xs
xsm
sm
md
lg

“พิธา-ก้าวไกล” จิ๊กซอว์ตัวใหม่ Hybrid Warfare ของมะกันในอินโดแปซิฟิก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” ชี้ “พิธา-พรรคก้าวไกล” เป็นเพียงจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งของการทำ “สงครามพันทาง” หรือ Hybrid Warfare ของอเมริกาที่ต้องการคงอำนาจในเอเชียแปซิฟิก ทั้งพื้นฐานความคิดของแกนนำ-นโยบายแนวทางของพรรค เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับทูตสหรัฐฯ ในไทย ทั้งเรื่องยกเลิก ม.112 บังคับให้ไทยกดดันพม่า และดูเหมือนว่าความวุ่นวายถูกปูทางไว้แล้ว พร้อมเผยยุทธศาตร์ประเทศที่ควรเป็นคืออนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้า เห็นคุณค่าในรากฐานดั้งเดิม แต่ยอมรับพลวัตการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เข้ามาฒ



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงสิ่งที่สำคัญมากไปกว่าการกระทำ พฤติกรรม และคำโกหกแบบพูดกลับไปกลับมาของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมไปถึงแกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล หรือนางสาวพรรณิการ์ วานิช ก็คือการกระทำที่มีลักษณะเป็นการ “ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน” ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามในการยกเลิกมาตรา 112 ที่บอกว่าจะแก้ไขก่อน

ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ Ep.109 ได้เคยกล่าวเตือนนายพิธาไปเรื่องความไร้เดียงสา และในฐานะ ส.ส. รวมถึงหัวหน้าพรรคก้าวไกลให้ระมัดระวังในคำพูดที่เกี่ยวโยงกับความสัมพันธ์ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

โดยเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2564 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.และ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นเรื่องบทบาทการต่างประเทศของไทยต่อประเด็นการสังหารประชาชนและการรัฐประหารในพม่า โดย ระบุว่า

“วันที่ 21 ตุลาคม 2564 ผมได้ร่วมเวทีแสดงวิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศไทย ในงานเสวนา“ปรับยุทธศาสตร์เพิ่มพลังประเทศไทยในเวทีโลก”


“วิธีคิดของผู้นำทางการเมืองไทยที่เชื่อว่าเราจะมีที่ยืนในเวทีโลกเราต้องประนีประนอมโอนอ่อนผ่อนตามกับทุกคน แต่พอประเทศของเราไม่มีหลักการ คำพูดและการกระทำของไทยจึง ไม่มีจุดยืน ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีราคา

“ตัวอย่างเช่น การแสดงจุดยืนของไทยต่อการที่อาเซียนจะไม่เชิญผู้นำเมียนมา เข้าประชุมผู้นำอาเซียน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไทยได้กล่าวว่า“ไม่มีปัญหา แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน”สวนทางกับ 5 ชาติอาเซียน ได้แก่ บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่ยืนยันว่าไม่ต้องการให้ผู้นำเมียนมาเข้าประชุม เนื่องจากฉันทามติ 5 ข้อในการหาทางออกจากวิกฤตความรุนแรงในเมียนมาไม่มีความคืบหน้า

“ต้องไม่มีอีกแล้วประเทศไทยที่ไม่แสดงจุดยืนอะไรเลย ตอนที่อาเซียนมีมติไม่เชิญผู้นำทหารเมียนมาเข้าร่วมประชุมเพราะไม่ทำตามฉันทามติ 5 ข้อ ต้องไม่มีอีกแล้วประเทศไทยที่ไม่ยอมโหวตในมติ non-binding หรือมติที่ไม่ได้มีความผูกพันทางกฎหมายด้วยซ้ำ ของสมัชชา UN เพื่อป้องกันการไหลเวียนของอาวุธเข้าเมียนมา

“ต้องไม่มีอีกแล้วครับ ประเทศไทยที่นายกรัฐมนตรีแอบไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศที่เพิ่งขึ้นมาจากการรัฐประหารที่สนามบิน”

ในรายการวันนั้น นายเตือนทั้งนายพิธา และ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาตอบโต้นายพิธาไปด้วยว่า“อย่าอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์”เพราะท่าทีของทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายนายพิธา และรัฐบาล ล้วนแล้วแต่ผลักให้ไทยก้าวเข้าไปอยู่ในจุดสุ่มเสี่ยงว่าจะลากไทยเข้าไปสู่สมรภูมิความขัดแย้ง


ฝั่งนายพิธาก็คือ การเรียกร้องให้เปิดประตูอ้าซ่าให้ต่างชาติเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำทำอะไรกับไทยก็ได้เลย ให้รัฐบาลไทยร่วมกดดันรัฐบาลพม่า ให้ NGO ฝรั่งเข้ามาครอบงำ ดำเนินนโยบายแทรกแซงพม่าได้เต็มที่

ส่วนฝั่งรัฐบาล (ซึ่งส่งนายธนกรออกมาเป็นกระบอกเสียง)ก็มุบมิบให้สหรัฐฯ มาตั้งสถานกงสุลที่ใหญ่โตมโหฬารมูลค่า 10,000 ล้านบาท ที่จังหวัดเชียงใหม่


