สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในหลายประเทศ แม้แต่สหรัฐอเมริกาและรอบบ้านเรา เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นที่ซูดานในวันนี้ จากการขัดแย้งทางความคิดหรือผลประโยชน์ของคน ๒ ฝ่าย หรือจากคน ๒ คนเท่านั้น แต่ทำให้ย่อยยับไปทั้งประเทศทั้งเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต บางทีก็ยิ่งกว่ารบกับคนนอกประเทศเสียอีก อย่างซูดานในวันนี้ ไฟฟ้าน้ำประปาไม่มีใช้ อาหารก็เกลี้ยงตลาด ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่กันได้อย่างไร และทุกครั้งที่สู้รบกันกลางเมือง คนที่ตายมากก็ไม่ใช่ ๒ ฝ่ายที่จับอาวุธเข้าสู้กัน แต่เป็นประชาชนที่โดนลูกหลง
ไทยเราก็ใช่ว่าจะไม่เคยมี แต่ก็ไม่รุนแรงอย่างที่อื่นเขา และครั้งหนึ่งความขัดแย้งทางการเมืองทำให้คนออกมาเต็มถนน และอีกฝ่ายก็เข้าปราบปรามอย่างรุนแรงเกินเหตุ ผู้คนในถนนราชดำเนินบาดเจ็บล้มตายกันไปหลายคน ผู้ที่หลบภัยเข้าไปในโรงแรมรัตนโกสินทร์ถูกลากตัวออกมาทำร้าย สื่อมวลชนต่างประเทศได้แพร่ภาพการปราบปรามประชาชนนี้ออกไปทั่วโลก สร้างความสลดหดหู่ใจแก่ผู้พบเห็นความโหดร้าย และเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “พฤษภาทมิฬ”
เหตุการณ์รุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้นำฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ซึ่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของฝ่ายต่อต้านเพื่อป้องกันการชิงตัว แต่ก็ยังถูกสารวัตรทหารบุกฝ่าวงล้อมเข้าไปอุ้มได้ นำไปขังไว้ที่โรงเรียนพลตำรวจ บางเขน ฝ่ายถูกปราบก็ไม่ยอมถอย เหตุการณ์ทำท่าว่าจะบานปลายต่อไปอย่างน่าวิตก
แต่แล้วในเวลา ๕ ทุ่มครึ่งของวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจและสถานีวิทยุทุกแห่งได้ถ่ายทอดข่าวสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระบรมมหาชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ พล.อ.สุจินดาและ พล.ต.จำลองเข้าเฝ้าที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทรงเริ่มพระราชดำรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ แต่หนักแน่นว่า
“คงไม่เป็นที่แปลกใจ ทำไมจึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้”
ทรงมีพระบรมราชาธิบายแก่บุคคลทั้งสองว่า แม้จะเป็นที่กระจ่างชัดตั้งแต่แรกว่า เหตุผลที่ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันคืออะไร แต่...
“ก็มีความเสียหายในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติอย่างที่จะนับคณนาไม่ได้” และ
“ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกหนทุกแห่ง มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่าประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก”
ทรงรับสั่งถามผู้นำทั้งสองฝ่าย ว่า
“แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ”
ผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างละทิฐิมานะ ยอมปฏิบัติตามพระราชดำรัส พล.อ.สุจินดาและ พล.ต.จำลองได้ออกแถลงทางโทรทัศน์ร่วมกัน พล.อ.สุจินดารับว่าจะปล่อยตัว พล.ต.จำลองและจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้ชุมนุม ส่วน พล.ต.จำลองก็ขอให้ผู้ชุมนุมยุติความวุ่นวาย แม้ผู้ชุมนุมยังไม่พอใจที่ พล.อ.สุจินดาไม่ยอมลาออก แต่ก็พร้อมใจกันสนองพระบรมราโชวาท ยอมยุติการประท้วง
การปราบปรามประชาชนที่ทำให้ชาวโลกสลดหดหู่ใจ ก็กลายเป็นเหตุการณ์ “โลกตะลึง” ที่ยุติลงทันทีทันใดด้วยพระราชดำรัสเพียงไม่กี่ประโยค ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอีกแล้วที่สามารถจะหยุดสงครามการเมืองได้เช่นนี้ ประชาชนชาวไทยต่างเทิดทูนในพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโลกก็ได้รับรู้ในพระบารมีของพระองค์
ไมเคิล ยอน นักเขียน นักข่าวสายสงคราม อดีตหน่วยรบพิเศษของสหรัฐ ซึ่งยืนยันว่าเห็นมีทหารแทรกอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและคอยปกป้องผู้ชุมนุม ได้เขียนบทความในเพจของเขาว่า
“ในฐานะที่ผมเป็นคนอเมริกัน ซึ่งถูกสอนมาตั้งแต่เกิด และถูกสอนในโรงเรียน ให้ปฏิเสธระบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีเหตุผลที่ดีในการสอนแบบนั้น อย่างไรก็ดี พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นบุคคลยกเว้นซึ่งหาได้ยากยิ่ง พระบาทาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ พระราชินีของพระองค์ ทรงได้รับความเคารพนับถืออย่างใหญ่หลวงจากผู้นำประเทศทั่วโลก สำหรับปวงชนชาวไทย พระองค์เป็นเสมือนพ่ออันเป็นที่รักอย่างหาที่สุดไม่ได้ของชาวไทยทุกคน ชาวไทยมิได้ใช้คำแทนพระองค์ท่านว่า พระมหากษัตริย์ หากแต่ใช้คำแทนพระองค์ท่านว่า พ่อหลวง ซึ่งแสดงถึงความใกล้ชิดของพระองค์ที่มีต่อปวงชนชาวไทย ราชวงศ์ไทยได้ทรงทำประโยชน์ด้านการพัฒนาการศึกษา ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และทรงเป็นผู้นำความสงบสุขและสันติภาพ เมื่อไรก็ตามที่มีความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งถ้าเป็นประเทศอื่น ก็คือ สงครามกลางเมือง”
นี่ก็เป็นสิ่งน่าภาคภูมิใจของคนไทย ที่เรามีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี