xs
xsm
sm
md
lg

ปรากฎการณ์ด้อมส้ม-พิธาฟีเวอร์ “ชูวิทย์-ก้าวไกล” ใครหลอกใช้ใคร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” มองการเมืองไทยหลังเลือกตั้ง เกิดกระแส “พิธาฟีเวอร์” และสังคมตกอยู่ใต้อิทธิพลของ “ด้อมส้ม” ซึ่งที่จริงน่าจะเป็น “คอนด้อมส้ม” ที่คอยปกป้องหัวหน้าพรรคในทุกเรื่อง ซ้ำยังสองมาตรฐาน ต่อต้านชาติพัฒนากล้าร่วมรัฐบาล อ้าง “กรณ์” เคยร่วม กปปส. แต่ “ชูวิทย์” ที่เคยเข้าไปหาแสงใน กปปส. ซ้ำยังเคยทำธุรกิจค้ามนุษย์ สนิทสนมทุนสีเทา ตรงข้ามแนวทางพรรค กลับเอามาเป็นพวก หวังเอามาใช้เป็นเบี้ย ขณะที่ “เสี่ยอ่าง” ก็พยายามเกาะ “ก้าวไกล” สร้างราคาให้ตัวเอง โกหกพกลม แอบอ้างว่าสามารถติดต่ออำนาจพิเศษเพื่อให้ก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้ให้มุมมองต่อสถารการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ว่า สังคมไทยเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดของสีส้ม และตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด หรือ อิทธิพลของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเขาเรียกตัวเขาเองว่าเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู (MOU) กับว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลรวม 8 พรรค ซึ่งสามารถรวมรวมเสียง ส.ส. ได้แล้วอย่างน้อย 313 เสียง

ทุกวันนี้ นายพิธาเดินทางไปที่ไหนก็มีแต่คนขอถ่ายรูปด้วย มีคนแห่แหน ยิ่งกว่าดาราซูเปอร์สตาร์ นักแสดงคนไหน ๆ ของประเทศไทย ลงข่าวไปก็มีการปั่นแฮชแท็กจนติดอันดับเทรนด์ในทวิตเตอร์ ในโซเชียลมีเดีย สำนักข่าวต่าง ๆ ก็หยิบแง่มุมต่าง ๆ เอาไปทำข่าวเยอะแยะกันจนอ่านกันไม่หมด


นอกจากตัวคน คือนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลแล้ว ผู้ทรงอิทธิพลในช่วงนี้อีกกลุ่มหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าคือ เหล่า“ด้อมส้ม” ที่ไม่ว่าจะติดแฮชแท็ก # อะไรก็ส่งผลสะเทือนไปถึงผู้บริหารพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นนายพิธา หรือ ผู้บริหารพรรคก้าวไกล รวมไปถึงอดีตพรรคอนาคตใหม่อย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือ “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช

ความหมายของคำว่า“ด้อมส้ม นั้นจริง ๆ ก็คือ กลุ่มแฟนคลับของพรรคก้าวไกล

โดยคำว่า“ด้อม” เกิดขึ้นโดยมีที่มาจากการแผ่อิทธิพลของวัฒนธรรม K-Pop ของเกาหลี โดยเป็นภาษาที่แฟนคลับศิลปินเกาหลีใช้กัน คือ“ด้อม” นั้นย่อมาจากคำว่า“แฟนด้อม (fandom)”ซึ่งความหมายจริง ๆ ก็คือ “กลุ่มแฟนคลับ”นั่นเอง

โดย คำว่าแฟนด้อม (Fandom) นั้นก็เป็นคำสมาสของคำภาษาอังกฤษ 2 คำ คือคำว่าFanclub และ คำว่า Kingdom

