“สนธิ” ชี้แนวคิดพ่อแม่ไม่มีบุญคุณต่อลูก ประเทศชาติ-สถาบันไม่มีบุญคุณกับประชาชน เป็นแนวคิดอันตราย ทำลายรากเหง้าสังคมไทย ปูพื้นฐานไปสู่การเป็นรัฐสวัสดิการตามนโยบายเพ้อฝันของพรรคก้าวไกล ที่ต้องใช้งบฯ ปีละเกือบ 7 แสนล้าน แต่ไม่ชัดเจนว่าจะหาเงินมาจากไหน เผยอยากให้ “พิธา” เป็นนายกฯ สัก 2 ปีรับรองประเทศไทยเจ๊งแน่
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการปั่นกระแสความคิดที่ว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ว่า ไม่ได้เป็นเหตุบังเอิญ แต่มีการสร้างพล็อต วางแผน บ่มเพาะทางความคิด ความเชื่อ ผลิตงานวิชาการ สอนหนังสือ ใส่ข้อมูลเพื่อปูทางกันไว้ล่วงหน้าแล้วเป็นสิบๆ ปี
นายสนธิ กล่าวว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เคยประกาศสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้ยกเลิกเรียกพี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา ในการให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ The MOMENTUM เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2559 ว่า “ต้องการจะสร้างวัฒนธรรมใหม่ โดยเริ่มจากในพรรค โดยให้เลิกเรียก พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา แล้วใช้แค่ "คุณ" กับ "ผม" เพื่อแก้ปัญหาอำนาจนิยม โดยนายธนาธรพูดว่า "ผมยังนั่งคุยกับพวกเขาอยู่เลยว่า ถ้าพรรคของเราเกิดได้เมื่อไร ในพรรคของเราอยากให้เลิกใช้คำว่า พี่ น้อง ลุง ป้า น้า อา อยากให้เลิกใช้คำพวกนี้ให้หมด สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก อะไรก็ตามที่อยากให้เกิดก็ตอ้งทำในพรรคก่อน เราต้องการยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งกีดกันโอกาส กีดกันความคิดสร้างสรรค์ของคน เรียกคนอื่นเป็นพี่ ป้า น้า อา เมื่อไร มันเป็นการเข้าไปอยู่โครงสร้างอำนาจนั้น เราจึงคิดว่า ใช้คำว่า คุณ ผม ดิฉัน สามคำเพียงพอแล้ว ให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่มีพี่ ไม่มีท่าน"
“คุณธนาธรครับ คุณพิธาครับ และพวกที่เป็นแกนนำพรรคก้าวไกล และที่บ้าคลั่งกับปรัชญาก้าวไกล ผมเชื่อว่าท่านผู้ชมที่ฟังอยู่ทุกวันนี้ รายการนี้ เป็นสังคมที่เท่าเทียม รังเกียจการแบ่งชนชั้น เห็นด้วยกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ (แต่ต้องมีหน้าที่ รู้จักหน้าที่ของตัวเอง และมีความรับผิดชอบ) รวมไปถึงเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ มันเป็นคำพูดที่พูดเมื่อไรก็ถูกเมื่อนั้น เป็นกระบวนทัศน์ของการปฏิวัติเก่า เขาท่องมาตั้งนานแล้ว”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ประเด็นสำคัญที่สุด เมื่อคุณต้องการสังคมที่เท่าเทียม เกลียดการแบ่งชนชั้น และต้องการสิทธิเสรีภาพ แต่คุณไม่ได้อบรมคนรุ่นใหม่ เยาวชนรุ่นใหม่ ให้รู้จักและเห็นความสำคัญของหน้าที่ และความรับผิดชอบ คุณไม่ได้อบรม คุณเพียงแต่บอกว่า เลิก ไม่ต้องเรียกพี่ ไม่ต้องเรียกพ่อแม่พี่น้อง ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรม เป็นรากเหง้าของสังคมไทย
“นี่คุณธนาธร และพวกก้าวไกล ลอกเลียนแบบแนวคิดเรื่องสังคมไร้ชนชั้นของฝรั่งมาแบบไม่ได้พิจารณารากฐานทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเป็นมาของประเทศไทย หรือของสังคมไทย พูดง่ายๆ ว่าพวกคุณลืมรากเหง้าของพวกคุณเอง หรือคุณเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ มันก็เลยส่งผลและก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสังคม เหมือนอยู่ๆ คุณเดินเข้ามาบอกว่าจะสร้างบ้านแบ่งเมือง สร้างวัฒนธรรมประเพณีใหม่ ต้องการเปลี่ยนความคิดใหม่หมด ทุบทำลายของเก่าให้สิ้นซากไปเลย สิ่งนี้สุ่มเสี่ยงและอันตรายมาก”
· พ่อแม่ไม่มีบุญคุณกับลูก?
นายสนธิได้กล่าวถึงคลิปวิดีโอที่เป็นไวรัลต้นฉบับเผยแพร่ใน YouTube ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เจ้าของช่องชื่อ นายน็อต สัณหณัฐ ช่อง YouTube ชื่อ "บ้านกูเอง" ในช่วงต้นคลิป นายน็อตบอกว่า การที่พ่อแม่เลี้ยงดูลูกให้ศึกษาคือหน้าที่ขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่บุญคุณ เป็นความรับผิดชอบ ไม่ต่างกว่าการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวที่ต้องให้อาหาร ให้ที่อยู่ ให้สภาพแวดล้อมที่ดี แต่เราก็ไม่ได้ไปทวงบุญคุณกับหมา แมว ซึ่งก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะพ่อแม่เลือกที่จะมีลูกเอง แต่พ่อแม่บางครอบครัวไม่ได้ดีขนาดนั้น ไม่ได้รักลูกเท่าบางครอบครัวที่เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวด้วยซ้ำ
นายน็อตบอกอีกว่า คำว่าบุญคุณจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเป็นบุคคลหรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีพันธะด้านการดำรงชีพต่อไป พ่อแม่นับเป็นบุญคุณไม่ได้ เพราะมีพันธะทำให้ลูกเกิดมาโดยที่ลูกไม่ได้เลือก ครูในโรงเรียนก็นับเป็นบุญคุณไม่ได้ เพราะมีพันธะ มีตำแหน่งเป็นครู และมีเงินเดือน รัฐบาลสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน ก็นับเป็นบุญคุณไม่ได้ เพราะได้รับภาษีจากประชาชน ได้รับเงินเดือน มีตำแหน่งหน้าที่
นอกจากนี้แล้ว นายน็อตยังอธิบายต่อว่า ที่นับเป็นบุญคุณได้ อย่างเช่น ญาติที่ไม่ใช่พ่อแม่ แต่เลี้ยงดูส่งเสียให้เรียน พี่ข้างบ้านมาช่วยติวหนังสือ เดินๆ อยู่คนไม่รู้จักเตือนว่าเราอย่าไปเหยียบขี้ พวกนี้นับเป็นบุญคุณได้หมด ต้องยอมรับว่า คำว่าบุญคุณใช้กับพ่อแม่ไม่ได้ แต่คำว่าบุญคุณไม่ได้มีผลกับการใช้ชีวิตในครอบครัวเลย คนในครอบครัวที่ทำดีต่อกันเขาเรียกว่าความรักไม่ใช่บุณคุณ
“ผมคิดว่าคุณน็อตเข้าใจอะไรผิดไปอีกเยอะเลย เมื่อเวลาที่แม่อุ้มลูก แล้วแม่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้ลูก แล้วลูกก็ยิ้ม หัวเราะร่าเริง พอลูกโตขึ้น ลูกหกล้ม พ่อและแม่เข้าไปดู ประคับประคอง ส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือ แน่นอน ลูกก็ต้องรักพ่อแม่สิ แต่ในความรักนั้นมันมีคำว่า "บุญคุณ" คุ้มกะลาหัว "ความรัก" อยู่ หลายๆ คนไม่ได้รัก หลายๆ คนได้รับการช่วยเหลือจากคนข้างนอก แล้วก็รู้สึกมีบุญคุณที่เขามีจิตใจมาช่วยเหลือเรา ก็เกิดความรักในตัวเขา ซึ่งเป็นความรักของคนที่ช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น "ความรัก" กับ "บุญคุณ" มันจะแยกกันได้อย่างไร คุณน็อต คุณนี่เลอะเทอะจริงๆ”
