จีนป้องกันตัวเองตลอดเวลา จีนไปที่ไหนต้องการค้าขายอย่างเดียว อเมริกาไปที่ไหน ไปเพื่อสร้างความวุ่นวาย เพื่อจะได้เข้าไปแทรกแซง เมื่อแทรกแซงได้ก็จะเข้าไปสูบเอาทรัพยากรทุกอย่างกลับเข้ามาใส่กระเป๋าตัวเอง …เลือกได้ ก็จะเลือกที่จะไม่เข้าข้างใครเลย แต่ถ้าเลือกไม่ได้ จำเป็นต้องเลือกประเทศเดียว เชื่อผมสิครับ เลือกจีน เราไม่เสียเปรียบ” นายสนธิกล่าว