ปล่อยให้มีการขนอาวุธ ขนหน่วยสืบราชการลับ เข้าไปปฏิบัติการฝึกอาวุธฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าแบบสบายใจเฉิบ โดยใช้พื้นที่อย่าง จ.เชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางในการบัญชาการ และกระจายหน่วยงานต่าง ๆ ออกไปช่วยเหลือชนกลุ่มน้อยที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ และสู้รบกับทหารของรัฐบาลพม่า ไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยง หรือ กองกำลัง PDF (กองกำลังพิทักษ์ประชาชน - People's Defense Force) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของฝั่งนางอองซาน ซูจี ที่ทางตะวันตกหนุนหลังอยู่


นอกจากนี้ ปีที่แล้วเดือนพฤษภาคม 2565(ช่วงวันที่ 12-13 พฤษภาคม)พอนายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กวักมือเรียกบรรดาผู้นำอาเซียนให้ไปประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่สหรัฐอเมริกา “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ก็รีบวิ่งแจ้นไปทันที โดยการเรียกผู้นำอาเซียนไปก็เพื่อที่ไบเดนจะมาเป่ากระหม่อมบอกว่าสหรัฐฯ จะยังคงอิทธิพลกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมถึงมาตรการระยะยาวเพื่อรับมือความท้าทายจากจีนที่อเมริกาถือว่าเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งด้วย


ซึ่งในเวลาต่อมาก็มีหลักฐานอันประจักษ์ชัดว่า ในประเทศ ในภูมิภาค ในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางยุทธศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง, ไต้หวัน, ซินเกียง, ทะเลจีนใต้, ลุ่มแม่น้ำโขงนั้นล้วนแล้วแต่ถูกแทรกซึม และแทรกแซงโดยมหาอำนาจจากสหรัฐฯ ทั้งหมด โดยมีจุดประสงค์หลักคือการปิดล้อมประเทศจีน

นอกจากนี้ยังมีกรณีล่าสุดที่ประจักษ์ชัดถึงผลกระทบอันร้ายแรงของการแทรกแซงของสหรัฐอเมริกา และชาติตะวันตกก็คือ การปะทุขึ้นของ“สงครามยูเครน”ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565

เพียงแค่ 4 เดือน ภายหลังจากที่นายพิธาโชว์วิสัยทัศน์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความอ่อนหัดทางการเมือง-การต่างประเทศออกมาด้วยการออกมาบอกว่า ประเทศไทยต้องดำเนิน“นโยบายทางการทูตแบบยืนหลังตรง”ด้วยการกดดันรัฐบาลทหารพม่าตามชาติตะวันตก และถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะทวงคืนศักดิ์ศรีของการต่างประเทศไทย โดยจะทำการทูตแบบยืนหลังตรงในเวทีโลกสงครามยูเครนก็ปะทุขึ้นเป็นตัวอย่าง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือนไปแล้วหลายแสนคน จากข้อมูลของ UNHCR ประชาชนยูเครนถึง 20% หรือราว 8 ล้านคน ต้องอพยพหนีออกนอกประเทศ


นี่คือตัวอย่าง และ ผลลัพธ์ผู้นำประเทศที่ดำเนิน“นโยบายทางการทูตแบบยืนหลังตรง”เหมือนที่“นายพิธา”และ“พรรคก้าวไกล”บอก ไม่ต่างอะไรกับการดำเนินนโยบายของ“นายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี้” กับ“พรรคผู้รับใช้ประชาชน” ของยูเครนซึ่งผลลัพธ์ก็เห็นตำตาอยูทุกเมื่อเชื่อวันนี้ว่า ยูเครนกลายเป็นประเทศที่บ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ประเทศชาติล่มสลาย เศรษฐกิจล้มละลาย ประเทศกลายเป็นซากปรักหักพังที่ไม่รู้อีกกี่สิบปีจึงจะสามารถพลิกฟื้นคืนกลับมาได้


“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะท่านผู้ชม หลายครั้งแล้วว่าไทยต้องแสดงจุดยืน ต้องเข้าแทรกแซงการเมืองในพม่า ผมอยากถามคุณพิธาว่า“คุณไปเสือกอะไรกับการเมืองภายในของเขา?”เพราะ แค่ปัญหาในประเทศไทยยังแก้ไม่ได้เลย แค่ม็อบสามนิ้ว หรือว่าม็อบทะลุฟ้า ม็อบทะลุแก๊ส ซึ่งโยงไปโยงมา ถึงคุณพิธา จะไม่ใช่ผู้สนับสนุนโดยตรง โดยที่ไม่มีหลักฐานโยงถึง แต่ว่าทีมงานของคุณก็เป็นทีมงานที่ดำเนินการไปช่วยเหลือทางกฎหมาย ล่าสุดพรรคพวกคุณเข้าไปยื่นหนังสือต่อประธานศาลฎีกา ว่า ส.ส. พรรคก้าวไกล พร้อมจะเสนอตัวประกันตัวให้กับผู้ต้องหาในคดี 112” นายสนธิ กล่าว

