“สนธิ” เตือนความจำ “พิธา” เคยเดินรณรงค์ปลดล็อกกัญชา บอกติดยากกว่ากาแฟ ต้องทำให้เสรีขึ้น เปิดโอกาสให้คนป่วยเข้าถึง แถมย้ำศีลธรรมสำคัญกว่ากฎหมาย มาวันนี้กลับคำต้องให้เป็นยาเสพติด นี่แค่เรื่องกัญชายังโกหกหน้าตาย เรื่องอื่นๆ ประชาชนจะเชื่อได้หรือ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้เตือนความจำนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่เรียกตัวเองว่าเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และยืนยันว่าจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง ทั้งในบันทึกความเข้าใจร่วม หรือ MOU ในจัดตั้งรัฐบาลระหว่าง 8 พรรค ซึ่งนายพิธาเป็นแกนนำ ข้อ 16 ก็ระบุว่า จะนำกัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดให้โทษ โดยการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข
นายสนธิกล่าวว่าได้เคยทักท้วงและเตือนนายพิธาไปแล้วในรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ EP.189 วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 ว่า“คุณจะโกหกพ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย คุณกี่เรื่องก็แล้วแต่ แต่อย่าโกหกประชาชน”เพราะการโกหกประชาชนนั้นจะเป็นบาปกรรมที่ใหญ่หลวงมาก
โดยในวันนั้น ได้ยกตัวอย่างถึงการพูดกลับไปกลับมาของนายพิธาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกเลิก-แก้ไข กฎหมายอาญามาตรา 112 เรื่องการเดินทางกลับมาร่วมงานศพพ่อในปี 2549 นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเห็นและนโยบายกัญชาที่นายพิธาเคยพูดไว้เมื่อปี 2562 แต่วันนี้มาพลิกกลับเป็นอีกอย่าง
2562 ถึง 2566 “พิธา” พูดกลับไปกลับมาเรื่อง “กัญชา”
วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 ก่อนเลือกตั้งokpพิธา ไปพูดกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ขณะหาเสียงที่ตลาดนกฮูก จ.นนทบุรี ถึงจุดยืนเกี่ยวกับประเด็นกัญชาว่า“ไม่เอากัญชาเสรี ไม่เอากัญชาเสรีสุดโต่ง ไม่เอากัญชาเสรีสุญญากาศ เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แล้วควบคุมให้ประโยชน์มากกว่าโทษ ชัดพอไหมครับพี่”
แต่หากย้อนกลับไปในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เมื่อ 4 ปีก่อน วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2562 นายพิธากล่าวปราศรัยเรื่องนโยบายกัญชา ในงานปิกนิกอนาคตใหม่ ในสวนเบญจกิติ เนื้อหาคำปราศรัยสรุปได้ว่า“อันดับแรก เราต้องคิดก่อนว่ากัญชา ไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป เวลาเราพูดเรื่องนโยบายยาเสพติด กัญชาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นอีกต่อไป
“วิธีคิดของผมเกี่ยวกับกัญชา ก็คือ ประเทศไทยจะต้องเป็นเมดิคัลฮับและก็เป็นทัวริซึมฮับเกี่ยวกับกัญชา อันดับ 1 ของเอเชียให้ได้ นั่นคือปลายทางที่เราต้องการ
“ประเทศไทยจะต้องเป็น 1 ใน 5 ผู้นำเกี่ยวกับเรื่องกัญชา มีออสเตรเลีย แคนาดา อเมริกา เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล และก็ต้องมีไทยอยู่ในนั้นด้วย เพราะว่ากัญชาไทยดีที่สุดในโลกแน่นอน ในเรื่องของศักยภาพ
“เรามีความจำเป็นจะต้องบริหารมันให้ถูกต้อง เมื่อปลายทางเราคิดไว้แล้วว่าเราจะเป็นผู้นำของเอเชีย จะเป็น 1 ใน 5 ของโลก เราต้องย้อนกลับมาที่แนวทางการแก้ปัญหาของเรา