“ต้องระวังนิดหนึ่งครับ ด้อมส้มนี่ ผมกลัวว่าจะกลายเป็น “คอนด้อมส้ม” มากกว่า ทุกคนเหมือนกับวิ่งเต้นเอาคอนด้อมมาสวมตัวคุณพิธา ปกป้องคุณพิธา ให้แคล้วคลาดจากทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์คุณพิธาอะไรก็ตาม คอนดอมส้มพวกนี้ก็จะครอบตัวคุณพิธา แล้วก็ออกมาต่อสู้ รวมทั้งรายการวันนี้คอนด้อมส้มก็คงจะจัดทัวร์มาลงอย่างเต็มที่ ก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ผมยืนอยู่ตรงไหนก็ตรงนั้น และไม่ได้หวั่นเกรง อยากจะลงทัวร์ ลงมาเลยให้เต็มที่ ผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น”


นายสนธิ กล่าวต่อว่า อิทธิพลของด้อมส้มในช่วงนี้ที่เข้ามากำหนดทิศทางทางการเมืองของไทย โดยเฉพาะก้าวย่างต่าง ๆ ของนายพิธา และพรรคก้าวไกล ความเคลื่อนไหวในช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งกลายเป็นบทเรียนทางการเมืองครั้งใหญ่ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และนายกรณ์ จาติกวณิช แกนนำพรรคชาติพัฒนากล้า และเป็นที่มาของคำพูดอันสวยหรู คือพรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค

“แต่ลืมพูดคำพูดที่ซ่อนเร้นเอาไว้ก็คือว่า มีคนอยู่ 4-5 คนซึ่งใหญ่กว่าประชาชน แล้วก็ใหญ่กว่าพรรคหมด อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกลและอยู่เบื้องหลังคุณพิธา”

นายสนธิ กล่าวต่อว่า นายพิธาได้ขอโทษจากการที่พรรคก้าวไกล เจรจาให้พรรคชาติพัฒนากล้า ให้เข้าร่วมรัฐบาลจนเกิดกระแสต่อต้านด้วยแฮชแท็ก#มีกรณ์ไม่มีกู ซึ่งปั่นโดย“ด้อมส้ม”เป็นกระแสไปทั่วทวิตเตอร์ และพรรคก้าวไกลต้องออกมากลับคำไม่เอาพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาลในที่สุด


อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ตำหนิด้อมส้ม แต่คนที่ควรถูกตำหนิคือนายสุวัจน์ และนายกรณ์ ซึ่งตนรู้จักดีทั้งคู่ พรรคชาติพัฒนากล้ามี ส.ส.แค่ 2 คน เมื่อพรรคก้าวไกลชวน ก็ควรจะบอกไปทันทีว่า อยู่ 2 คนอย่างนี้สบายใจกว่า และถ้ามีจิตวิญญาณรักชาติรักพระมหากษัตริย์ก็ควรจะตอบไปนิ่มๆ ว่า คงเข้าร่วมไม่ได้เพราะว่า ความเห็นเรื่องมาตรา 112 นั้นแตกต่างกันกัน แต่ก็ไม่พูด

“คุณเฮ้าเลี่ยน ทั้งคุณกรณ์ คุณสุวัจน์เลย ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง เขาตีแสกหน้ากลับมา ไม่มีหมอที่ไหนรับเย็บให้คุณหรอก” นายสนธิ กล่าว

“ชูวิทย์” แปลงตัวเป็น “ด้อมส้ม” หาแสง หรือรับงาน?

นายสนธิ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลาย หรืออะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยก็แล้วแต่ เราก็จะยังเห็นคน ๆ หนึ่งที่แปลงตัวเป็น“ด้อมส้ม”กับเขาด้วยทำตัวหิวแสงไม่หยุด กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม สามารถเกาะกระแสได้ทุกกระแส โดยเนื้อแท้บุคคลคนนี้จริง ๆ แล้วก็คือ “มหาโจร”อย่างที่เขาเรียกตัวเอง คนนั้นก็คือนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์