การเข้าไปยุ่งในการเมืองระหว่างประเทศของนายพิธา ไม่ได้มีแค่พม่า ยังมีทั้งฮ่องกง ไต้หวัน ซินเกียง ทิเบต ปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้ ม็อบอิหร่านที่พรรคก้าวไกลกับคณะก้าวหน้าของนายธนาธร พยายามทำตัวเท่ พยายามอ้างว่ายืนอยู่ข้างประชาธิปไตย


ม็อบคณะราษฎรที่ทางบุคลากรของพรรคก้าวไกลสนับสนุน มีการโบกธงเรียกร้องเอกราชในฮ่องกง, ไต้หวัน, ทิเบต และ เตอร์กิสถานตะวันออก (ซินเกียง) ในช่วงเดือนตุลาคม 2563

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ทวิตสนับสนุนม็อบอิหร่านในการต่อต้านรัฐบาล ตามการชี้นำของ Freedom House NGO ในความควบคุมของรัฐบาลวอชิงตัน ดี.ซี จนทำให้สถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทยต้องออกมาตอบโต้


“คุณพิธาครับ คุณยอมรับความจริงเสียที ในความเป็นจริงคุณก็คือลิ่วล้อ สุนัขรับใช้ เป็นแค่เครื่องมือของการครอบงำของมหาอำนาจในระดับโลก โดยยุทธศาสตร์แทรกแซงการเมืองในภูมิภาคนี้เท่านั้น จุดประสงค์หลัก ๆ ของมหาอำนาจที่เขาครอบงำพื้นภูมิภาคนี้ และคุณไปทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ ก็คือการปิดล้อมจีน ตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” นายสนธิกล่าว

พิธายอมรับ “ผมคือผลผลิตของระบบการศึกษามะกัน” ทำงานร่วมกับ“ราล์ฟ บอยซ์”อดีตทูตมะกันในไทยมานานแล้ว

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทูเดย์ ในเครือเวิร์คพอยท์ เมื่อถูกถามเรื่องความเห็นและแนวนโยบายการต่างประเทศของตัวเองในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล นายพิธายังโจมตีว่านโยบายปัจจุบันของไทยนั้นไม่มีกระดูกสันหลัง และเป็นนโยบายที่เรียกว่าไผ่ลู่ลม (Bamboo Diplomacy) พร้อมทั้งบอกชัดเจนเป็นภาษาอังกฤษว่า


“ถ้าผมอยู่ในอำนาจ นโยบายต่างประเทศของผมก็คือ ถ้าคุณไม่พูด คุณก็จะไม่มีตัวตน คุณไม่สามารถที่จะไม่มีกระดูกสันหลังได้ คุณต้องมีจุดยืน และพูดออกมา”

ในรายการดังกล่าวนายพิธา ยังยอมรับว่าตัวเองเป็น “ศิษย์เก่าอเมริกา” และเป็น “ผลผลิตทางการศึกษาของอเมริกัน” โดยทำงานร่วมกับสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่สมัยนายราล์ฟ บอยซ์(Ralph L. Boyce; อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยในช่วงปี 2547-2550)

“ช่วงที่ผ่านมาเรารู้สึกได้ถึงการขาดช่วงไปในบทบาทของอเมริกา ในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ... ผมเป็นศิษย์เก่าอเมริกา ผมเป็นผลผลิตของระบบการศึกษาของอเมริกา ดังนั้นผมเลยทำงานกับพวกเขาเยอะมาก ตั้งแต่เอกอัครราชทูต ราล์ฟ บอยซ์ เราคุยกันถึงเรื่องการศึกษา เราคุยกันถึงเรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ...”


สำหรับนายราล์ฟ บอยซ์ ทูตคนนี้นี่พูดได้หลายภาษาทั้งอังกฤษ เปอร์เชียน ฝรั่งเศส รวมถึงภาษาไทยที่พูดคล่องมาก

ในช่วง นายทักษิณ ชินวัตร กับพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล นายราล์ฟ บอยซ์ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย รวมถึงมีบทบาทในการชักจูงให้สหรัฐอเมริกาปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศโดย ลดความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยลงอย่างมากด้วย

นายสนธิได้กล่าวถึงบทบาทของนายราล์ฟบอยซ์ ว่า ในช่วงนั้นจะติดต่อคนในวงการทุกคนไม่ว่าจะเป็นอานันท์ปันยารชุนนายสุลักษณ์ศิวรักษ์นักวิชาการต่างๆทำตัวเป็นหัวหน้า CIAของอเมริกาในเมืองไทยและเป็นคนที่พยายามเคลื่อนไหวและพยายามที่จะรายงานข่าวกลับไปทางอเมริกาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9กำลังแย่คะแนนนิยมตกต่ำมากนี่คือฝีมือนายราล์ฟบอยซ์ผู้ใหญ่หลายๆคนที่นายราล์ฟบอยซ์ไปคุยด้วยนายราล์ฟบอยซ์สืบราชการลับแล้วก็แจ้งไปหรือพูดกับผู้ใหญ่หลายคนว่าตอนนี้ประชาชนไม่ค่อยศรัทธาในพระเจ้าอยู่หัวเท่าไรนัก

นายราล์ฟบอยซ์ติดต่อหมดทุกคนแม้กระทั่งนายปีย์มาลากุลซึ่งเป็นตัวประสานงานระหว่างสำนักพระราชวังกับกลุ่มต่างๆนายราล์ฟบอยซ์เชื่อมั่นเลยว่าสถาบันกษัตริย์จะเริ่มเสื่อมถอยลงไปตั้งแต่รัชกาลที่ 9เป็นต้นไปแต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จออกสีหบัญชรที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม


“ท่านผู้ชมจำได้ไหมจำได้สิผมยังไปเลยผมใส่เสื้อเหลืองคนแน่นไปหมดเลยทั้งหน้าพระที่นั่งอนันตฯยาวไปจนถึงสนามหลวงนายราล์ฟบอยซ์เห็นแล้วประสาทรับประทานเลยตกใจนึกไม่ถึงว่าคนรักพระเจ้าอยู่หัวมีความรักอย่างล้นหลามแล้วเสื้อเหลืองออกมาเต็มบ้านเต็มเมืองทุกจังหวัดนายราล์ฟบอยซ์ประสาทแดก (ขอโทษนะครับต้องใช้ภาษาที่หยาบหน่อย)เฮ้ยกูเข้าใจผิดแล้วทีท่าของนายราล์ฟบอยซ์ก็เลยเปลี่ยนไปนี่ไงนายราล์ฟบอยซ์ที่คุณพิธาบอกว่าสนิทด้วยนี่คือเบื้องหลัง” นายสนธิ กล่าว

กลับมาถึงเรื่องมุมมองด้านการต่างประเทศของนายพิธา นายพิธายังบอกด้วยว่า ความฝันสูงสุดของตัวเองก็คือ การเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ โดยสารภาพว่า จากการคลุกคลีของตนกับ เพื่อนฝูงที่ทำงานให้กับสหประชาชาติ, Oxfam (องค์กรการกุศลในอังกฤษ), Amnesty International, ICCPR (กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง)และองค์กรโลกบาลอื่น ๆ

ผู้ที่มีปูมหลัง มีพื้นฐานเรื่องประวัติศาสตร์ การเมืองการต่างประเทศบ้างก็จะทราบดีว่าองค์กรเหล่านี้นั้นเป็นองค์กรที่ตกอยู่ในอาณัติและการครอบงำจากรัฐบาลชาติตะวันตกทั้งนั้น

พอเห็นอย่างนี้ นายพิธาก็เลยคิดว่าในอนาคตตัวเองน่าจะเป็นเลขาธิการสหประชาชาติได้ !?! พร้อมทั้งบอกด้วยว่า“นี่มันรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยนี่นา มันเป็นของจริง และมันท้าทายมาก ...”

นายพิธาพูด ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่ความฝันไปตรงกับ รุ่นพี่ MIT อีกคนที่มีชื่อว่า “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครด้วย

“ประเด็น คือ“คุณพิธา” คุณอย่าคิดว่าคุณเรียนจบฮาร์วาร์ด เอ็มไอที มีความฝันอันยิ่งใหญ่คืออยากเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งพูดมันเท่ พูดแล้วมันดูยิ่งใหญ่ การจบ MBA จาก Sloane School of Managementที่ MIT ไม่ได้ทำให้คุณยอดมนุษย์ไอรอนแมนนะ เวลาดำเนินนโยบายผิดพลาด กับ บ้านเมืองเวลามันล้มละลาย ล่มสลายผลกระทบมันกว้างใหญ่ไพศาล กลายเป็นตราบาปติดตัวไปชั่วลูกชั่วหลาน


“ซึ่งจริง ๆ แล้ว “คุณพิธา” คุณก็ไม่ใช่คนไทยแท้ๆ หรอก คุณก็ลูกเจ๊ก หลานเจ๊ก แซ่ลิ้ม เหมือนผมนี่แหละ คุณลิ้มเจริญรัตน์ ส่วนผมลิ้มทองกุล บรรพบุรุษของพวกเราต่างก็หนีความทุกข์ยากจากประเทศจีนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของราชวงศ์จักรี ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เหมือนผมนี่แหล่ะ คุณอย่าลืมรากเหง้า และคุณอย่าลืมจุดนี้ ผมขอเตือนคุณไว้” นายสนธิ กล่าว

ประเทศไทย หมากของ “สหรัฐฯ” ในสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) ภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

เมื่อพูดถึง “การแทรกแซงการเมือง” ในประเทศต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา วัยรุ่น คนรุ่นใหม่หลายคน รวมถึงคนรุ่นเก่าบางคนอาจจะยังไม่ทราบถึงพัฒนาการของการดำเนินนโยบายต่างประเทศของชาติมหาอำนาจในยุคปัจจุบัน ว่าเขาพัฒนาไปสู่สงครามผสมผสาน ที่เรียกว่าHybrid Warfareหรือ "สงครามพันทาง" แล้ว


ทั้งนี้ การสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) เป็นยุทธศาสตร์ทางทหารซึ่งใช้การสงครามทางการเมือง และผสมรวมกับการส่งครามอื่น ๆ คือการสงครามตามแบบ (Conventional Warfare),การสงครามนอกแบบ (Unconventional Warfare) และการสงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare)

พร้อมกันนี้ยังใช้วิธีชักจูงจิตใจแบบอื่น (Psychological warfare)เช่น ข่าวปลอม ,การทูต การเมือง การแบ่งฝักฝ่ายทางสังคม การต่อสู้ทางกฎหมาย การแทรกแซงการเลือกตั้งต่างประเทศและปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation: IO)ด้วย

มหาอำนาจโลกอย่างอเมริกาทำสงครามผสมผสานในการโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลที่ซับซ้อน สร้างข่าวปลอม ข่าวเท็จ fake news โน้มน้าวจูงใจต่อต้านรัฐบาลหรือสถาบัน สร้างความแตกแยก ร่วมกับการใช้แรงกดดันทางการทูตและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ สะท้อนถึงผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกนี้

เป็นที่ทราบกันดีว่า สหรัฐฯ ใช้สงครามผสมผสาน ในการแทรกแซงภูมิภาคอินโดแปซิฟิก โดยใช้กลวิธีต่าง ๆ เพื่อบ่อนทำลาย และปิดล้อมการขยายอิทธิพลของจีน โดยกลยุทธ์บางอย่างที่สหรัฐฯ ใช้ ยกตัวอย่างเช่น

ข้อพิพาทเกาะไต้หวันและทะเลจีนใต้ สหรัฐอเมริกาพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในข้อพิพาท ซึ่งเกี่ยวข้องกับจีนและประเทศสมาชิกอาเซียนหลายประเทศ โดยการร่วมฝึกซ้อมรบทางทหารในภูมิภาคนี้ ซึ่งจีนมองว่าเป็นการยั่วยุ การฝึกเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการติดตั้งเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือรบ และเครื่องบินขับไล่ และมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาค


ส่วนแรงกดดันทางการทูต สหรัฐฯ ได้พยายามสร้างแนวร่วมกับประเทศต่าง ๆ ในอินโดแปซิฟิก เพื่อท้าทายการอ้างสิทธิเหนือดินแดนของจีนในทะเลจีนใต้และเกาะไต้หวัน ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนประเทศต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนามในข้อพิพาทกับจีน และใช้อิทธิพลทางการทูตแนวทางพหุภาคี

สำหรับยุทธวิธีสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการทูตของอเมริกา เป็นกลวิธีในการทำสงครามแบบผสมผสาน กำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจพุ่งเป้าไปที่บริษัทและตัวบุคคลของจีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเกาะเทียมและศูนย์ปฏิบัติการทางทหารในภูมิภาค รวมทั้งธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ อ้างเป็นภัยคุกคามความมั่นคงและผลประโยชน์ของสหรัฐ เช่น สหรัฐฯ บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรเมียนมาหลังการรัฐประหารในปี 2564

แต่ที่มีบทบาทสำคัญในมิติสงครามข่าวสารคือ นักรบปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสาร ที่มีการโจมตีทางไซเบอร์เกี่ยวกับข้อพิพาทดินแดนกับจีน สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ปกป้องกฎหมายระหว่างประเทศและเสรีภาพเดินเรือ ขณะเดียวกันก็ให้ทุนแก่กลุ่มฝ่ายค้านทางการเมืองที่เป็นตัวแทนแนวคิดของอเมริกา โดยผ่านองค์กร เช่นNED หรือกองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy)หรือที่ผมเคยบอกให้ฟังไปแล้วว่า จริง ๆ ก็คือCIA ภาคพลเมือง


เป็นที่รู้กันดีว่า สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐหรือ CIA มักแทรกแซง การเมืองภายในของประเทศที่ขัดผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการลับ และการเปลี่ยนแปลงระบอบ การปกครองการปกครองประเทศนั้น รวมถึงใช้โมเดล“การปฏิวัติสี” (Color Revolutions) ซึ่งเป็นการชุมนุมประท้วงที่เคลื่อนไหวทาง การเมือง มักจะใช้สีเฉพาะเป็นสัญลักษณ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้ม รัฐบาล และมุ่งเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสำคัญภายในประเทศ โดยปลุกกระแสคนหนุ่มสาวออกมาชุมนุมประท้วงใหญ่และยั่วยุให้เกิดข้อขัดแย้ง มากขึ้นระหว่างตำรวจทหารกับประชาชน จนกระทั่งยกระดับความ รุนแรงมากขึ้นไปสู่แนวโน้มการก่อการร้ายและสงครามกลางเมือง เช่นเมื่อปีพ.ศ.2562-2563 การชุมนุมประท้วงจีนครั้งใหญ่ของคนหนุ่มสาวฮ่องกง เพื่อต่อต้านร่างรัฐบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนฮ่องกงในรัฐบาลของนางแครี่ แลม

จนในที่สุดรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ได้นำกฎหมายความมั่นคงมาบังคับใช้ จับกุมแกนนำในข้อหา“การโค่นล้ม แบ่งแยกดินแดน ก่อการร้ายและการแทรกแซงจากต่างประเทศ” เป็นความผิดอาญาร้ายแรง ถึงเป็นจุดจบของ โจชัว หว่องและแกนนำซึ่งต่างก็ต้องเดินเข้าคุกกันหมด