“แน่นอนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการปลดล็อกไปเรียบร้อยแล้ว เราต้องทำให้กัญชาไม่เสียของอีกต่อไป ในเรื่องของระยะสั้น มีความจำเป็นมากที่เราจะต้องกระจายโอกาสกัญชาให้ 2 ฝั่ง
“ฝั่งแรกก็ คือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก ที่เป้นโรคอัลไซเมอร์ ที่เป็นโรคพาร์กินสัน โรคไต คนที่อาจจะเจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง ผู้ป่วยเหล่านี้มีความจำเป็นที่อยากจะหาวิธีรักษาทางเลือกมากกว่าแพทย์แผนปัจจุบัน
“นี่คือ สิ่งแรกที่เราจะต้องเข้าไปแก้ให้เร็วที่สุดเพราะเรื่องของความเจ็บปวด เรื่องของชีวิต เรื่องของศีลธรรมบางทีมันสำคัญกว่ากฎหมาย มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปกระจายโอกาสเรื่องพวกนี้"
ขอย้ำว่า วันนั้นนายพิธาพูดเองว่า ศีลธรรมบางทีก็สำคัญกว่ากฎหมาย และนายพิธาก็หาเสียงเอาเลยกับคนที่มีความต้องการใช้กัญชาเพื่อรักษา
นอกจากนี้ นายพิธายังบอกว่า ได้เดินสายไปเจอแม่ของผู้ป่วยลมชักที่ต้องลักลอบสั่งน้ำมัน CBD จากอเมริกา ขวดหนึ่ง 4,000 กว่าบาท มารักษาลูกยิ่งกว่านั้นนายพิธาก็เปิดเผยว่าตัวเองก็เป็นโรคลมชักที่ใช้ น้ำมัน CBD รักษาเหมือนกัน
นายพิธายังบอกด้วยว่า“ตอนที่ผมอยู่ที่อเมริกา เรื่องของการที่มันเป็นสันทนาการไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย เพราะเขากำหนดไว้หมดว่า 1 จ๊อย เท่ากับ 1 ออนซ์ 30 กรัม อายุต้อง 21 ปีขึ้นไป ห้ามขับรถ ห้ามสูบในที่สาธารณะ ต้องอยู่ในที่ที่เป็นพื้นที่จำกัดของตัวเอง
“เพราะฉะนั้น ถามว่าถึงสันทนาการไหม อาจจะเร็วเกินไปที่จะคิดถึงตรงนั้น แต่ผมคิดว่าในระยะกลางเราต้องมีระบบแซนด์บ็อกซ์ที่ใช้ประโยชน์ ทำให้กลายเป็น เมดิคัลฮับ ให้กลายเป็น ทัวริซึมฮับ แล้วให้ดูซิว่าในบริบทไทย กัญชาสันทนาการเหมาะสมหรือไม่ ใช้ตรงนั้นเป็นตัวศึกษาจะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งกันในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง”
เพราะฉะนั้นใครบอกว่านายพิธาสนับสนุนเฉพาะกัญชาทางการแพทย์ คงได้ยินชัดเจนถึงคำทำกัญชาสันทนาการ ว่า ทัวริซึม ฮับ (Tourism Hub) แล้วว่านายพิธาเคยมีจุดยืนอย่างไรในเรื่องนี้
ยังมีอีกคนที่ออกมาช่วยเตือนความทรงจำนายพิธา โดยคนๆ นี้ถือเป็นปูชนียบุคคลด้านกัญชาของเมืองไทยด้วย นั่นคืออาจารย์เดชา ศิริภัทรประธานมูลนิธิข้าวขวัญ หมอชาวบ้าน-ปราชญ์ชาวนาที่ผลักดันเรื่องชีววิถี เกษตรอินทรีย์ ข้าวปลอดสารเคมี รวมถึงสมุนไพรกัญชา มาต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 อ.เดชา ศิริภัทร อดรนทนไม่ไหวได้ออกมาโพสต์เรื่องราวเตือนความทรงจำนายพิธาว่า “4 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ คุณพิธา เคยได้ร่วมกิจกรรมที่ชื่อว่า“เดินเพื่อผู้ป่วย กัญชารักษาโรค”ระหว่าง วันที่ 21 พฤษภาคม - 9 มิถุนายน 2562 จากวัดป่าวชิรโพธิญาณ จ.พิจิตร ไปยังวัดบางปลาหมอ จ.สุพรรณบุรี โดยจุดประสงค์ของการเดินนั้นก็เพื่อรณรงค์ให้นำกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษ”
