xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 14-20 พ.ค.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."พิธา" จับมือ 8 พรรคทำ MOU จัดตั้ง รบ. 313 เสียง ถอยกรูดยุติดึง "ชาติพัฒนากล้า" ร่วม รบ. แลกโหวตนายกฯ หลังผู้สนับสนุนต้าน!

หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ผ่านพ้นไป นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมด้วยนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ได้แถลงภาพรวมผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการว่า พรรคการเมืองที่ได้คะแนนสูงสุด คือ พรรคก้าวไกล ได้ 152 ที่นั่ง (แบ่งเขต 113 /บัญชีรายชื่อ 39), พรรคเพื่อไทย ได้ 141 ที่นั่ง (แบ่งเขต 112 /บัญชีรายชื่อ 29), พรรคภูมิใจไทย ได้ 70 ที่นั่ง (แบ่งเขต 67 /บัญชีรายชื่อ 3), พรรคพลังประชารัฐ ได้ 41 ที่นั่ง (แบ่งเขต 39 /บัญชีรายชื่อ 2), พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 36 ที่นั่ง (แบ่งเขต 23 /บัญชีรายชื่อ 13), พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 24 ที่นั่ง (แบ่งเขต 22 /บัญชีรายชื่อ 2), พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ 10 ที่นั่ง (แบ่งเขต 9 /บัญชีรายชื่อ 1), พรรคประชาชาติ ได้ 9 ที่นั่ง (แบ่งเขต 7 / บัญชีรายชื่อ 2)

พรรคไทยสร้างไทย ได้ 6 ที่นั่ง (แบ่งเขต 5 /บัญชีรายชื่อ 1), พรรคเพื่อไทยรวมพลัง ได้ 2 ที่นั่ง (แบ่งเขต), พรรคชาติพัฒนากล้า ได้ 2 ที่นั่ง (แบ่งเขต 1 /บัญชีรายชื่อ 1), พรรคเสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง (บัญชีรายชื่อ), พรรคประชาธิปไตยใหม่ ได้ 1 ที่นั่ง (บัญชีรายชื่อ), พรรคใหม่ 1 ที่นั่ง (บัญชีรายชื่อ), พรรคท้องที่ไทย ได้ 1 ที่นั่ง (บัญชีรายชื่อ), พรรคเป็นธรรม ได้ 1 ที่นั่ง (บัญชีรายชื่อ), พรรคพลังสังคมใหม่ ได้ 1 ที่นั่ง (บัญชีรายชื่อ), พรรคครูไทยเพื่อประชาชน 1 ที่นั่ง (บัญชีรายชื่อ)

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ ในส่วนของ กทม. 33 เขต ปรากฏว่า ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล สามารถคว้าชัยได้ถึง 32 เขต ที่เหลืออีก 1 เขต คือ เขต 20 ลาดกระบัง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงมากสุด คือ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ซึ่งเฉือนเอาชนะผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลเพียง 4 คะแนน

ทั้งนี้ กกต.เผยว่า มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้สูงสุดตั้งแต่ กกต.จัดการเลือกตั้งมา 7 ครั้ง โดยมีผู้มาใช้สิทธิทั้งหมด 39,293,867 คน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ 52,238,594 คน เฉลี่ย 75.22% ขณะที่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 มีผู้มาใช้สิทธิเฉลี่ย 74.87% นายอิทธพร กล่าวว่า ตามกฎหมาย กำหนดให้ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน

หลังรู้ผลเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 14 พ.ค. พร้อมให้คำมั่นว่า "พรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันว่า เราจะยังคงยึดมั่นในแนวทางของพรรค อุดมการณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือยึดมั่นในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือบทบาทใดๆ ก็ตาม นี่คือคำสัญญา ขอบคุณครับ”

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ส่งข้อความผ่านไลน์กลุ่มของพรรค ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรค หลังผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเป้าหมาย “ผมขอแสดงความรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งด้วยการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และขอให้ทุกท่านช่วยกันทำหน้าที่เพื่อพรรคต่อไป สำหรับผมไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ผมพร้อมอยู่เคียงข้างพรรคเสมอ ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาตลอดชีวิตการเมืองของผมครับ”

ทั้งนี้ หลังพรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนมากเป็นอันดับ 1 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ได้ประกาศความพร้อมในการจัดตั้งรัฐบาลและนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งคะแนนมาเป็นอันดับ 2 ได้แสดงความยินดี และพร้อมสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ขณะที่นายพิธาได้เชิญแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม 4 พรรค ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคไทยสร้างไทย, พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม ซึ่งเป็นใหม่ มาประชุมหารือแนวทางจัดตั้งรัฐบาลเมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 พ.ค. ที่ร้าน Chez Miline เขตดุสิต หลังหารือประมาณ 2 ชม. ไม่ได้มีการแถลงข้อสรุปของการหารือแต่อย่างใด มีเพียงการถ่ายภาพหมู่ร่วมกันและจับมือโชว์ความเป็นหนึ่งเดียวกันในการร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยนายพิธา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี และจะนัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 18 พ.ค.”

ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เผยว่า ทราบว่ามีอีก 2 พรรคขอเข้าร่วมรัฐบาล โดยประสานตรงไปยังนายพิธา คือ พรรคพลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง และพรรคเพื่อไทยรวมพลัง 2 ที่นั่ง เมื่อรวม 8 พรรค จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลมีเสียง 313 ที่นั่ง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่ 6 พรรคหารือการจัดตั้งรัฐบาลที่ร้าน Chez Miline นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้เดินทางมาที่ร้านอาหารนี้เช่นกัน เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการมาร่วมหารือวงพูดคุยจัดตั้งรัฐบาล นายปิยบุตร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เป็นเพียงผู้ช่วยหาเสียง พวกเขามาฉลองชัย จึงชวนมาทานข้าวด้วยเท่านั้น

ทั้งนี้ หลังแกนนำ 8 พรรคได้ร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 พ.ค. นายพิธา กล่าวว่า ทุกพรรคประกาศจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนร่วมกัน ดังนี้ 1.ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนตนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากตามกลไกการเลือกตั้งของประชาชน 2.ทุกพรรคจะร่วมกันจัดตั้งข้อตกลงร่วม หรือเอ็มโอยู เพื่อแสดงแนวทางการทำงานร่วมกัน และสาระร่วมของทุกพรรค จะแถลงอีกครั้งในวันที่ 22 พ.ค.นี้ และ 3.ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเปลี่ยนรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้อย่างไร้รอยต่อ

ผู้สื่อข่าวถามถึงมาตรา 112 ทุกพรรคเห็นร่วมกันอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า จุดยืนมาตรา 112 ตอนก่อนเลือกตั้ง ทุกพรรคได้มีการพูดคุยและดีเบตในเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว ก็ชัดเจนในเรื่องจุดยืนต่างๆ เกี่ยวกับมาตรา 112 อยู่แล้ว และพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่จะมาอธิบายเรื่องนี้ เพราะทุกพรรคได้แสดงจุดยืนของตัวเองแล้ว พรรคร่วมทั้ง 8 พรรคมีจุดยืนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล มีความชัดเจน มีเอกภาพและมีความคืบหน้าเป็นที่พอใจ เมื่อถามย้ำว่า ห่วงเงื่อนไขเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 จะทำให้ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ให้เป็นนายกฯ หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ห่วง ตอนนี้เรากำลังจัดทำคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงคณะทำงานเปลี่ยนผ่านอำนาจอยู่แล้ว