เมื่อปฏิบัติภารกิจที่ฮ่องกงไม่สำเร็จ ล้มเหลวเพราะทางรัฐบาลปักกิ่งกวาดล้างอย่างเอาจริงเอาจัง CIA ก็หันมาดำเนินการแทรกซึมและแทรกแซงประเทศไทย โดยอยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนม็อบสามนิ้วที่ไม่เอาเจ้า ไม่เอา ม.112 ทำวิธีการสไตล์เดียวกับที่ฮ่องกง คือยุยงส่งเสริมให้เด็กเล่นแรงก้าวร้าว อาฆาตมาดร้ายสถาบัน ใช้เด็กสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐ มีมืออาชีพกระจายข่าวการชุมนุมประท้วงโจมตีรัฐบาลในโลกไซเบอร์ โดยเบื้องหลังมีผู้บงการอยู่

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 - เว็บไซต์ประชาไทย เคยเสนอข้อมูลข่าวจาก“วิกิลีกส์: รายงานลับของสถานทูต เปิดโปงบทบาทของสหรัฐฯในการรัฐประหาร 2549” อันเป็นรายงานลับทางการทูตที่รั่วไหลออกมาผ่านทางวิกิลีกส์เปิดโปงให้เห็นว่าอเมริการู้เป็นนัยล่วงหน้าก่อนแล้วว่าประเทศไทยจะเกิดการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยรายงานลับทางการทูตจากสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 บันทึกการสนทนาระหว่าง นายราล์ฟ แอล. บอยซ์ (Ralph L. Boyce) เอกอัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทย กับ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ทั้งสองพบกัน “เป็นการส่วนตัว”


เอกอัครราชทูต บอยซ์เขียนว่า
“เมื่อกล่าวถึงปฏิกิริยาของสหรัฐฯ ผมเตือนเขา [พลเอกสนธิ] ถึงการสนทนาของเราเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม เมื่อผมบอกเขาว่า ปฏิบัติการทางทหารใด ๆ ย่อมส่งผลให้มีการระงับโครงการความช่วยเหลือในทันที.....ผมบอกเขาว่า เขาต้องคาดหมายไว้ว่าเราจะประกาศมาตรการแบบนั้นออกมาโดยเร็ว เขาก็เข้าใจดี” บอยซ์เขียนต่อไปว่า“ผมเสริมต่อว่า การฟื้นฟูความช่วยเหลือต่าง ๆ จะเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเข้ามาดำรงตำแหน่ง”

หลังจากกองทหารและรถถังเพิ่งเคลื่อนเข้ายึดเมืองหลวงและล้มรัฐบาลทักษิณในบ่ายวันที่ 19 กันยายน 2549 และปมรัฐประหารนี้นำไปสู่ขบวนการโต้กลับด้วยการจัดตั้ง นปก. และเครือข่ายมวลชนเสื้อแดงที่สนับสนุนทักษิณ ชินวัตรในปี 2550

CIA ตัวการสร้างความวุ่นวายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ล้มรัฐบาลมาแล้วอย่างน้อย 50 ประเทศทั่วโลก

วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 บทบรรณาธิการของ Global Times เขียนเรื่องCIA once again confirms US' title as 'the world's biggest source of chaosหรือแปลเป็นไทยได้ว่า“อีกครั้งที่ CIA ได้รับการยืนยันว่าเป็นแหล่งสร้างความวุ่นวายที่ใหญ่ที่สุดในโลก”โดยรายงานผลการสอบสวนของศูนย์รับมือเหตุฉุกเฉินด้านไวรัสคอมพิวเตอร์แห่งชาติของจีน และบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ 360 ที่เปิดเผยให้เห็นว่า CIA ได้ยุยงปลุกระดมให้เกิด“การปฏิวัติสี” ทั่วโลกด้วยการนำวิธีการทางเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศที่ขัดผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา โดยใช้เครื่องมือนี้ชักจูงคนหนุ่มสาวร่วมเคลื่อนไหวนัดชุมนุมประท้วงผ่านโทรศัพท์มือถือ


“ลองนึกภาพดูว่าโลกจะสงบสุขได้อย่างไรในเมื่อเครื่องมือที่ทันสมัยเช่นนี้อยู่ในมือของ CIA ซึ่งมีวิธีการ "โกหก โกง และขโมย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ เผยแพร่โมเดล "การปฏิวัติสี" ผ่านทางซีไอเอทั่วโลก วอชิงตันไม่สนใจว่าจะทำให้เกิดความไม่สงบในสังคมมากน้อยเพียงใด และความเจ็บปวดที่ชาวบ้านต้องจ่าย ไม่ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะเป็นเพียงแค่ตัวเลขสำหรับวอชิงตัน ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายอื่นๆ มันคือความหายนะและการทำลายล้างประเทศซีเรีย การนองเลือดในสนามรบของยูเครน และโศกนาฏกรรมของอีกหลายประเทศ สิ่งที่สหรัฐฯ กังวลก็คือว่าผู้ที่เข้ามามีอำนาจเป็นหุ่นเชิดที่เชื่อฟังคำสั่งของสหรัฐฯ เท่านั้น" บทบรรณาธิการของ Global Timesให้ความเห็น