นายสนธิ กล่าว่าต่อ ว่าพอผ่านเวลาไปสองปี คลิปนี้ถูกนำมาแชร์ใหม่ มีการตัดลง TikTok สื่อต่างๆ เอาไปรายงานข่าว โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก วันที่ 24 พฤษภาคม ปลายเดือนที่แล้ว นายน็อตต้องออกมาแก้ตัว ระบุว่าที่พูดว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณ เพราะพ่อแม่ไม่ได้เป็นคนดีทุกคน บางคนเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี ก็ไม่ควรต้องชดใช้ พร้อมกันนั้นนายน็อตยังย้ำด้วยว่า การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ไม่ใช่หน้าที่ แต่มันเป็นความรัก สามัญสำนึกที่ลูกคนหนึ่งมีให้กับพ่อแม่ นี่เป็นการเล่นคำ
นายสนธิ กล่าวว่า คำว่า "บุญคุณ" ไมได้เกิดขึ้นในยุคนี้สมัยนี้ แต่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนเลยว่า เราต้องรู้จักในบุญคุณของพ่อแม่ และเมื่อต่อถึงบุญคุณแล้ว ก็มีคำพ่วงท้ายต่อ และมันเป็นกรอบเดียวกันหมด ก็คือ เราต้องมีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่เรา เหมือนกับเราต้องมีความรักและกตัญญูต่อแผ่นดินที่เราเกิด
ความคิดอันตรายฝังหัวคนรุ่นใหม่
นายสนธิกล่าวว่า ความเห็นทั้งหมดที่ดูคลิป 2 ตอน เป็นคลิปต้นฉบับ และที่ออกมาชี้แจงของนายน็อต "บ้านกูเอง" เจ้าของคลิป ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายเท่าไรนัก เพราะไม่ได้สุดโต่ง แต่เขาพาดหัวคลิปให้ดูรุนแรง จากเนื้อหาที่พูด นายน็อตก็เป็นคนที่ครอบครัวเลี้ยงดูมาดีพอสมควร รักแม่ รักครอบครัว
แต่ประเด็นอยู่ที่ ความคิดที่ว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณกับลูก ครูไม่มีบุญคุณกํบลูกศิษย์และนักเรียน ถูกปลูกฝังเข้ามาในความคิดเด็กในยุคนี้หลายๆ คนไปแล้ว โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ รวมทั้งเด็กและคนรุ่นใหม่ม็อบสามนิ้ว
“ความคิดนี้เป็นความคิดที่อันตรายมากต่อสังคม คุณจะเอาคนไปเปรียบเทียบกับหมา แมว ไม่ได้ เพราะความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ "นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา คือพุทธสุภาษิตที่แปลความหมายว่า "ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี” นายสนธิกล่าว
มีตัวอย่างการโพสต์ในโซเชียลจากกลุ่มต่อต้านสถาบันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งแพร่กระจายความคิดว่าประเทศชาติ สถาบัน ไม่มีบุญคุณกับประชาชน เพราะประชาชนทุกคนต้องจ่ายภาษี
ลามไปถึงการเลิกทาศของรัชกาลที่ 5 โดยคำนึงถึงแต่ว่าไม่ได้เป็นบุญคุณของรัชกาลที่ 5 แต่เป็นสิทธิความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว การโพสต์ดังกล่าวปราศจากการพิจารณาถึงบริบทของสังคมและประวัติศาสตร์ในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
“การเลิกทาส ถ้าพระองค์ท่านไม่ได้มีความเมตตากรุณาต่อประชาชนแล้ว พระองค์จะเลิกทาสไปทำไม จังหวะเหมาะที่พระองค์ท่านได้ไปเห็น แล้วความคิดพระองค์ท่านก็ก้าวหน้าว่ามนุษย์นั้นควรที่จะหมดสิ้นความเป็นทาสไป คุณไปดูที่อเมริกา ประเทศที่คุณนับถือเป็นบิดาของคุณ ทุกวันนี้ก็ยังมีทาสอยู่ไม่ใช่หรือ ? ทาสเงินไง ทาสวอลล์สตรีทไง ทาสบริษัทต่างๆ ไง”