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. นายพิธา ได้เจรจากับพรรคชาติพัฒนากล้า ที่มีนายกรณ์ จาติกวนิช เป็นหัวหน้าพรรค เพื่อตกลงโหวตให้นายพิธาเป็นนายกฯ และเข้าร่วมรัฐบาล แต่หลังมีข่าวดังกล่าว ปรากฏว่า กระแสผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล รวมทั้งนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำคณะราษฎร ได้ออกมาแสดงความข้องใจและตั้งคำถามว่า “พรรคก้าวไกลดึงพรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมรัฐบาลจริงหรือไม่? พรรคดังกล่าวคยมีจุดยืนคงกฎหมาย 112 ไว้ด้วยใช่หรือไม่? และแกนนำพรรคนี้ก็เคยเป่านกหวีดมาก่อนใช่หรือไม่? เรื่องนี้พรรคก้าวไกลต้องมีคำตอบที่ชัดเจน” ขณะที่กระแสไม่เอาพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาล ดัน #มีกรณ์ไม่มีกู จนติดเทรนทวิตเตอร์

สุดท้าย พรรคก้าวไกลและนายพิธา รีบถอย ยุติการเจรจากับพรรชาติพัฒนากล้าแล้ว “พรรคก้าวไกลขอน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมด และกราบขออภัยประชาชน ที่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล จะทำบนพื้นฐานจุดยืนทางการเมือง นโยบายหลักของพรรคตามที่ได้เคยหาเสียงไว้ รวมถึงขอโทษพรรคชาติพัฒนากล้า ที่ต้องยุติการเจรจาครั้งนี้ และสุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่พรรค และว่าที่ผู้แทนราษฎรก้าวไกลทุกคน ที่คอยตรวจสอบ ท้วงติงการทำงานของผู้บริหารพรรค เพื่อให้พรรคยืนหยัดในจุดยืน อุดมการณ์เดิมอย่างมั่นคง พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค”

ขณะที่นายพิธา ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “ขอโทษครับ ผมจะระลึกไว้เสมอ "พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค"

2."เรืองไกร" ยื่น กกต. ฟัน “พิธา” พ้น หน.ก้าวไกล ชี้ข้อบังคับพรรคมัดตัวเองขาดคุณสมบัติ เหตุถือหุ้นสื่อไอทีวี ด้าน "สนธิญา" เร่ง กกต.ส่งศาลฎีกา-ศาล รธน.วินิจฉัย!


เมื่อวันที่ 16 พ.ค. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เข้าข่ายพ้นจากสมาชิกพรรคและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 24 หรือไม่ และจะมีความผิดตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 112 วรรคหนึ่งหรือไม่

จากกรณีที่นายพิธาถือครองหุ้นสื่อ บริษัทไอทีวี จำกัด มหาชน โดยนายเรืองไกร ระบุว่า การเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลของนายพิธา จะต้องเป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 24 ที่ระบุว่า สมาชิกพรรคต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามที่กำหนดในข้อบังคับตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 การถือครองหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชนใดๆ

ขณะที่มาตรา 112 ระบุว่า คนที่รู้ตัวว่าไม่มีคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามในการเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิก รวมถึงกรรมการบริหารอื่นของพรรค แต่ยินยอมรับการแต่งตั้งเพื่อดำรงตำแหน่งดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะที่พรรคการเมืองแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง โดยรู้ว่าคนนั้นไม่มีคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท

นอกจากนี้ ในข้อบังคับพรรคก้าวไกล ซึ่งยังใช้บังคับอยู่ในขณะที่นายพิธา แสดงตนเป็นสมาชิกพรรค ในข้อ 12 ระบุว่า สมาชิกต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม คือเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิลงรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาเป็นสมาชิกพรรค ข้อ 21 กำหนดการสิ้นสมาชิกว่า เมื่อขาดคุณสมบัติตามข้อ 11 หรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 12 ส่วนข้อ 37 ได้บอกว่า กรรมการบริหารพรรคจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อพ้นจากสมาชิกภาพ ดังนั้นข้อบังคับพรรคก้าวไกล ข้อ 12 (6) จึงรวมถึงลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ทุกอนุมาตรา และใน (3) กำหนดว่า คนที่ถือครองหุ้นสื่อใดๆ เป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ลงสมัคร จากเหตุดังกล่าวทำให้ต้องร้องต่อ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่า นายพิธาจะเข้าข่ายต้องพ้นจากสมาชิกพรรค และหัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่

ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล แต่งตั้ง หรือยินยอมให้นายพิธา ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค โดยรู้ หรือควรรู้ว่านายพิธามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งดังกล่าว จะเข้าข่ายมีคามผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 112 วรรคสองหรือไม่? กรรมการบริหารอื่นของพรรค ที่ร่วมรับรู้หรือสนับสนุนให้นายพิธายังคงเป็นสมาชิกและหัวหน้าพรรค จะเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 หรือ มาตา 86 ด้วยหรือไม่?

และผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ของพรรคก้าวไกลทุกคน ที่ยินยอมหรือยอมรับให้นายพิธาใช้สถานะของหัวหน้าพรรคลงนามรับรองให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อจะเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกด้วยหรือไม่? จึงขอให้ กกต. ตรวจสอบเพิ่มเติมในเรื่องนี้

นายเรืองไกร ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพิธาถือหุ้นสื่อ บริษัท ไอทีวี ด้วยว่า "การถือหุ้นไอทีวี เดิมเมื่อปี 2549 เป็นชื่อของบิดา ก่อนมาปรากฏเป็นชื่อของนายพิธาเมื่อปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้รวบรวมหลักฐานเตรียมยื่นต่อ กกต.แล้ว โดยพบว่าเลขหุ้นมีการเคลื่อนไหว เนื่องจากยังมีการดำเนินกิจการอยู่ สัดส่วนของผู้ถือหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมา แต่หุ้นของนายพิธายังมีอยู่เท่าเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเมื่อเป็นคำร้องแล้ว ก็ให้พรรคก้าวไกล และนายพิธาไปยื่นแก้ข้อกล่าวหาตามขั้นตอน คนตัดสินคือกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง ณ วันนี้คิดว่าต้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับกรณีการถือหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รอดหรือไม่ขึ้นอยู่กับการต่อสู้คดีของนายพิธา และการตัดสินของศาล"

ต่อมา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. นายสนธิญา สวัสดี ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. ให้สอบการถือหุ้นสื่อ บริษัท ไอทีวี ของนายพิธา เช่นกัน พร้อมขอให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยนายสนธิญา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา เลขาธิการ ป.ป.ช.ออกมาแถลงชัดเจนแล้วว่า นายพิธาได้แจ้งการถือหุ้นไอทีวี จำนวน 42,000 กว่าหุ้น ซึ่งที่ผ่านมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และนายศรีสุวรรณ จรรยา ก็มาร้องต่อ กกต. แล้ว ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญมาตรา 160(6) กำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่า ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) ส่วนตัวจึงเห็นว่า นายพิธาเป็นแคนดิเดตนายกฯ และอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีใน 2 เดือนข้างหน้า หากไม่ทำให้เรื่องนี้ให้ชัดเจน จะเกิดความเสียหายตามมา เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า นายพิธามีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร และการที่เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล เซ็นส่งผู้สมัคร ส.ส. 400 เขต ก็จะทำให้ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจากพรรคก้าวไกลเป็นโมฆะ รวมถึงการเซ็นโครงการต่างๆ ของรัฐบาลใหม่ ในฐานะรัฐมนตรีก็จะเป็นโมฆะด้วย

“ขอให้ กกต.เร่งรัดตรวจสอบการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อนเลย เพราะ ป.ป.ช.ก็แถลงแล้วว่า นายพิธาได้แจ้งเรื่องการถือหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว และที่ผ่านมา ก็มีคนร้องเรียนแล้ว กกต. จึงไม่ต้องพิจารณาวินิจฉัยอะไรมากมายไปกว่าการส่งเรื่องไปสู่ศาลฎีกา หรือศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย หาก กกต.ไม่ดำเนินการ อีก 2 อาทิตย์จะไปยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วถ้าภายใน 60 วันผู้ตรวจการแผ่นดินยังไม่เสนอไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ผมก็จะยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเอง”

