“สนธิ” ย้อน 2 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์โลก บทเรียนการรื้อทำลายคุณค่าแบบเก่าเพื่อสร้างสังคมใหม่ตามอุดมการณ์ “คนเท่ากัน” กรณีปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนโดย “แก๊งสี่คน” ที่ใช้กลุ่มเยาวชนเรดการ์ดเป็นเครื่องมือ และกรณีเขมรแดงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนในชาติเดียวกัน สุดท้ายทั้ง 2 เหตุการณ์นำมาซึ่งความหายนะของชาติ ต้องใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อฟื้นกลับคืน
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โลก 2 เหตุการณ์ที่เป็นกรณีตัวอย่างนักการเมืองใช้มวลชนเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอำนาจให้กับตัวเอง ปลุกปั่นให้ประชาชนลุกขึ้นมาลบล้างค่านิยมเก่าๆ ที่ล้าหลัง บางแห่งก็อ้างว่าลบล้างอำนาจนิยม
สองเหตุการณ์นั้นคือการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน และทุ่งสังหารในกัมพูชา บทเรียนจากประวัติศาสตร์สองเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้พาประเทศ “หอมกลิ่นความเจริญ” อย่างคำกล่าวอ้างของผู้ต้องการอำนาจทางการเมือง แต่กลับสร้างหายนะภัยที่ต้องใช้เวลาเยียวยายาวนานถึงหลายสิบปี
พวกลูกหลานจีนในประเทศไทย ถ้าถามอากง อาม่า หรือพ่อแม่ ว่าทำไมถึงหอบเสื่อผืนหมอนใบรอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศจีนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในประเทศไทย คำตอบที่ได้จากหลายคนคือ หนีภัยการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน
การปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2509-2519 เป็นสิบปีแห่งความหายนะภัยบนผืนแผ่นดินจีนที่ก่อขึ้นโดยอดีตผู้นำรุ่นที่หนึ่ง คือ ประธานเหมา เจ๋อ ตง และคนใกล้ชิดที่เรียกว่า Gang of Four ซึ่งมีสมาชิก 4 คนคือ เจียง ชิง, หวัง หง เหวิน, จาง ชุน เฉียว และ เหยา เหวิน หยวน
ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรมมาจากความล้มเหลวของนโยบายการก้าวกระโดดไกล หรือ The Great Leap Forward ที่ประธานเหมา เจ๋อ ตง ต้องการเปลี่ยนประเทศจีนจากเศรษฐกิจการเกษตร เป็นอุตสาหกรรมอย่างเร่งรัด เช่นเดียวกับสหภาพโซเวียต แต่ว่านโยบายก้าวกระโดดไกลนี้ใช้แนวความคิดทางการเมืองอยู่เหนือหลักเศรษฐศาสตร์ สร้างภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ เกิดทุพภิกขภัย หรือความอดอยากครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ ในมนุษยชาติ มีคนเสียชีวิตถึง 55 ล้านคน
เมื่อนโยบายก้าวกระโดดไกลล้มเหลว เหมา เจ๋อ ตง ต้องการรักษาอำนาจของตัวเอง ให้ Gang of Four ปลุกปั่นเยาวชน สร้างการต่อสู้ทางชนชั้น เพื่อลบล้างสิ่งเก่าๆ 4 อย่าง คือ อุดมการณ์เก่า วัฒนธรรมเก่า นิสัยเก่า ค่านิยมเก่า คล้ายๆ กับสิ่งที่พรรคก้าวไกลกำลังทำอยู่นี้
กลุ่มยุวชนแดง หรือพวก Red Guard ถูกปลูกฝังว่า “คนเท่ากัน” จึงต้องกำจัด "4 เก่า" ที่เรียกว่า ซื่อจิ้ว ประกอบด้วย ความคิดเก่า ความเชื่อเก่า ค่านิยมเก่า ธรรมเนียมประเพณีเก่า ดังนั้น ต้องไม่เคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องมีความกตัญญู ความอ่อนน้อมถ่อมตนคือความล้าหลัง คล้ายๆ กับกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในไทยขณะนี้