บางคนก็ยังระบุว่า การสังคมสงเคราะห์เป็นการเอาบุญคุณมาแทนสิทธิที่พึงได้ นอกจากนี้ เด็กบางคนยังบอกว่าเรื่องบุญคุณพ่อแม่เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันของประเทศที่ไม่มีรัฐสวัสดิการ โดยเฉพาะในประเทศไทยของเรา คนที่มีความคิดของเรื่องระบบอาวุโส ระบบศักดินา ภาระต้องเลี้ยงดูพ่อแม่จึงตกมาที่ลูก เพราะว่ารัฐไม่ได้ดูแลพ่อแม่เหมือนประเทศที่เจริญแล้ว
“นี่คุณกำลังพูดถึงประเทศทางสแกนดิเนเวียใช่ไหม คุณไปดูที่อเมริกาสิ อเมริกา ประเทศที่คุณเชิดชูว่าเป็นประเทศที่เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของคุณ มันเคยดูแลประชาชนที่ไม่สบายไหม ไม่ มันให้ประชาชนไปซื้อประกันสุขภาพที่แพงหูฉี่เลย ถ้าไม่มีประกันสุขภาพก็ตายข้างถนน อ้าว ไหนบอกว่ารัฐจะต้องดูแลไง ก็ไม่ได้ดูแล”
ลบล้างความเชื่อเรื่องบุญคุณ ปูทางสู่รัฐสวัสดิการ
นายสนธิ กล่าวอีกว่า การปูพื้นฐานความคิดเรื่องสังคมเท่าเทียม สังคมไม่มีชนชั้น เราไม่ต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน เพราะประชาชนจ่ายภาษี ประเทศชาติจึงไม่มีบุญคุณกับประชาชน กษัตริย์ไม่มีบุญคุณกับประชาชน เพราะกษัตริย์อยู่ได้เพราะประชาชน เป็นการใส่ข้อมูลความคิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำลายความเชื่อรากฐานทางคุณธรรม ปั่นกระแสเรื่องราวเหล่านี้ผ่านสื่อต่างๆ ผ่านตำรา ผ่านนักวิชากาา ผ่านนักการเมือง ผ่านการเคลื่อนไหว ผ่านโซเชียลมีเดีย จริงๆ แล้วคือการปูทางไปสู่แนวคิดขอกงารสร้างรัฐสวัสดิการของพรรคก้าวไกล ที่ในวันนี้ประกาศแล้วว่าต้องการสร้างประเทศไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ
“ผมถามจริงๆ เถอะว่าแนวคิดรัฐสวัสดิการนั้น ผิดไหม ? ตอบได้ว่าไม่ผิด ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Welfare State เพราะในโลกนี้มีหลายประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการ แต่ที่จะผิดก็คือ การนำไปสู่รัฐสวัสดิการในแนวความคิดของพรรคก้าวไกลนั้น เริ่มต้นจากพื้นฐานที่ผิดพลาด คือเริ่มต้นบนพื้นฐานความต้องการจะทำลายสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และยังอยู่บนพื้นฐานการทุบทำลายประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีอันดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา
“ยกตัวอย่าง วันวิสาขบูชา ที่ผ่านมา ให้คนออกมาปั่นว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายขายเหล้าได้ตลอดวัน ยกเลิกการห้ามขายเหล้า ฆ่าสัตว์ในวันพระ เพื่อสร้างสังคมคนเท่ากัน อ้ายหรืออีคนนี้ที่คิด มันไม่ใช่มนุษย์ เพราะว่าจิตใจมันไม่มีความเคารพหลักศาสนาเลยแม้แต่นิดเดียว และมันก็ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนด้วย มันไม่ได้เคารพในพุทธศาสนา
"ขายเหล้าได้ตลอดวัน ยกเลิกการห้ามขายเหล้า ฆ่าสัตว์ในวันพระ" มันสร้างสังคมให้คนเท่ากันหรือเปล่า ? ทุเรศที่สุด และอำนวยความสะดวกให้คนซื้อเหล้าดื่มได้ทั้งวัน ซื้อได้ในวันพระ มันดีต่อสังคมอย่างไร ?
“แล้วพวกคุณพูดกันไม่ใช่หรือว่ากัญชามันไม่ดี ต้องเอากลับไปเป็นยาเสพติด ทั้งๆ ที่มันเป็นยารักษาโรคได้ ทุกคนต้องพึ่งพามัน โดยไม่ต้องพึ่งพายาฝรั่ง แถมยังเสพติดยากกว่าสุรา เบียร์ บุหรี่้ หรือแม้กระทั่งกาแฟ นี่คุณพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล พูดเองนะ แต่ทีสุรามีโทษมอมเมา คนเสียเงินเสียทอง ตกลงคุณจะเอาอย่างไรกันแน่”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า เรื่องรัฐสวัสดิการที่พรรคก้าวไกลออกนโยบายมาสวยหรู ตั้งแต่เกิด จนแก่ ใช้เงินมหาศาลไม่ต่ำกว่าเกือบ 7 แสนล้านบาท ทั้งเรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับ-ส่ง ผ้าอนามัยไม่เก็บ VAT แจกฟรีในโรงเรียน ทำงานค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการ ILO ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชย และค่าเดินทางหาหมอ เรียนเสริมทักษะ - เปลี่ยนอาชีพฟรีไม่จำกัด เงินผู้สูงวัย เดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท
“นี่คุณลืมไปแล้วหรือว่าคุณอยู่บนโลกมนุษย์ มันมีต้นทุน มันมีค่าใช้จ่าย แล้วคุณคิดว่า 6-7 แสนล้านบาท จะดูแลประเทศไทยทั้งประเทศได้หรืออย่างไร คุณหมอคนหนึ่งเพิ่งลาออกจากโรงพยาบาลรัฐ เพราะบอกว่ารับไม่ไหว กระทรวงสาธารณสุขยังยอมรับว่าหมอ 1 คน ต้องดูแลคนไข้ 2,000 คน 3,000 บาท ผมก็เป็นผู้สูงวัย ผมยังรออยู่ว่าเมื่อไรจะมาเสียที 3,000 บาท และผมเชื่อว่าไม่มา เพราะคุณไม่มีตังค์”
รัฐสวัสดิการโกหก
นายสนธิกล่าวว่า สรุปแล้วนโยบายรัฐสวัสดิการของพรรคก้าวไกลก็คือการโกหกหลอกลวงเพื่อให้คุณได้เสียงเข้ามา แล้วก็ทำไม่ได้ เช่น แจกเงินเด็กเล็ก 1,200 บาท ทุกเดือน เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับ-ส่ง ยังไม่เห็นเลยว่าจะมีรถรับ-ส่งทุกโรงเรียนได้อย่างไร ส่งจากไหน สมมุติอยู่ในเขตพระนคร มีนักเรียนไปเรียนหนังสือ แล้วจะส่งจากไหน ให้สิทธิลาคลอด 180 วัน หรือ 6 เดือน นายจ้างก็จะบอกว่า ให้ลาได้ไม่เกิน 3 เดือน ถ้าจะลา 6 เดือนก็อย่าอยู่ที่นี่เลย ไปทำงานที่อื่นดีกว่า
“คนที่เขียนนโยบายนี้ น่าจะมาจากโลกพระอังคารมั้ง มันไม่ดูข้อเท็จจริงเลย ท่านผู้ชมยอมรับกับผมไหมว่า เวลาเราจะทำอะไร เราจะต้องพิจารณาถึงความจริงก่อน ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว เราเข้าใจความจริงได้ เราแก้ปัญหาไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ แต่นี่ไม่ได้พิจารณาเรื่องความจริงเลย คือเขียนเพื่อให้ได้คะแนนเสียง” นายสนธิกล่าว
การดำเนินนโยบายสวัสดิการก้าวหน้าตั้งแต่เกิดจนตายของพรรคก้าวไกลต้องใช้เงินเกือบ 7 แสนล้านบาท ประเด็นที่สำคัญคือ จะเอามาจากไหน? เราจึงเห็นการอภิปรายเรื่องงบประมาณ 2566 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าต้องเป็นงบช้างป่วย เปรียบข้าราชการว่าเป็นช้างป่วย กระทบกระเทือนไปถึงข้าราชการบำนาญทั่วประเทศจำนวนหลายล้านคน ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา นายพิธาต้องรีบออกมาแก้ข่าว แก้ตัวว่าที่ตนพูดไปว่า "ช้างป่วย" นั้น ไม่ใช่ข้าราชการ แต่หมายถึงการบริหารจัดการงบประมาณภาษีต่างหาก