ทั้งนี้ ในระหว่างที่ร่วมเดินรณรงค์ดังกล่าว นายพิธาได้ตอบคำถามผู้มาสัมภาษณ์ โดยคุณพิธา บอกว่าปัญหาที่ทำให้กัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ในขณะนั้น คือมายาคติเก่า ๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็มีคนได้มีคนเสีย อย่างที่รัฐโคโลราโด ยอดขายเบียร์กับยอดขายบุหรี่น้อยกว่ายอดขายกัญชาไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากคนมอมเมากับเหล้ากับบุหรี่มานาน พอมีอะไรที่เป็นสมุนไพรกว่า ที่มันไม่ติด หยุดเมื่อไหร่ก็หยุดได้ถ้าไม่อยากจะใช้แล้ว ติดยากกว่าบุหรี่เยอะยากกว่ากาแฟอีก แต่เมื่อมีคนที่ได้ มีคนที่เสียก็จะทำให้มีแรงต้านอยู่
นอกจากนี้ นายพิธายังบอกว่าในฐานะผู้ป่วยโรคลมชักที่เคยได้ประโยชน์จากการใช้กัญชารักษา ก็จะรณรงค์ สร้างความเข้าใจและบอกต่อให้คนในสังคมรับรู้ และในฐานะผู้แทนราษฎรด้วยก็จะผลักดันทั้งนอกสภาอย่างที่มาร่วมเดิน และในสภาก็จะผลักดันผ่านกลไกกรรมาธิการ รวมถึงการตั้งกระทู้ถาม
รวมทั้งบอกว่ามีความจำเป็นที่จะผลักดันกัญชา จากที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในวงจำกัดในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ต้องทำให้เสรีขึ้น แล้วก็ไปจำกัดในกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยงแทน เป็นการพลิกกระดานจาก “ขาวในดำ” ให้เป็น “ดำในขาว”
นายสนธิ กล่าวว่าประเด็นนี้อยู่ที่การเปลี่ยนคำพูดไปมาของนายพิธา ในปี 2562 หรือ 4 ปีก่อน ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม – ต้นเดือนมิถุนายน นายพิธาซึ่งเป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน ยังไปร่วมเดินรณรงค์กับ อ.เดชา ไปให้สัมภาษณ์ว่าจะเอากัญชาออกจากยาเสพติด แต่พอถึง วันนี้ที่นายพิธากำลังจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็กลับคำ ทำให้กัญชากลายเป็นตัวร้ายของสังคม
“ทุกคนก็งง รวมถึง อ.เดชา ปราชญ์ชาวบ้านวัย 70 กว่าที่ตอนนั้นคุณไปอาศัยเขาสร้างกระแสเขาก็คงทั้งงุนงง สงสัย และทั้งเสียใจว่าทำไมคุณพิธา ถึงพลิกลิ้น เปลี่ยนแปลงจุดยืนไปด้วยรวดเร็วขนาดนี้”
นายสนธิ กล่าวต่อ ว่ามิหนำซ้ำ ขณะที่ต่อต้านกัญชา ซึ่งนายพิธาพูดเองว่า ติดยากกว่าเบียร์-เหล้า-กาแฟ แต่พรรคก้าวไกลที่นายพิธาเป็นหัวหน้า กลับเดินหน้าเรื่อง“สุราก้าวหน้า”ซึ่งเป็นการมอมเมาประชาชนชัด ๆ แต่อ้างเรื่องประเด็นรายได้เกษตรกร, การท่องเที่ยว, การกระจายรายได้มาบังหน้า ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว เหล้า-เบียร์สุรา นั้นมีโทษมหันต์กว่ากัญชามากมาย ทั้งยังไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์ใด ๆ ด้วย
อ.เดชา ศิริภัทร ยังได้โพสต์ข้อความอีกว่า “จำได้ว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็มาร่วมเดินรณรงค์กับผม และได้ปราศรัยกับผู้ร่วมเดินว่าเป็นหนี้บุญคุณกัญชาที่ทำให้หายจากโรคลมชัก จึงเห็นด้วยในการเดินรณรงค์รั้งนี้ แต่ถ้าปีนี้ คุณพิธา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเอากัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีก ผมก็จะเดินรณรงค์เพื่อเอากัญชาออกจากบัญชียาเสพติดอีกครั้ง
“และผมเชื่อว่า ครั้งนี้คุณพิธาคงไม่มาร่วมเดินกับผมอีกอย่างแน่นอน แต่ประชาชนคนไทยที่จะมาเดินกับผม คงมีมากกว่าปี 2562 หลายเท่า ผมเชื่ออย่างนั้น"
นายสนธิ กล่าวว่า อ.เดชาจำได้แม่น ไม่รู้ว่านายพิธาจะยังจำคำพูดตัวเองได้ไหม 4 ปีก่อนบอกกัญชาติดยากกว่ากาแฟ แต่ที่ยังมีคนต่อต้านเพราะมายาคติเก่าๆ และมีคนเสียประโยชน์ จะเดินหน้ารณรงค์ทั้งในฐานะผู้ป่วยลมชักที่ใช้กัญชารักษา และในฐานะ ส.ส.