"จริง ๆ งานนี้ ไม่รู้ว่าใครหลอกใช้ใครนายชูวิทย์หลอกใช้พรรคก้าวไกลกับนายพิธา หรือนายพิธากับพรรคก้าวไกลหลอกใช้นายชูวิทย์ กันแน่

“โดยใช้คุณชูวิทย์มาโจมตีผม ออกโปสเตอร์มา กล่าวหาว่าผมแก่แล้วไม่อยู่ตามแก่ พยายามออกมาปกป้องโหนเจ้า แล้วจะลงถนนเสียด้วยซ้ำ เพื่อจะนำประชาชนมาต่อต้านพรรคก้าวไกล แล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ดึงทหารเข้ามา

“ผมพูดตรงนี้เลยว่า คุณชูวิทย์สันดานโกหกพกลม ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว คุณชูวิทย์กับพรรคก้าวไกลมาผสมพันธุ์กันนี่ ผมไม่เข้าใจเลย มันต้องเป็นสปีชีส์ที่พิเศษ ที่ในโลกนี้ไม่เคยมีมา”

นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายชูวิทย์น่าจะรู้ดีว่าพรรคก้าวไกลนั้นชูเรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นหัวใจของพรรค ไม่นับเรื่องสิทธิสตรี สมรสเท่าเทียม ความหลากหลายทางเพศ แต่นายชูวิทย์คงหลงลืมตัวไปว่าในอดีตนายชูวิทย์นั้นเป็น“พ่อค้ามนุษย์” “นักค้ากาม” “เจ้าของอาบอบนวด”

“คุณเข้าไปเกาะแกะ เกาะกระแสพรรคก้าวไกลนั้นคิดว่าเขาเห็นดีเห็นงามกับคุณเหรอ พรรคก้าวไกลโดยเฉพาะผู้บริหารพรรค โดยลึกๆ แล้วเขาฉลาดดวก่าคุณเยอะ เขาลึกซึ้งกว่าคุณเยอะ เขาใช้คุณสักพักหนึ่ง เอามาฟาดผม เมื่อใช้เสร็จเขาก็ถีบหัวคุณส่ง เขาจะไปร่วมกับคุณได้ยังไง คุณชูวิทย์ คนโบารณ์เขาว่า ตักน้ำใส่กะโหลกส่องดูเงาตัวเองสักหน่อยว่าตัวเองเป็นคนยังไง”

นายสนธิ กล่าวต่อว่า นายชูวิทย์พยายามเกาะกระแสนายพิธากับพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้ง พอหลังเลือกตั้งก็เริ่มออกลาย


“วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 นายชูวิทย์ โพสต์เฟซบุ๊กถึงผม สรุปใจความก็คือกล่าวหาว่าผมเอาสถาบันมาโหน ขู่สร้างความกลัว หวังปลุกกระแสทิพย์แต่หมดยุค แม้แต่ ส.ว. ยังต้องกลับลำ จะมีก็แต่ สื่อไดโนเสาร์ตกยุค อ้างเรื่องเดิม ทำตัวจงรักภักดี คุณชูวิทย์ยังบอกด้วยว่า ผมเริ่มลีลานั่งจับผิด “หลังพิงวัง” ใช้วิธีการปลุกผีให้เด็กกลัว หมดยุค “ขวาตกขอบ” ที่ครองอำนาจมานานจนคนส่ายหน้า


“นอกจากนี้ยังบอกว่า ผมเอาใจจีนตะพึดตะพือ ที่บอกอเมริกาจะล้มเจ้า คนเขาจงรักภักดีด้วยใจ ไม่ต้องปั่นกระแส”

นายสนธิ กล่าวต่อว่า การที่นายชูวิทย์พูดถึงตนแบบนี้ ไม่น่าแปลกใจ เพราะการทำความเข้าใจกับการเมืองของประเทศไทยวันนี้ ต้องใช้ปัญญาอย่างมาก ซึ่งตนไม่คิดว่านายชูวิทย์จะมี