ในช่วงเวลานั้นกลุ่ม Red Guard ลากตัวคนที่มีความคิดเก่าๆ ออกมาประจานในที่สาธารณะ แม้แต่พ่อแม่ ครูอาจารย์ ญาติพี่น้องตัวเอง ก็ไม่ละเว้น หลายคนถูกทรมานจนตาย อีกหลายคนทนความอัปยศอดสูไม่ได้ ก็ถูกกดดันให้ฆ่าตัวตาย คนในครอบครัว และเพื่อนฝูงหวาดระแวงกันเองว่าจะมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ ฝักใฝ่ทุนนิยม จารีตประเพณีดั้งเดิม คุณธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลายเป็นเรื่องล้าหลังที่ต้องถูกลบล้างให้หมดสิ้น
“มาในยุคสมัยนี้ ยุคดิจิทัล ยุคกูเกิล ไม่ได้เป็นยุคแบบ Red Guard แต่ก็ทำเหมือน Red Guard ก็คือใช้โซเชียลมีเดียลงทัวร์ไปกระทืบคนที่ไม่เห็นด้วย คุณวรวรรณ ธาราภูมิ เป็นตัวอย่างให้ดี คุณวรวรรณ ค้านในเรื่องนโยบายตลาดทุนของคุณศิริกัญญา โอ้โห ทัวร์ไปลงคุณวรวรรณ จนคุณวรวรรณไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไปเลย นี่คือการบูลลี่ แต่ผมบอกไปแล้วนะ คอนด้อมส้ม มาเลย! สำนักนี้ไม่เคยกลัวพวกคุณเลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตาย! เพราะพวกคุณมันไร้สาระ เด็กเมื่อวานซืน โง่แล้วอวดฉลาด” นายสนธิกล่าว
สิ่งที่กลุ่ม Red Guard ได้กระทำในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นต้นว่า เยาวชนถูกกระตุ้นให้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันต่างๆ ตั้งคำถามต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ลูกศิษย์ประณามครูอาจารย์ เด็กๆ ประณามพ่อแม่ ไม่มีศาสนา ศาสนาถูกมองว่าเป็นความงมงาย เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง วัด โบสถ์ มัสยิด ถูกปล้นสะดมและทำลาย นักบวชถูกจับกุมและส่งไปค่ายกักกัน พระถูกใช้ปืนข่มขู่ ทำลายวัดวาอารามของตัวเอง
โบราณสถาน โบราณวัตถุ มรดกทางวัฒนธรรม ถูกทำลายอย่างย่อยยับ จนมีคำกล่าวว่า โชคดีที่จอมพลเจียง ไค เช็ก ขนโบราณวัตถุจากพระราชวังต้องห้ามไปยังไต้หวัน หลังพ่ายแพ้สงครามกลางเมือง ไม่เช่นนั้นจีนคงไม่หลงเหลือมรดกทางวัฒนธรรมใดๆ ในการปฏิวัติวัฒนธรรม สุสานของพระมหาจักรพรรดิหลายพระองค์ถูกกลุ่มยุวชนแดงบุกเข้าไปปล้นทรัพย์สิน ขุดพระบรมศพมาย่ำยีและนำไปเผาทิ้ง ไม่ต้องศึกษาความรู้ ยึดถืออุดมการณ์ปฏิวัติก็เพียงพอ ห้องสมุดถูกทำลาย หนังสือถูกเผา โรงเรียนและมหาวิทยาลัยถูกสั่งปิด ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาจากประถมถึงมัธยมต้นเท่านั้น
นักการศึกษา นักวิทยาศาสตร์ และปัญญาชน ถูกมองว่าเป็นค่านิยมเก่า ถูกกวาดล้าง ทุบตีจนตาย ส่งไปยังค่ายแรงงานตามชนบท มีปัญญาชนที่เสียชีวิตไปตั้งเกือบ 1.5 แสนคน
ศิลปวัฒนธรรมกลายเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมืองและโฆษณาชวนเชื่อ นักเขียน/จิตรกร ถูกมองว่าเป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมเก่า ผู้กำกับภาพยนตร์ นักแสดง นักแต่งเพลง ถูกทรมาน จับขัง หรือส่งไปใช้แรงงาน ส่วนเครื่องดนตรีจากตะวันตก อย่างเปียโน หรือไวโอลิน ถูกทำลาย
