xs
xsm
sm
md
lg

ฟังระหว่างบรรทัด "เรืองไกร" พูดถึงยื่นสอบ "พิธา" คุณสมบัติ ส.ส.-นายกฯ ย้ำไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ย้อนฟัง "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" ยืนยันยื่นสอบพิธาปมถือหุ้นสื่อไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด เพราะยื่นก่อนวันเลือกตั้ง ไม่รู้ว่าพรรคก้าวไกลจะชนะกว่า 150 เสียง ย้ำร้องเรื่องคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ส่วนความเป็นหัวหน้าพรรคมีผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความชัดเจนว่าจะขาดคุณสมบัติหริอไม่

วันนี้ (10 มิ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ในรายการสนามข่าว 101 ทางสถานีวิทยุเอฟ.เอ็ม.101 เมกะเฮิร์ตซ์ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา ปฏิเสธว่ากรณีการตรวจสอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดหรือเป็นการจัดฉาก ส่วนที่ว่าเป็นการร้องสกัดไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ตามที่เห็นข้อมูลและค้นหาหลักฐานจากส่วนราชการประมาณ 3-4 วัน และได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 10 พ.ค. ก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะยังไม่นับคะแนน กระทั่งวันที่ 14 พ.ค. เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป

"ถามว่าวันที่ 10 พ.ค. จะรู้ว่ามี 14 ล้านเสียง ส.ส. 151 คนไหม ใครรู้? พรรคเพื่อไทยบอกว่าแลนด์สไลด์ ทุกคนก็เข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยจะมา นโยบายเงินดิจิทัล อะไรต่ออะไร แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยออกมาลักษณะอย่างนี้ ตัวเลขกลมๆ 140 เสียง พรรคก้าวไกล 150 เสียง เพราะฉะนั้นวันนี้คะแนนพรรคก้าวไกลเขามาของเขาเอง สมัยปี 62 เรายังคิดว่าได้จากพรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อไทยครั้งนี้ได้น้อยลงตามสัดส่วน ส่งเต็ม 400 เขต บัตร 2 ใบ ยังได้แค่นี้ สูงกว่าคราวที่แล้วซึ่งเขตอย่างเดียว 130 กว่าเสียง พรรคเพื่อไทยเขาถือว่าไม่ประทับใจ ผิดหวัง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างถามว่า ผมจะไปสกัดอะไร ผมไปยุ่งอะไรที่คุณเขียนว่า คุณจะไปรื้อทุนผูกขาด คุณมีนโยบายจะให้ทุกคนเท่าเทียม LGBTQ ที่คุณเดิน ไปโฆษณาร่วมกิจกรรมกัน

หรือผมไปเกี่ยวอะไรกับว่า ฟ้องแล้วคุณจะรวมเสียงให้ได้ 376 เสียง ถ้าคุณได้ 376 เสียงคุณก็ไม่ต้องกังวล คุณก็ไปขอว่า กกต. รับรอง ส.ส. ร้อยละ 95 เมื่อไหร่ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญต้องเปิดประชุมสภา ต้องตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้ ส.ส. เลือกประธานสภาฯ เมื่อมีประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ก็เลือกนายกรัฐมนตรี กระบวนการตรวจสอบก็เดินคู่ขนาน ไม่ได้หมายความว่าขณะที่ร้อง คุณจะเอาเรื่องนี้ไปบอกว่า คุณเรืองไกรร้องอยู่ เพราะฉะนั้นโหวตไม่ได้ คุณเขียนบทความคุณเอง คุณเขียนโพสต์เองว่า อย่าไปเสียเวลา เดินหน้าทำงานการเมืองต่อไป เกือบจะทุกครั้ง