สำหรับเรื่องที่นายชูวิทย์กล่าวหาว่าตนโหนเจ้า อยากเตือนว่าวันหลังจะพูดถึงใครควรต้องศึกษาเรื่องราวของเขาให้ดีก่อน แต่นายชูวิทย์จะไปศึกษาใครให้ลึกซึ้งก็คงจะยากลำบากหน่อย เพราะทุกวันนี้แม้แต่ “ตัวเอง” นายชูวิทย์ก็ยังหลงลืม ยังไม่รู้จักตัวเองเลยพรรคก้าวไกลเขาแค่ใช้นายชูวิทย์เป็นเบี้ย

นายชูวิทย์ (หมายเลข 3) เมื่อครั้งเป็น ส.ส. เคยได้รับเครื่องราชฯ สายสะพายประถมาภรณ์ช้างเผือก 2556 ชั้นสายสะพาย ก่อนยุบสภา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2556
ประการแรก ผมเป็นประชาชนคนธรรมดาจริง ๆ ผมไม่เคยเป็น ส.ส. ไปไล่เจ็บบ่อนตบหน้าตำรวจ จับไปเรื่อยๆ แล้วให้เขาวิ่งมาเคลียร์ ไม่เคยได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไม่ว่าชั้นใด ๆ ไม่เคยมีกระบี่แตะบ่า สิ่งที่ทำตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา การที่ออกมาปกป้องสถาบันทำจากสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันฯ ราชวงศ์จักรี ที่เมตตากรุณาให้ผมและต้นตระกูลของผมอาศัยแผ่นดินนี้มาอยู่อาศัย สร้างครอบครัว สืบทอดวงศ์ตระกูล ไม่เคยหน้าไหว้หลังหลอก คิดอย่าง พูดอย่าง ทำอย่างเหมือนบางคน

ประการที่สอง เนื่องจากจุดยืนของผมชัดเจนมาตลอดว่าปกป้องสถาบันฯ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง อดีตถึงปัจจุบันจึงไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่เคยมีประวัติว่าเคยละเมิด ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ หรือเคยประกาศว่าต้องการจะยกเลิกมาตรา 112 แต่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นแก้ไขมาตรา 112 และอีกวันหนึ่งพอจะมาฟอร์มรัฐบาลก็มาประกาศว่าจะปกป้องรักษาสถาบันฯ มิให้ผู้ใดมาละเมิด การร่วมรัฐบาลต้องไม่กระทบต่อรูปแบบของรัฐ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดไม่ได้

“คนอย่างนี้ภาษาโบราณ เขาเรียกว่ามะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก คนกะล่อนจับไม่ได้ไล่ไม่ทันหรือ ถ้าจะใช้คำแรงหน่อยก็ต้องเรียกว่ารวมพลคนตอแหล”

นายสนธิ กล่าวต่อว่าประการที่สาม ตนน่าจะเป็นสื่อมวลชนเพียงไม่กี่คนที่ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาล ด้วยการยัด ดำเนินคดีมาตรา 112 จากการที่พยายามปกป้องว่ามีคนจงใจให้ร้าย และหมิ่นสถาบันฯ อย่างโจ๋งครึ่มกลางสนามหลวง


วันที่ 18 กรกฎาคม 2551 - หรือย้อนอดีตไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ“ดา ตอร์ปิโด” (ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง ที่ รพ.ศิริราช ตั้งแต่ปี 2563)ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกลุ่มต่อต้านพันธมิตร ณ บริเวณท้องสนามหลวง ระหว่างปราศรัยนี้เธอได้ใช้ถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันเบื้องสูง อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ต่อมาวันที่ 20 กรกฎาคม 2551 ตนได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีปราศรัยกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อชี้ให้กองทัพบก โดยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รวมทั้งพลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ในเวลานั้น ได้เห็นถึงสิ่งที่ นางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ “ดา ตอร์ปิโด” กล่าวคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันเบื้องสูงด้วยข้อความที่เป็นเท็จ