นอกจากนี้ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล เคยแจกแจงว่า เงิน 6.5 แสนล้านบาท เอามาจากไหน ผ่านการให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2566 ทำให้นักธุรกิจ นักลงทุนรายใหญ่-รายย่อย นักเศรษฐศาสตร์ ประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางจำนวนมาก ไม่เชื่อมั่นอีกต่อไป การเก็บภาษีทั้งหมดนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานจากการเพิ่มอัตราภาษีคนรวย ภาษีที่ดิน ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ชนชั้นกลาง ภาษีนิติบุคคล ตลาดทุน
แต่ไม่มีการแก้ไขไปที่การปรับโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ของภาษีที่เป็นสัดส่วนที่มากที่สุด สำคัญที่สุด ที่สำคัญเหล่าประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการในยุโรปนั้น ล้วนแล้วแต่เก็บภาษีในส่วนนี้ในอัตราที่สูงมาก ราว 19-25 เปอร์เซ็นต์ ด้วยกันทั้งสิ้น ภาษีมูลค่าเพิ่มไทยเก็บแค่ 7 เปอร์เซ็นต์ แต่พรรคก้าวไกลไม่ทำ กลับอ้างว่าเป็นภาษีที่ไม่เท่าเทียมกัน เพราะเก็บในอัตราเดียวกันระหว่างคนรวย-คนจน
“ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วคุณยอมรับหรือเปล่าว่า คุณไม่กล้าประกาศเก็บภาษี VAT เพิ่มขึ้น เพราะว่าคุณจะทำลายคะแนนเสียงทางการเมือง”
รัฐสวัสดิการก้าวไกล ทุบทำลายรากฐานสังคมไทย
นายสนธิเตือนว่า ความพยายามที่จะสร้างรัฐสวัสดิการนั้นไม่ผิด แต่การสร้างรัฐสวัสดิการด้วยจุดเริ่มต้นด้วยการกลัดกระดุมเม็ดแรกด้วยแนวคิดที่ว่าคนรวยกดขี่คนจน รัฐกดขี่ประชาชน สถาบันกษัตริย์เอาเปรียบประชาชน คนรุ่นใหม่ถูกผูกมัดและรั้งเอาไว้ ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา การเคารพผู้ใหญ่ บุญคุณ ความกตัญญูแนวคิดและวัฒนธรรมที่คุณเรียกว่าอำนาจนิยม ต้องถูกทุบทำลายให้สิ้นซากนั้น เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง และโคตรจะไม่ถูกต้องเลย
“ที่น่ากลัวคือเมื่อความคิดนี้แพร่หลายแผ่กระจายออกไป เมื่อพ่อแม่ไม่มีบุญคุณกับลูก ครูบาอาจารย์ไม่มีบุญคุณกับนักเรียน/ลูกศิษย์ ประเทศชาติไม่มีบุญคุณกับประชาชน ข้าราชการเป็นแค่ลูกจ้างประชาชน เพราะรับเงินเดือน สวัสดิการ กษัตริย์ไม่มีบุญคุณกับพลเมือง เพราะทุกคนต้องมีหน้าที่ต้องทำอยู่แล้ว และได้ผลตอบแทนที่ควรจะได้อยู่แล้ว นี่คือการทุบทำลายความเชื่อ คุณธรรมขั้นพื้นฐานของสังคม
“เหล่านี้คือหัวเชื้อทางความคิดที่จะนำสังคมไปสู่ความวุ่นวาย เพราะสังคมไทยนี้มีความหลากหลาย คนที่เขาเชื่อเรื่องใด ศรัทธาเรื่องใด แต่ถูกพวกคอนด้อมส้มไปรุมถล่ม บูลลี่ ด้อยค่า ใส่ร้าย เหล่านี้จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ความเสื่อม และสุดท้าย เชื่อผมสิครับ พวกคุณจะนำไปสู่การล่มสลายของประเทศชาติในที่สุด จากความที่โง่แล้วอวดฉลาด หลอกประชาชน เพื่อให้เขาลงคะแนนเสียงให้คุณ แล้วทำตามอุดมการณ์เฮงซวยของคุณ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ผมยังเคยคิดเลย ความจริงแล้วผมอยากให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า สมมุติว่ารอดไป ผมอยากเห็น ไม่เกิน 2 ปี เชื่อผมสิ ประเทศไทยฉิบหายแน่นอน” นายสนธิกล่าว