เปลี่ยนชื่อถนน สถานที่ ผู้คนพากันเปลี่ยนชื่อตัวเอง ตั้งชื่อเด็กทารกที่เกิดมาให้สอดคล้องกับการปฏิวัติ มีการจัดตั้งกองกำลังกรรมกรติดอาวุธเพื่อตอบโต้กลุ่มนายทหารในกองทัพ ที่มองว่าเป็นปฏิปักษ์กับ Gang of Four และ Red Guard
กองกำลังกรรมกรติดอาวุธได้สนับสนุนกลุ่ม Red Guard ทำการสังหารหมู่ในหลายมณฑล ผู้ตกเป็นเหยื่อคือกลุ่มเจ้าของที่ดิน เกษตรกรที่ร่ำรวย ผู้ต่อต้านการปฏิวัติ ปัญญาชนที่ชั่วร้าย และกลุ่มอนุรักษ์นิยม รวมทั้งกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของกลุ่ม Red Guard
การสังหารหมู่ที่โหดเหี้ยมที่สุดอยู่ที่มณฑลกว่างสี กลุ่ม Red Guard สังหารผู้คน เอาเนื้อ เอาอวัยวะภายในของคนที่ถูกฆ่ามากินด้วย ประเมินว่าช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ผู้เสียชีวิตจากการสังหารหมู่ต้องมีอย่างน้อย 3 แสนคน
แก๊งสี่คน ได้ปลุกกระแสสังคมไร้ชนชั้น คุ้นๆ เหมือนที่พรรคก้าวไกลต้องการ เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง ปัญญาชนผู้มีการศึกษา นายทุนธุรกิจ ถูกประณามว่าเป็นศักดินา แม้แต่ผู้นำระดับสูงของจีนก็ตกเป็นเหยื่อของการกวาดล้างทางการเมืองโดยน้ำมือของกลุ่ม Red Guard เช่น หลิว เส้า ฉี, เติ้ง เสี่ยว ผิง ก็โดน นายพลเผิง เต๋อ หวย, สี จาง ซุน คือใคร ? บิดาของสี จิ้น ผิง ในหัวข้อว่า ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรค
สรุป สิบปีของการปฏิวัติวัฒนธรรมได้สร้างหายนะภัย ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศจีน มีผู้เสียชีวิต ถูกทรมาน ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หลายสิบล้านคน ต้องใช้เวลาตั้งหลายสิบปีเพื่อเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น
“เหมือนกับที่ว่า เมื่อให้พรรคก้าวไกลบริหารชาติแล้ว 1-2 ปีพินาศแน่ แล้วเราต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบกว่าปี หรือยี่สิบปี เพื่อฟื้นฟูสิ่งที่เสียหายไป”
กลุ่มยุวชนแดงที่ไม่ได้รับการศึกษา ไม่สามารถทำการงานได้ กลายเป็นภาระของสังคม เป็นกลุ่มที่ถูกตั้งฉายาว่า เป็นรุ่นที่หายไป
เศรษฐกิจประเทศจีนอยู่ในภาวะระส่ำระสาย เพราะปัญญาชนผู้เชี่ยวชาญ ถูกกำจัดจนเกือบหมดสิ้น ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่น โรงงาน ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าางๆ ขาดแคลนเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่พื้นฐาน สิ่งล้ำค่าทางประวัติศาสตร์หลายพันปีของจีนถูกทำลาย ถูกลักลอบนำไปขายต่างประเทศ อารยธรรมจีนเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่เหมือนกับยุคเผาตำราฆ่านักปราชญ์ในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้
คนจีนยุคนั้น ตอนนั้น กลายเป็นคนไร้ราก ขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ทั้งสถาบันทางครอบครัว ศาสนา หรือคุณธรรมพื้นฐาน ถูกลบล้างในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เหมือนกับนโยบายพรรคก้าวไกล
นักท่องเที่ยวจีนในช่วงแรกๆ ที่ถูกตำหนิว่าไม่มีมารยาท ส่วนหนึ่งก็เป็นผลตกค้างจากการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่วันนี้นักท่องเที่ยวจีนที่ไม่มีมารยาทก็ลดจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลจีนได้พยายามฟื้นฟูค่านิยมดั้งเดิม รวมทั้งใช้เทคโนโลยีใหม่ อย่างเช่น ระบบคะแนนคุณธรรม ขึ้นบัญชีดำประชาชนที่ทำให้ประเทศจีนเสื่อมเสียให้กับประเทศ นักท่องเที่ยวที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมจะถูกสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ
“จีนยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ฟังแล้วมันคล้ายๆ กับการปลุกม็อบสามนิ้วให้เกิดขึ้นเพื่อทำลายสิ่งเก่าๆ ให้หมดเลย ท่านผู้ชมว่ามันเหมือนกันไหม ? แล้ว Gang of Four มีใครล่ะ ? คิดดูเอาเองก็แล้วกัน มีอยู่ 4 คน ที่วางแผนเรื่องนี้อยู่” นายสนธิกล่าว
เขมรแดง เซ็ตซีโร่กัมพูชากลายเป็นทุ่งสังหาร
นอกจากการปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีนแล้ว ยังมีตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งที่แนวความคิด “คนต้องเท่ากัน” ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างสุดโต่ง คือเหตุการณ์ทุ่งสังหารในกัมพูชา ที่นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมรมากกว่า 2 ล้านคน หรือ 1 ใน 4 ประชากรกัมพูชาในขณะนั้น จากน้ำมือของเขมรแดง
เขมรแดงถือกำเนิดโดยกลุ่มปัญญาชนปารีส คือคนที่ไปเรียนฝรั่งเศส กลุ่มนักศึกษาชาวกัมพูชาที่ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาล ให้ไปศึกษาต่อในกรุงปารีสช่วงทศวรรษที่ 1950 พวกนี้ได้สมาทานแนวความคิดฝ่ายซ้าย จัดตั้งสมาคมที่มีนักศึกษาเขมรในปารีสเข้าร่วมราว 200 คน นอกจากนี้ ยังได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงพระนโรดม สีหนุ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เหมือนคนบางคนในไทยที่จบมาจากฝรั่งเศส เน้นในเรื่องของเสรีภาพ ภราดรภาพ ความเท่าเทียมกัน ทุกคนต้องเท่าเทียมกันหมด
สมาชิกคนสำคัญในกลุ่มปัญญาชนฝรั่งเศส ได้แก่ ชาลอธ ซาร์ หรือ "พอล พต" สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนช่างในกรุงพนมเปญ ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาล ไปศึกษาต่อด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ฝรั่งเศส
คนที่สองชื่อ "เอียง ซารี" ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยสีสุวัตถิ์ ในกรุงพนมเปญ ได้รับทุนการศึกษาเพื่อไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสด้านการพาณิชย์ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนไปเรียนทางด้านรัฐศาสตร์
"เขียว สัมพัน" ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยสีสุวัตถิ์ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์ สนิทสนมกับ "ฮู ยวน" นักศึกษาอีกคนหนึ่งของกลุ่มปัญญาชนปารีส ทั้งคู่เรียนจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีส และได้เขียนวิทยานิพนธ์ที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของกัมพูชานั้นพึ่งพาประเทศที่พัฒนามากเกินไป
คนที่สี่คือ "ซอน เซน" ศึกษาต่อในฝรั่งเศสด้านศึกษาศาสตร์วรรณกรรม มีความสนใจด้านยุทธศาสตร์การทหารอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1