วันที่ 22 กรกฎาคม 2551 หลังจากที่ตนพูดไปบนเวที 2 วันและหลังจากที่ ดา ตอร์ปิโดปราศรัยไปแล้ว 4 วัน กองทัพบก โดยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ค่อยเทคแอคชั่น ให้ตำรวจจับกุม ดา ตอร์ปิโด โดยไม่ได้ประกันตัว

เดือนธันวาคม 2554 ศาลอาญาพิพากษาว่าดารณี มีความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ด้วยการปราศรัยรวม 3 กรรม ลงโทษจำคุกความผิดกรรมละห้าปีรวม 15 ปี ดารณีอุทธรณ์คดี ในเดือนมิถุนายน 2556 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนจำคุกดารณีเป็นเวลา 15 ปี ดารณีตัดสินใจไม่สู้คดีในศาลฎีกาคดีจึงเป็นที่สิ้นสุด

วันที่ 27 สิงหาคม 2559 ดารณี ได้รับการการปล่อยตัวก่อนครบกำหนดโทษ เนื่องจากเข้าเกณฑ์ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2559

วันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ดารณี เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม ด้วยอายุ 62 ปี

“ขณะเดียวกัน ตัวผมเอง ที่พูดบนเวทีถึงสิ่งที่ ดา ตอร์ปิโด กล่าวจาบจ้วงสถาบัน ก็เพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีต่อ ดา ตอร์ปิโด ตัวผมก็เลยถูกดำเนินคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ด้วย เพราะถูกมองว่าเป็นการเอาคำพูดของดา ตอร์ปิโด กล่าวซ้ำ


“วันที่ 26 กันยายน 2555 ศาลชั้นต้น ยกฟ้องเนื่องจากเห็นว่า ผมมีเจตนาที่จะเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีต่อ ดารณี การกระทำของผมจึงไม่เป็นการขยายคำพูดของ ดารณี

“วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ลงโทษจำคุก ผมเป็นเวลา 3 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี

“วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า เป็นการนำข้อความมาเพียงบางส่วน และไม่ได้มีเจตนาจะหมิ่นเบื้องสูง แต่เป็นการพูดเพื่อเรียกร้องให้ตำรวจและทหารเร่งจับกุม น.ส.ดารณีเท่านั้น


“เรื่องราวทั้งหมดเป็นแบบนี้ ในช่วงเวลานั้นที่ผมต่อสู้เพื่อปกป้องสถาบัน ผมไม่ทราบว่าคุณชูวิทย์ทำอะไรอยู่ หรือยังมั่วอยู่กับสถานอาบอบนวดของคุณ อยู่งในวงการสีเทาสีดำที่คุณสนิทสนมด้วย

“นอกจากนี้ ในความเป็นจริงแล้วผมพูดเรื่องสถาบันมานาน ในหลายวาระหลายโอกาสและทุกครั้งก็เป็นข้อเท็จจริง คสามจริงมีหนึ่งเดียว เป็นการให้การศึกษาคน ว่าสถาบันกษัตริย์สำคัญกับสังคมไทยเพราะอะไร ผมไม่เคยยุยงให้คนเชียร์เจ้าแบบบ้าคลั่ง ไม่เคย แล้วก่อนที่คุณชูวิทย์จะหาว่าผมล้มเจ้า ลองหันไปถามทนายคู่บุญของคุณทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ก่อน”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ววันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2566 ทนายอนันตชัยเพิ่งจะออกมาโพสต์เฟซบุ๊กบอกว่า“นายปิยบุตร อย่าคิดบังอาจแก้ มาตรา 112 นะครับ แก้เมื่อไหร่ มีเรื่อง พรรคไหน ใครก็ตามคิดแก้มาตรา 112 ข้ามศพผมไปก่อน ผมจะต่อต้านให้ถึงที่สุด คิดได้ แต่ทำไม่ได้ครับ สำหรับผม สถาบันพระมหากษัตริย์ ผมเคารพบูชา ครับ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช”

แม้จะโพสต์เพียงแปบเดียวแล้วลบไป แต่ก็มีคนแคปไว้ทัน


นอกจากนี้ ไม่ทราบว่าที่นายชูวิทย์ ไปประกาศตัว อ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสรีนิยม เพราะอกหักจากที่เมื่อปี 2556 เคยพยายามจะไปร่วมเวที กปปส. แล้วโดนไล่ออกมา เพราะเขารู้ทันว่านิสัยนายชูวิทย์จะไปตีกินชุบมือเปิบ ใช่หรือเปล่า?