นายสนธิญา กล่าวด้วยว่า ถ้านายพิธามองว่า การถือหุ้นไอทีวีไม่มีผลตามกฎหมายแล้ว เพราะทางบริษัทได้ยุติการประกอบธุรกิจสื่อไปแล้ว นายพิธาจะไปยื่นต่อ ป.ป.ช.ทำไมว่า เป็นผู้จัดการกองมรดก และเท่าที่ทราบ นายพิธาไปยื่นหลังจากที่เป็น ส.ส. ปี 2562 แล้ว 2-3 ปี ซึ่งยังไม่รู้ว่า หากผิด จะมีผลย้อนหลังไปถึงการเป็น ส.ส. เมื่อปี 2562 หรือไม่ ดังนั้น จึงควรตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน เมื่อเป็นนายกฯ จะได้ใสสะอาด ถูกต้องตามกฎหมาย สง่างาม ถ้าไม่ตรวจสอบตอนนี้ ไม่ตรวจสอบตอนเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมากกว่านี้

3. ศาลฎีกานักการเมือง พิพากษาจำคุก 3 อดีต ส.ส.ภูมิใจไทย คนละ 9 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีเสียบบัตรแทนกัน!



เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ฟ้องนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ อดีต ส.ส. พัทลุง เขต 2 พรรคภูมิใจไทย, นายภูมิศิษฏ์ คงมี อดีต ส.ส.พัทลุง เขต 1 พรรคภูมิใจไทย และนางนาที รัชกิจประการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย เป็นจำเลย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรณีเสียบบัตร ส.ส. แทนกันในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)

คดีนี้ จำเลยทั้ง 3 คนถูกกล่าวว่ายินยอมให้บุคคลอื่นเสียบบัตรแสดงตนแทนในการลงมติเรียงตามรายมาตรา ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 เมื่อวันที่ 10-11 มกราคม 2563 เป็นเหตุให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 วาระที่ 2-3 ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ส.ส. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีโทษตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ พิจารณาพยานหลักฐานเเล้วเห็นว่า จำเลยกระผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก ส.ส. ภูมิใจไทยทั้ง 3 ราย คนละ 1 ปี แต่ไต่สวนแล้วมีเหตุให้บรรเทาโทษ จึงลดโทษ 1 ใน 4 คงจำคุกคนละ 9 เดือน โดยไม่รอลงอาญา เเละสั่งให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งทางการเมือง พร้อมตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต

ด้านจำเลยทั้งสาม ได้ยื่นหลักทรัพย์พร้อมคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ระหว่างชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ซึ่งศาลพิจารณาเเล้ว อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ1 ล้านบาท

4. "ณธีภัสร์" หลั่งน้ำตาลาออกจากว่าที่ ส.ส. ก้าวไกล หลังถูกจับเมาแล้วขับ ศาลสั่งจำคุก 2 เดือน รอลงอาญา 2 ปี พักใช้ใบขับขี่ 6 เดือน!



เมื่อวันที่ 16 พ.ค.66 เวลา 02.00 น. ขณะที่ชุดปฏิบัติการ 2 กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์และกวดขันวินัยจราจร บริเวณ ถ.ประเสริฐมนูกิจ แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ได้พบรถยนต์ที่ผ่านจุดตรวจลักษณะต้องสงสัย จึงเรียกตรวจ พบว่า มี น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ อายุ 46 ปี เป็นผู้ขับขี่ ทราบภายหลังว่า เป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล

เจ้าหน้าที่ได้ขอตรวจวัดแอลกอฮอล์เบื้องต้น แต่ถูกปฏิเสธ จึงให้รถยนต์คันกล่าวจอดในพื้นที่ตรวจวัด แล้วเชิญตัวผู้ขับขี่มาทำการตรวจวัดด้วยเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์แบบยืนยันผลต่อไป แต่ผู้ถูกจับกุมได้พยายามประสานขอคำแนะนำจากบุคคลอื่นผ่านโทรศัพท์ และไม่ยินยอมทดสอบเครื่องทดสอบวัดค่าแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยลมหายใจ เจ้าหน้าที่ได้พยายามแนะนำขั้นตอนการปฏิบัติแล้ว แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ

จนเวลาล่วงเลยไป ประมาณ 03.00 น. ได้มีผู้หญิงคนสนิทของผู้ถูกจับกุมเดินทางมายังจุดตรวจ และช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจเจรจาให้ผู้ขับขี่ให้ความร่วมมือ ปฏิบัติตามขั้นตอนการทดสอบในเวลา 03.20 น. ผลการทดสอบลมหายใจลงในเครื่องทดสอบ วัดค่าได้ 66 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จึงทำบันทึกจับกุม และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม เพื่อดำเนินคดีต่อไป

วันเดียวกัน (16 พ.ค.) นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล ลำดับที่ 27 แถลงข่าวกรณี น.ส.ณธีภัสร์ ถูกตำรวจขอตรวจวัดแอลกอฮอล์ ก่อนพยายามโทรหาบุคคลอื่นและไม่ยินยอมเป่าแอลกอฮอล์ กระทั่งสุดท้ายยอมเป่าและพบระดับแอลกอฮอล์สูงกว่ากฎหมายกำหนด

โดย น.ส.ณธีภัสร์ เปิดใจน้ำตาคลอว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมาแล้วขับ ต้องกราบขอโทษประชาชนทุกคน และน้อมรับความผิดที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยจะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเหมือนประชาชนทั่วไป สิ่งที่รู้สึกตอนนี้เสียใจมากที่ทำให้ประชาชนผิดหวัง และขอลาออกจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งการไม่เป็น ส.ส.จะไม่สามารถโหวตสมรสเท่าเทียมที่ตนผลักดันมาตลอดได้

น.ส.ณธีภัสร์ ยืนยันว่า การลาออกจาก ส.ส. เป็นการตัดสินใจร่วมกันของตัวเองและพรรค และว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ไปพบเพื่อนตอน 5 ทุ่ม และได้ดื่มไป 3-4 แก้ว เมื่อเจอด่านก็จอดรถ ไม่มีท่าทีขัดขืนไม่ทำตามตำรวจ โดยได้โทรหาเพื่อนให้มาอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น ตนได้ยินยอมกับตำรวจว่าจะเป่า ไม่ได้หลีกเลี่ยงจะไม่ยอมเป่า จากนี้จะปฏิบัติตัวให้ดีขึ้นตามที่ประชาชนคาดหวัง เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค

ทั้งนี้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญามีนบุรี 1 ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เป็นจำเลย ต่อศาลอาญามีนบุรี ในความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522, พ.ร.บ.รถยนตร์ พ.ศ.2522 พร้อมขอให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถของจำเลยด้วย

ด้านจำเลยได้แถลงไม่ต้องการทนายความ พร้อมกับให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลอาญามีนบุรี จึงมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุก 4 เดือน ปรับ 8,000 บาท รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือนและปรับ 4,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา มีกำหนด 2 ปี และให้คุมประพฤติจำเลย โดยไปรายงานตัว ต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน ภายในเวลา 1 ปี กับให้จำเลยทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควร เป็นเวลา 12 ชั่วโมงด้วย และมีคำสั่งให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่รถของจำเลย เป็นเวลา 6 เดือน หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

สำหรับ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ หรือเตอร์ เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่้อ พรรคก้าวไกล ลำดับที่ 27 อายุ 46 ปี การศึกษาปริญญาโท สาขาการเงิน วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรภาษาอังกฤษ ปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การทำงาน ประกอบธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับชิ้นส่วนทางด้านวิศวกรรม เคยเป็น ส.ส.สมัยแรก พรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งปี 2562 ถือเป็น ส.ส.อีกหนึ่งคนที่ร่วมผลักดันร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ร่วมกับนายธัญญ์วาริน สุขะพิศิษฐ์ นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ และ น.ส.กวินนาถ ตาคีย์

5. ศาลอาญา พิพากษาจำคุก "จตุพร" 1 ปี 12 เดือน คดีนำม็อบบุกบ้าน "ป๋าเปรม" ก่อนให้ประกันตัวสู้คดีชั้นอุทธรณ์!



เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีชุมนุมปิดล้อมบ้านสี่เสาเทเวศร์ บ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายศราวุธ หลงเส็ง ผู้ชุมนุม นปช. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 215, 216

จากกรณีเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 แกนนำและแนวร่วม นปช. ได้นำขบวนผู้ชุมนุมหลายพันคนจากเวทีปราศรัยเคลื่อนที่สนามหลวง ไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม เพื่อเรียกร้องกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีการใช้อิฐตัวหนอน กระถางต้นไม้ ไม้เสาธง และมีดดาบเป็นอาวุธ ในการประทุษร้าย ต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ

สำหรับสำนวนคดีที่ 2 นี้ อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2557 หลังจากนายจตุพร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย พ้นสมัยประชุมสภา

เบื้องต้น นายจตุพร จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี แต่ระหว่างการพิจารณา นายจตุพรขอกลับคำให้การเดิมเป็นรับสารภาพ ส่วนนายศราวุธ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด

เมื่อศาลนัดฟังคำพิพากษา นายจตุพร และนายศราวุธ จำเลยทั้งสองพร้อมทนายความ เดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจ

มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ คดี นปช.บุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ สำนวนคดีแรกที่พนักงานอัยการฟ้องแกนนำ นปช. และผู้ชุมนุมรวม 7 ราย ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกนายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช., นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. คนละ 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา

ทั้งนี้ ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา นายจตุพร กล่าวว่า ไม่มีความกังวล เพราะยังไงก็จำคุกอยู่แล้ว ในสำนวนแรก สารภาพในชั้นฎีกาซึ่งทำไม่ได้ ตนได้เคยโทรศัพท์ขอกราบอโหสิกรรมกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ นี่คือโลกแห่งความเป็นเป็นจริง มนุษย์เรามีทั้งเรื่องที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้น คดีนี้จำเลยเหลือ 7 คน แต่ว่าคดีขาดอายุความไป 5 เหลืออยู่ 2 คน รอคดีแรกให้ยุติ ถึงจะพิจารณาสำนวน 2 ตนไม่สู้คดีอยู่แล้ว ยอมรับความจริง น้อมรับคำพิพากษาของศาล และจะยื่นอุทธรณ์และใช้หลักทรัพย์เดิม จำนวน 300,000 บาท

ด้านศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า ในส่วนของนายจตุพร จำเลยที่ 1 รับฟังข้อเท็จจริงโดยปราศจากข้อสงสัยว่า กระทำผิดตามฟ้องจริง ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดฯ ตามมาตรา 138 วรรคสอง มาตรา 86 มาตรา 215 วรรคแรก และมาตรา 216 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ จำคุก 3 ปี ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน จำคุก 1 ปี แต่นายจตุพร ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และจำคุก 6 เดือนตามลำดับ รวมจำคุกนายจตุพร เป็นเวลา 1 ปี 12 เดือน

ส่วนนายศราวุธ จำเลย 2 นั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 2 ขับรถกระบะพุ่งชนเจ้าหน้าที่ตำรวจและแผงเหล็กกั้น มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเบิกความว่า ไม่สามารถจดจำใบหน้าผู้กระทำผิดได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

หลังฟังคำพิพากษา นายจตุพรได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ด้านศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 2 เเสนบาท โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไขแต่อย่างใด


กำลังโหลดความคิดเห็น