คนสุดท้ายคือ "ฮู นิม" สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านกฎหมายจากฝรั่งเศส สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยพนมเปญ เขามีความสนใจเรื่องบทบาทการเงินของกัมพูชาที่ถูกภายนอกครอบงำ
นอกจากสมาชิกที่เป็นผู้ชายแล้ว ในกลุ่มปัญญาชนปารีสยังเชื่อมสัมพันธ์กันโดยให้ญาติพี่น้องผู้หญิงแต่งงานกับสมาชิกฝ่ายชายในกลุ่ม สมาชิกหญิงเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในระบอบการปกครองกัมพูชาหลังการปฏิวัติเขมรแดง
สาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้เชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์มาจากบริบททางการเมืองโลกในขณะนั้น การเคลื่อนไหวในแนวทางคอมมิวนิสต์กำลังเป็นวิถีที่ได้รับความนิยมและถูกนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของขบวนการคอมมิวนิสต์ในกัมพูชาต่อเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส การได้รับชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายต่อต้านในเกาหลี การเข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส เป็นต้น
รัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยภายใต้การนำของเขมรแดงอยู่ในอำนาจได้เพียง 3 ปี ก็ถูกโค่นล้มโดยกองกำลังที่สนับสนุนโดยเวียดนาม แต่สงครามกลางเมืองของกัมพูชายังยืดเยื้อไปนานอีกหลายปี จากการแย่งชิงอำนาจของเขมร 4 ฝ่าย ที่แต่ละฝ่ายก็มีแต่ละชาติหนุน
จนกระทั่งฮุน เซน, เฮง สัมริน และ เจีย ซิง ที่เวียดนามหนุนหลัง สามารถยึดกุมอำนาจในกัมพูชาได้อย่างสมบูรณ์ และกลายเป็น 3 สมเด็จแห่งกัมพูชาแห่งยุควันนี้
ความโหดร้ายของเขมรแดงถูกนำมาสร้างภาพยนตร์เรื่อง "ทุ่งสังหาร" หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า The Killing Fields คุกตวลสเลง ที่เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมรในเวลาต่อมา มีการจัดตั้งศาลพิเศษของสหประชาชาติเพื่อพิจารณาโทษอดีตผู้นำเขมรแดง แต่ว่าเกือบทุกคนตายไปเสียก่อน
เมื่อคนลืมราก ชาติจึงย่อยยับ
ทั้งสองเรื่องนี้ Red Guard กับ เขมรแดง ให้ข้อคิดอะไรบ้าง ? หายนะภัยการปฏิวัติประเทศจีน และเหตุการณ์ทุ่งสังหารในกัมพูชา อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเหตุการณ์สุดโต่ง แต่ว่ากงล้อประวัติศาสตร์หมุนเวียนซ้ำรอยตัวเองเสมอ โดยเมื่อผู้คนถูกสั่งสอนให้นับถือความเท่าเทียมกันมากกว่าความผูกพัน และเมื่อความกตัญญูรู้คุณคนถูกละเลยโดยอ้างว่าเป็นหน้าที่
ในวันนี้ประเทศจีนยังคงเป็นคอมมิวนิสต์ แต่เขารื้อฟื้นคำสอนปราชญ์โบราณ คือ "ขงจื๊อ" ที่กล่าวว่า "ความกตัญญูเหนือกว่าคุณธรรมทั้งปวง" แต่คนไทยบางประเภท ณ วันนี้ เวลานี้ กลับปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" แปลว่า "ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี"
“ท่านผู้ชมครับ คอนด้อมส้มครับ คุณพิธาครับ คุณปิยบุตรครับ คุณช่อ พรรณิการ์ครับ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจครับ ถ้าคนเราไร้ซึ่งความกตัญญู บ้านก็ไม่อาจอยู่ยั้ง ถ้าประชาชนไร้ซึ่งความภักดี ชาติก็ไม่อาจยืนยง เมื่อคนมันลืมราก ชาติเลยต้องย่อยยับ ครับ” นายสนธิกล่าว