วันที่ 3 ธันวาคม 2556 - ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจาก ที่ กปปส. ประกาศชัยชนะที่สามารถเข้าพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ ขณะที่ผู้ชุมนุมกำลังกลับออกไป ได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้นเมื่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย พร้อมด้วยนางงามตา กมลวิศิษฏ์ภรรยา และผู้ติดตามคนหนึ่ง เดินมาที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า

ทำให้น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก โฆษกบนรถขยายเสียงประกาศให้นายชูวิทย์ออกไป บอกว่าอย่ามาตีกินทั้งที่ไม่ได้ร่วมเหนื่อยกับประชาชน แต่นายชูวิทย์กล่าวยืนยันว่าไม่ออก ยิ่งทำให้ผู้ชุมนุมตะโกนขับไล่ว่า“หวังโหนกระแสหรือไง ตอนเขาโดนสาดแก๊สน้ำตา แล้วไปอยู่ไหน”

นายชูวิทย์จึงตะโกนตอบโต้ด้วยถ้อยคำหยาบคายพร้อมกับผลักอกผู้ชุมนุมคนหนึ่งจนเกือบเกิดการชกต่อยกัน อีกทั้งมีมวลชนบางส่วนสาดน้ำใส่นายชูวิทย์จนเปียกไปทั้งตัวก่อนที่นายชูวิทย์จะยอมเดินออกจากทำเนียบรัฐบาล


นายสนธิ กล่าวว่า ประเด็นนี้อยู่ที่พรรคก้าวไกลไม่เอาพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วม รัฐบาล เพราะกองเชียร์ก้าวไกลออกมาโวยวายว่านายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ในอดีตเคยร่วมกับม็อบ กปปส.

“แต่คุณชูวิทย์ก็เคยเคยพยายามไปแย่งแสงใน กปปส.ทำไมด้อมส้มจึงสองมาตรฐาน ไม่บอก มีกูไม่มีชูวิทย์ ก็เพราะว่าคุณชูวิทย์มีประโยชน์ เอาชูวิทย์มาโกหกพกลม หาเรื่องผม”

นอกจากนี้พรรคก้าวไกลเอาชูวิทย์ ทั้ง ๆ ที่ชูวิทย์นอกจากเคยมีประวัติค้ามนุษย์-ค้ากาม-รื้อบาร์เบียร์ทำร้ายร่างกายคน-รับเงินของพวกเว็บพนันทุนสีเทา ก็เคยออกมาสมัย กปปส. เพราะอะไร? เพราะชูวิทย์คือเบี้ยที่ก้าวไกลคิดว่าจะเอามาใช้ ประโยชน์ได้ใช่หรือไม่?

และในทางกลับกัน นิสัยชูวิทย์ทำอะไรไก็ได้เพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์ เป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคก้าวไกลจะได้คุมกระทรวงมหาดไทย นายชูวิทย์ก็เลยต้องการทำให้งานให้เข้าตาพรรคก้าวไกลแล้วใช้มหาดไทยมาช่วยเรื่องคดีที่ดินของตัวเองที่อยู่ใน ป.ป.ช.