CIA มีการสร้างปัญหาใน 50 ประเทศในหลายทศวรรษที่ผ่านมาการปฏิวัติสีส้มในยูเครนก็ฝีมือ CIA การปฏิวัติดอกกุหลาบในจอร์เจียก็ฝีมือ CIA การปฏิวัติทิวลิปในคีร์กีซสถานก็ CIA ที่สำคัญคือการขับเคลื่อนขบวนการดอกทานตะวันที่เรียกว่า Sunflower Movemen tที่เกาะไต้หวันเพื่อต่อต้านสัตยาบันแก่ความตกลงการค้าระหว่างจีนกับไต้หวันเมื่อปี 2557 นี่เป็นส่วนเล็กๆของภูเขาน้ำแข็งในการปฏิบัติการลับของ CIA


CIA เป็นมือมืดที่ใช้ทุกวิธีการในการแทรกแซง ดักฟังความลับของประเทศอื่น ๆ โดยไม่คำนึงถึงอำนาจอธิปไตยของประเทศอื่น ๆ เป็นอาชญากรรมที่ CIA ก่อขึ้น โดยจีนเป็นเป้าหมายใหญ่สุดของ CIA

บางประเทศไม่กล้าพูดว่า “ไม่” กับสหรัฐฯ ยอมทนกับพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย บีบบังคับ และไร้จริยธรรมของสหรัฐฯ และบางประเทศถึงกับเป็น Stockholm Syndrome คือตัวเองเป็นเชลยหรือตัวประกันที่ถูกครอบงำจากคนร้ายเป็นระยะเวลายาว แล้วเชลยเกิดมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและปกป้องคนร้ายหรือยอมเป็นพวกเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่นล่าสุดกลุ่มประเทศห้าตา (Five Eyes; อันประกอบไปด้วยออสเตรเลีย, แคนาดา,นิวซีแลนด์,อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา;ซึ่งท่านผู้ชมเห็นไหมว่าเป็นกลุ่มประเทศเดียวกันกับที่เรียกตัวแทนพรรคการเมืองไทยหลายพรรคไปพบที่สถานทูตนิวซีแลนด์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเพียง 1 สัปดาห์)และ ญี่ปุ่นซึ่งกระตือรือร้นที่จะเป็น“ตาที่หก (Sixth Eye)”ได้ทำหน้าที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับ CIA เนื่องจากความเห็นแก่ตัวและแรงจูงใจแอบแฝงของตัวเอง โดยญี่ปุ่นและนาโต้ (NATO) มีแผนเปิดสำนักงานประสานงานแห่งแรกของนาโต้ในอินโดแปซิฟิก เป็นมากกว่าสัญลักษณ์ของความพยายามแผ่อิทธิพลของนาโต้ที่ย้ายสมรภูมิรบจากยูเครนมาที่เอเชีย หาทางยกระดับความร่วมมือในด้านโลกไซเบอร์ และกลุ่มพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ


ทั้งนี้ ข้อเสนอเปิดสำนักงานประสานงานนี้ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจา ตามรายงานของนิกเกอิ หลังจากข้อเสนอดังกล่าวถูกหยิบยกมาพูดคุยครั้งแรกโดย นายฟูมิโอะ คิชิดะ ผู้นำญี่ปุ่น และ นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต้ ระหว่างที่สโตลเทนเบิร์ก เดินทางเยือนกรุงโตเกียว เมื่อช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา และการเข้าร่วมของรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของ NATO ในเดือนเมษายน 2566

นอกจากนี้ “นิกเกอิ เอเชีย” ยังอ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นและนาโต้ว่าสำนักงานแห่งนี้จะเปิดทางให้นาโต้สามารถปรึกษาหารือเป็นระยะ ๆ กับบรรดาพันธมิตรในภูมิภาค อย่างเช่นออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และเกาหลีใต้ด้วย

ประเด็นคืออย่าลืมว่า “นาโต้” ที่ภาษาอังกฤษมันสะกดว่า NATO ซึ่งย่อมาจากNorth Atlantic Treaty Organisationหรือองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือซึ่งชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นองค์กรที่ก่อตั้งและอ้างอิงกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ คือ มหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ


เมื่อ 74 ปีที่แล้ว ปี 2492 (ค.ศ.1949) NATO ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มพันธมิตรด้านการทหาร เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียตที่แผ่ขยายอำนาจเข้าไปในยุโรป ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยแรกเริ่มมีสมาชิกก่อตั้ง 12 ประเทศ คือ เบลเยียม แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ

แต่หลายสิบปีหลังมานี้เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายไปแล้ว นาโต้ก็ยังไม่ยอมหยุดแผ่ขยายอิทธิพล ทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับรัสเซีย ขยายจำนวนสมาชิกมาเรื่อย ๆ ลุกลามมาจนล่าสุดกลายเป็นความขัดแย้งใหญ่คือ “สงครามยูเครน” ซึ่งอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต และมีพรมแดนประชิดติดกับรัสเซียเลย

ความเคลื่อนไหว ล่าสุดก็คือ จากมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ NATO ดันมายุ่ง-มาจุ้น-มาเสือกอะไรกับทวีปเอเชีย และ ภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ก็ไม่ทราบ ด้วยความพยายามล่าสุดในการตั้งสำนักงานของนาโต้ในญี่ปุ่น???