“คุณพิธา นอกจากคุณจะเปิดประเทศในนโยบายพรรคก้าวไกลเพื่อให้อเมริกาเข้ามา โดยที่คุณชักชวนให้เข้ามา คุณลืมไปแล้วหรือว่า บริษัทยาต่างประเทศมันจดสิทธิบัตรยาที่ใช้กัญชาอยู่ในขณะนี้ เมื่อคุณให้กัญชาเป็นยาเสพติดแล้ว อเมริกาก็จะบอกให้คุณเปิดประเทศให้บริษัทยาที่มีส่วนผสมของกัญชา เพื่อมาให้คนไทยรักษา ทั้งๆ ที่คนไทย หมอไทย แพทย์แผนโบราณสามารถที่จะรักษาด้วย CBD กลายเป้นว่าคุณเปิดโอกาสให้คนไทยต้องรักษาด้วยราคาที่แพง คุณจำได้ไหมว่าคุณเป็นคนพูดเองว่ามีแม่ที่มีลูกเป็นลมชักต้องไปซื้อ CBD มาขวดเล็กนิดเดียว 4,000 บาท นี่คุณกำลังจะซ้ำรอยละ สร้างความทุกข์เข็ญ สร้างเวรสร้างกรรมให้ประชาชนที่ต้องใช้กัญชา
“ตอนนั้นคุณพูดเหมือนกับที่ หมอเดชา หรือผม หรืออาจารย์ปานเทพพูดเลย ต่างกันตรงที่วันนี้พวกผมก็พูดเหมือนเดิม ในขณะที่คุณเปลี่ยนไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่คุณควรจะเป็นคนที่ยืนหยัดเรื่องกัญชามากที่สุด เพราะมีประสบการณ์ตรงในการใช้รักษาโรคลมชักของคุณเอง การที่คุณรู้ดีแก่ใจว่ากัญชาสามารถรักษาโรคได้ แต่กลับพูดกลับไปกลับมาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง นี่ คุณเป็นคนอำมหิตมากนะ โกหกตอแหล แล้วคนอย่างคุณจะเป็นนายกฯ พวกติ่งก็บอกว่ายังไม่ได้ทำงานเลย ต้องให้โอกาสเขาก่อน แต่คนโกหกอย่างนี้จะให้โอกาสทำงานได้อย่างไร
“ผมถามว่า แม้แต่เรื่องกัญชาคุณยังไม่มีจุดยืน พลิกลิ้นไปพลิกลิ้นมา ส่วนพวกสาวกของคุณก็แห่ตามกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สนใจใฝ่หาความรู้ ทำความเข้าใจ หรือ เกาะติดเรื่องนี้มาแต่แรก
“คุณพิธาครับแค่เรื่องกัญชา คุณยังโกหกได้แบบหน้าตายแล้วเรื่องอื่นประชาชนจะเชื่อคุณได้ยังไง และผมจะขอเตือนคุณอีกครั้งหนึ่งว่าคุณจะโกหกพ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย คุณกี่เรื่องก็แล้วแต่ แต่อย่าโกหกประชาชนเพราะการโกหกประชาชนนั้นจะเป็นบาปกรรมที่ใหญ่หลวงมาก ๆ” นายสนธิ กล่าว