นายชูวิทย์ก็ใช้ก้าวไกลทั้งเกาะกระแส และสร้างราคาให้ตัวเอง ด้วยการพยายามเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างก้าวไกล กับ คนที่นายชูวิทย์คิดว่าเป็นเจ้านายของตัวเอง

ถึงขั้นที่ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 นายชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ถึงพรรคก้าวไกล ว่าได้นัดให้พรรคก้าวไกลให้มาพบกับตัวเองในวันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2566 โดยบอกว่าการที่พรรคก้าวไกลไปจับมือกับพรรคต่าง ๆ มันเป็นการตกลงกันในสภา ในการตกลงร่วมรัฐบาล แต่นายชูวิทย์บอกว่า“คุณรู้อยู่แล้วว่าประเทศไทย ตกลงแค่นั้นไม่ได้ ที่คุณไปจับมือไม่พอ คุณต้องตกลงกับใคร ผมคิดว่าคุณทราบ”

นายชูวิทย์ บอกว่าได้ส่งสัญญาณถึงนายปิยะบุตรแล้วว่า มีข้อความที่มีคนฝากนายชูวิทย์ส่งถึงก้าวไกล เพื่อดูว่าก้าวไกลสนใจเงื่อนไขนี้หรือไม่ เป็นการถอยกันคนละก้าว
นายชูวิทย์บอกว่า“คุณพิธาจะได้เป็นนายกหรือไม่ได้เป็นนายก มันอยู่ที่ตรงนี้ มันไม่ได้อยู่ที่การจับมือ”

นี่คือสิ่งที่นายชูวิทย์พูด และน่าจะเป็นงานที่นายชูวิทย์กำลังเดินใช่หรือไม่?

คืนวันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2566 นายชูวิทย์ที่แปลงตัวเป็น“คอนด้อมส้ม”ยังโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กตัวเองอีกว่า“MOU จัดตั้งรัฐบาล แผนซ้อนแผน วันนี้มีการแถลงข่าว “ร่วมจัดตั้งรัฐบาล“ ที่โรงแรมคอนราด เป็นสถานที่ “โชว์สื่อ” เพื่อสื่อสารไปยังสังคมให้เห็นภาพของการตกลงจับขั้วรัฐบาลแต่ที่จะสำเร็จเป็น “รัฐบาล” ทำงานได้จริง มีนายกฯ ชื่อพิธา มันต้องมี “อำนาจพิเศษ” ที่ยอมให้ “พรรคก้าวไกล” ทำงานได้ แม้ว่าประชาชนเลือกมาล้นหลาม ...”


หลายคนอยากถามว่า“อำนาจพิเศษ” ที่นายชูวิทย์ย้ำแล้วย้ำอีก ย้ำว่าถ้าจะเป็นรัฐบาลไม่ใช่แค่คุยกันแค่ในพรรคร่วม แต่ต้องคุยกับคนที่นายชูวิทย์อ้างว่าสามารถนัดให้ได้นั้น เป็นใครกันแน่

นายสนธิ กล่าวว่า คนที่มีอำนาจพิเศษที่นายชูวิทย์อ้างถึงนั้นคือพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง อดีตผู้บัญชาการทหารบก


“ท่านผู้ชม และคุณชูวิทย์รู้หรือไม่ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ผมได้มีโอกาสพบ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่สถานที่แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ซึ่งคุณอภิรัชต์ ก็เคารพผม รุ่นพี่ ผมก็ถามเรื่องที่คุณชูวิทย์พูด และอยากให้คุณชูวิทย์จำใส่กะโหลกเอาไว้


“คุณอภิรัชต์ พูด พี่ ผมไม่ยุ่งกับมันเลย ผมเลิกคบกับมันมานานแล้ว คนอะไรกัน ผมให้ความเป็นเพื่อนมันสมัยก่อน ผมช่วยเหลือมันตลอด แต่เวลาผมพูดกันมันแล้ว มันแอบถ่ายวิดีโอแล้วอัดเทปเอาไว้ ไอ้คนแบบนี้ คบได้หรือเปล่า พี่ ฟันธงไปเลย ผมไม่คบกับมันแล้ว ผมไม่เกี่ยว อะไรก็ตามที่มันพูด ผมไม่ได้ยุ่งเรื่องนี้ คุณชูวิทย์ครับ นี่คือคำพูดของคุณอภิรัชต์ คงสมพงษ์”

นายสนธิ กล่าวอีกว่า การที่นายชูวิทย์ออกมาพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องมีอำนาจพิเศษ รังแต่จะส่งผลเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และระบอบการปกครอง

ทั้งยังไปเข้าทางต่างชาติโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่พยายามกล่าวหาว่า สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นทรงแทรกแซงการเมืองไทย แทรกแซงการเลือกตั้ง ซึ่งผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว โดยระบุอยู่ในมติของวุฒิสภา และ สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ 2 ฉบับ คือมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 (Senate resolution 114) ลงวันที่ 16 มีนาคม 2566 และมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่ 369 (HOUSE OF REPRESENTATIVES Resolution 369) ลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2566


“ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า คุณชูวิทย์กำลังทำอะไรอยู่? และต้องการอะไรกันแน่?

“คุณเที่ยวไปพูดโกหกต่อสาธารณะกับสื่อมวลชน กับ คนโน้นคนนี้ ว่าผมว่าโกงผู้ถือหุ้นจึงติดคุก ตรงนี้ ทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของผมบอกเลยว่า เมื่อพิจารณาจากคพูดแล้วฟ้องได้แน่นอน เพราะคำพิพากษา ไม่มีคำไหนที่ระบุว่าผมโกงผู้ถือหุ้น และไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหนมาฟ้องผม คุณสุวตรบอกว่าฟ้องได้แน่

“แต่คุณชูวิทย์รู้หรือเปล่า ผมบอกคุณสุวัตรว่า คนๆ นี้ มันไม่มีราคา คุณสุวัตรจะไปฟ้องให้มันม่ีราคาทำไม ไอ้คนๆ นี้มันไม่มีราคาจริงๆ มันเดินไปที่ไหน ถ้าคนมีสติปัญญา มีศีลห้าประจำตัว ต้องเดินหนีไปเลย เดินคนละฟากถนนไปเลย คนๆ นี้เป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด ที่สำคัญคือยังไม่รู้ตัว”


“คุณชํวิทย์ จิตใจคุณยังไม่มั่นคงเหมือนคุณจารุณี สุขสวัสดิ์, คุณสินจัย เปล่งพานิช, และอีกคนที่ยังไม่ได้ออกมา แต่ผมรู้ว่ารักพระเจ้าอยู่หัวมาก คือคุณตั๊ก บงกช คงมาลัย และยังมีอีกหลายคน

“ผมจะให้กำลังใจคุณจารุณี คุณสินจัย คุณตั๊ก บงกช และอีกหลายๆ คน เขาเป็นดารา เขาไม่กลัว เขายืนหยัดในสิ่งที่เป้นสัจจธรรม เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว เขาเคารพว่าสถาบันกษัตริย์นั้น มีคุณูปการกับประเทศชาติบ้านเมือง เขาไม่เหมือนกับอีนางตอแหลต่างๆ ที่กระโดดโลดเต้นเกาะติดกระแสคอนด้อมส้มที่ออกมากล่าวหาสถาบันกษัตริย์ เทิดทูนนโยบายของพรรคก้าวไกล เพียงเพื่อต้องการให้รักษาธุรกิจของตัวเอง ให้รักษาแฟนคลับของตัวเอง

“คุณจารุณี คุณสินจัย คุณตั๊ก ผมเคารพในจิตใจคุณมาก นี่หละ อีกไม่กี่ปีเราก็ตายแล้ว เรื่องมันสมมุติหมด แต่ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ เราได้ยืนหยัดบนธรรม ธรรมคือความจริง เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ เราจะต้องออกมาปกป้องความจริง และไม่ถอย ไม่ต้องไปกลัวใครทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเหลือพวกเราไม่กี่คน เรายืนหยัดในธรรมอันนี้ เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว” นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น