แต่วันนี้พอการให้ข้อคิด ข้อแก้ ตามข้อกล่าวหามันหลากหลาย เพราะฉะนั้นจะรอดไม่รอด คิดว่าเห็นตั้งแต่ปี 62 แล้วทำไมมาแจ้ง ป.ป.ช. เพิ่มเติม ถ้ารู้ตั้งแต่ปี 62 ณ วันที่ 25 พ.ค. 2562 ทำไมไม่แจ้งหุ้นไอทีวี ผมบอกว่าไม่เห็น คุณก็บอกว่ายื่นเพิ่มเติม ผมถามว่าเมื่อไหร่ วันนี้ดูเว็บ ป.ป.ช. ทุกวัน ขึ้นชื่อนายพิธาเมื่อไหร่ผมจะตามดู พอคุณยื่นหลังสุด มี.ค. 66 วันยุบสภาคุณมีหน้าที่ต้องยื่นภายใน 60 วัน แต่คุณบอกว่ามาสละหุ้นไอทีวีวันที่ 6 มิ.ย. ข้อเท็จจริงตรงนี้ไม่ได้ทำให้การยื่นบัญชีทรัพย์สิน ณ วันที่ 20 มี.ค. เปลี่ยนไป เวลาอ่านกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายต้องสันทัดจัดเจน คนที่ไม่สันทัดจัดเจนอ่านเสร็จก็มาทื่อๆ ไม่ดูหน้าดูหลัง ดูบนดูล่าง ดูซ้ายดูขวา สู้กี่ทีก็ไม่ชนะหรอก"

เมื่อถามว่า มีความพยายามที่จะให้ไอทีวีกลับมาเป็นสื่อ ซึ่งนายพิธากล่าวว่า เขาไม่ได้มีความคิดว่าไอทีวีเป็นสื่อมานานแล้ว แต่มีความพยายามที่จะทำให้ฟิ้นมาเป็นสื่อ นายเรืองไกรมองว่าเป็นสื่อหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นายพิธาเขียนเฟซบุ๊กบอกว่า ผมไม่อธิบาย ให้ฝ่ายกฎหมายดูแล้วไม่หนักใจ ยังไม่เห็นคำร้อง กกต.ยังไม่เรียก แต่พอถามว่าหุ้นจำหน่ายจ่ายโอนหรือซื้อขายกันหรือไม่ กลับโพสต์เฟซบุ๊กอีกลักษณะหนึ่ง ทำไมคุณไม่รอให้ กกต.ถาม ไม่รอให้เห็นคำร้อง แต่ไม่เป็นไร คุณเขียนเดี๋ยวผมส่งให้อาทิตย์หน้า หรือผมจะเอาเรื่องนี้ส่ง กกต. ว่าเมื่อผู้ถูกร้องแสดงข้อแก้ต่างในเฟซบุ๊กตัวเอง ผมก็ส่ง กกต.ให้ด้วย ไม่ดีเหรอ เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบไป

เมื่อถามว่า ส่วนตัวตกลงไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนเชื่อตามเอกสารที่ส่วนราชการขึ้นหัว และขอหนังสือรับรองเขามา ตนคัดหลักฐานบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นส่วนราชการ ถ้าไม่เชื่อหลักฐานของทางราชการ ไปเชื่อความเห็นตามโซเชียลฯ ตามติ๊กต็อกได้เหรอ พวกนั้นเป็นพยานอะไร ทางราชการเขาเขียนธุรกิจสื่อ ตนก็ไปดูวัตถุประสงค์ แล้วก็ไปส่ง กกต. นายพิธาโพสต์เฟซบุ๊กตนก็ไปส่งให้ แต่ตนไม่เอาความเห็นบ้าๆ บอๆ ของคนอื่นไปส่งหรอก มันรบกวนคดีเขา พวกทะแนะคิดนั่นคิดนี่แล้วพูดนอกกรอบ นอกอะไร คุณยังเห็นหลักฐานทั้งสองฝ่ายไม่ครบ คุณก็แสดงความเห็น ศาลยังไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาก็บอกว่ายึดมาตรฐานนั่น ยึดมาตรฐานนี่ แล้วคุณเคารพกติกาทำไม เป็นอาจารย์ เป็นดอกเตอร์ เป็นศาสตาจารย์ ทำสังคมไขว้เขวหมด เพ้อเจ้อ

เมื่อถามว่า การที่นายพิธาโอนหุ้นออกไปแล้วจะมีผลต่อคุณสมบัติ ส.ส. หรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า มีสองส่วน ส่วนแรก สิ่งที่แสดงความคิดเห็นส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่ของ กกต. คุณเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ไต่สวนเหรอ อีกส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา เพราะว่าเสนอประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. มีดุลยพินิจของเขาพิจารณา แต่คุณไปเอาสิ่งที่คุณชอบใจ ถูกใจมาชี้นำและเข้าข้าง คุณกังวลว่าเรื่องนี้จะทำให้คนที่คุณชอบ คุณถูกใจมีปัญหา คุณก็แสดงเหตุผลกันออกมาเรื่อยเปื่อย ผมก็นิ่งๆ ผมก็ไม่ได้สนใจ หรือคนที่บอกว่าคนนี้ไป ผมก็ไม่ได้สนใจ ผมก็ทำเอกสารหลักฐานที่ควรเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของเจ้าพนักงาน คือ กกต. ของคนตัดสิน คือ ศาลรัฐธรรมนูญ

กกต. จะมอง จะขยายกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างไร ก็เป็นเรื่องของอำนาจหน้าที่ของเขา ถ้าเขาทำตามอำเภอใจ ฟังเสียงคนโน้นคนนี้ เขาก็ถูกดำเนินคดีมาตรา 157 หรือบางคนบอกว่าศาลต้องตีอย่างนั้น ตีอย่างนี้ ผมถามว่าอ่านกฎหมายวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญหรือยัง คุณเคยอ่านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญทุกคำสั่งไหม คุณเคยเก็บคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบันไหม คุณไม่เคยมีหรอก คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคำวินิจฉัยที่อยู่ในเว็บไซต์ศาลฎีกา และอยู่ในราชกิจจานุเบกษา คุณเคยเก็บไหม เคยศึกษาหรือเปล่า คุณหยิบเฉพาะประเด็นแล้วคุณก็พยายามชักนำคดี ชี้นำคดี ครอบงำคดี แล้วก็มาด้อยค่า หาว่าผู้ร้องเคยมีพฤติการณ์อย่างนี้ มันไม่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีเลย กล่าวหาว่าตนเคยมีรถเบนซ์ ผู้ใหญ่ใจดี กกต. ก็ไม่พิจารณา คือพวกคุณกังวล อาการมันออกไง อาการวิตก วิจารณ์ เมื่อวิตกวิจารณ์เกิดในจิตมันก็เพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน ลังเล สงสัย

ในตอนหนึ่ง นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนร้องนายพิธาต่อ กกต. ในฐานะผู้สมัครเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลก่อน เพราะเป็นลักษณะต้องห้ามทั้งสองสถานะ ข้อเท็จจริงตัวเดียว การถือหุ้นสื่อ 42,000 หุ้น มีผลต่อผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล คือ 2 สถานะ ซึ่งต้องวินิจฉัยประเด็นนี้ให้ขาดเสียก่อน ส่วนประเด็นหัวหน้าพรรค ถ้าข้อกล่าวหานี้นายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นไอทีวี และมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ทำให้สิทธิสมัคร ส.ส. หรือสมาชิกภาพสิ้นไป นายกฯ ถือว่าไม่มีการเสนอ เราจะเอาผลตรงนั้นเป็นประเด็นวินิจฉัยว่าตั้งแต่ปี 2562 นายพิธาต้องสิ้นสภาพ ส.ส. และต้องคืนเงินหรือไม่ และในปี 2563 ที่เขียนข้อบังคับพรรคก้าวไกล ระบุว่าต้องไม่ถือหุ้นสื่อ นายพิธาขาดสมาชิกภาพพรรคตั้งแต่ปี 2563 ใช่หรือไม่ เมื่อขาดจากสมาชิกพรรคตั้งแต่ปี 2563 ต้องขาดจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคใช่หรือไม่ ลงนามรับรองงบการเงินของพรรคก้าวไกลส่ง กกต. ตั้งแต่ปี 2563-2566 ได้หรือไม่ และปี 2566 ส่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.แบบแบ่งเขตได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นต้องรอก่อนว่าถ้านายพิธารอด ซึ่งต้องฟังคำตัดสิน ไม่ใช่ฟังโซเชียลฯ หรือกองเชียร์ แล้วถึงจะบอกว่ารอดประเด็นอื่นก็ไม่วินิจฉัย ก็ไม่มีผลให้ต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าไม่รอด อันนี้ย้อนแน่


กำลังโหลดความคิดเห็น