ไทยสมรภูมิ Hybrid Warfare ของสหรัฐอเมริกา

นายสนธิ กล่าอวอีกว่า อเมริกาตอนนี้กำลังกลัวเพราะว่าปีหน้าจะมีการเลือกตั้งที่ไต้หวันแล้วโอกาสซึ่งนางไช่อิงเหวินประธานาธิบดีของไต้หวันซึ่งเป็นผู้หญิงรับใช้อยู่ในบ้านของโจไบเดนจะหลุดจากการเป็นประธานาธิบดีได้เพราะว่าประชาชนชาวไต้หวันเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองไม่ต้องการสงครามตัวเองต้องการค้าขายต้องการสันติภาพเพราะฉะนั้นค.ศ. 2024อาจจะเป็นปีสุดท้ายที่นางไช่อิงเหวินจะมีอิทธิพลอยู่

แล้วถ้าประธานาธิบดีคนใหม่ที่ขึ้นมาเป็นคนที่ต้องการสร้างสันติภาพและต้องการเข้าไปร่วมกับจีนการรวมประเทศจีนอย่างสงบก็จะเกิดขึ้นทันทีอเมริกาก็จะไม่มีเหตุอะไรเลยที่จะมาใช้ไต้หวันเป็นตัวการป่วนขัดขวางกลั่นแกล้งยุยงยั่วยุประเทศจีนอีกต่อไป

เพราะฉะนั้นแล้วอเมริกาก็ต้องเคลื่อนตัวเองมาที่ไหน ?ก็คือประเทศไทยเพราะในอาเซียนด้วยกันฟิลิปปินส์ไม่ต้องเพราะฟิลิปปินส์ถูกปครองโดยอเมริกามานานแล้วนายมาร์กอสจูเนียร์ลูกชายของอดีตประธานาธิบดีมาร์กอสเผด็จการของฟิลิปปินส์ยกแผ่นดินฟิลิปปินส์ให้อเมริกาตั้งฐานทัพอยู่ 4ฐานทัพในฟิลิปปินส์แต่ก็กลัวก็เขินยังพูดออกมาได้ว่าฟิลิปปินส์จะไม่ยอมให้อเมริกาใช้ฐานทัพที่มาตั้งในฟิลิปปินส์นั้นมาประจันหน้ากับจีน


“ไอ้เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพูดจาเหมือนพิธาลิ้มเจริญรัตน์เลยเป็นไปได้อย่างไรก็อเมริกามาตั้งฐานทัพตั้ง 4แห่งแล้วถ้ามีการปะทะกันระหว่างจีนกับอเมริกาในพื้นภูมิภาคทะเลจีนตอนใต้ฟิลิปปินส์จะเป็นดินแดนกระสุนตกอย่างแน่นอนที่สุดหนีไม่พ้น”

เพราะฉะนั้นก็เหลือกลุ่มประเทศอาเซียนลาวยืนอยู่ข้างจีนเวียดนามเป็นกลางเพราะต้องการค้าขายอย่างดี ในขณะเดียวกันเขมรเองก็ยืนอยู่ข้างจีนมาเลเซียไม่มีความหมายเพราะเป็นประเทศมุสลิมสิงคโปร์ก็เล็กเกินไปเหลือประเทศไทย

ทำไมประเทศไทยถึงสำคัญ ?เพราะประเทศไทยเป็นจุดที่จะเชื่อมต่อไปทางพม่าทางตะวันตกที่จะไปยึดครองพม่าประเทศไทยเป็นจุดที่เมื่อลากเส้นไปแล้วผ่านเชียงใหม่ทำไมอเมริกาต้องเลือกเชียงใหม่เป็นที่ตั้งของกงสุลอเมริกาสร้างตั้งหมื่นล้านกงสุลอะไรใช้เงินสร้างตั้งหมื่นล้านไอ้หมื่นล้านนี่เป็นการขุดลงไปใต้ดินอย่างน้อย 100 - 200เมตรและฝังด้วยวัตถุอิเล็กทรอนิกส์สำหรับดักฟังประเทศจีน


สมัยก่อนที่จีน-อเมริกายังไม่ปะทะกันกำลังเริ่มความสัมพันธ์การค้าขายกันมั่นคงแล้วจีนไม่ได้เป็นอันตรายต่ออเมริกาไม่ได้มาชิงตำแหน่งที่หนึ่งของอเมริกายังล้าหลังอยู่อเมริกาไปตั้งสถานกงสุลที่เมืองเฉิงตูรัฐเสฉวนเฉิงตูอยู่ติดทิเบตขึ้นไปออกไปก็เป็นซินเจียงปรากฏว่าอเมริกาใช้กงสุลที่เฉิงตูเป็นแหล่งสืบราชการลับตรวจสอบข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้นแล้วออกนโยบายดักฟังโทรศัพท์ไปหมดทุกอย่างจีนก็รู้แต่จีนไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะไปปิดสถานกงสุลไม่ได้จีนเป็นคนที่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศมากที่สุดแต่โชคดีที่ประธานาธิบดีทรัมป์บ้าทะเลาะกับจีนก็เลยสั่งปิดกงสุลจีนที่เมืองฮูสตันรัฐเทกซัสก็เลยเข้าทาง จีนถือโอกาสตอบโต้ด้วยการปิดสถานกงสุลของอเมริกาที่เฉิงตูทำให้อเมริกาที่เคยมีตาข้างหนึ่งแอบมองจีนอยู่และดักฟังโทรศัพท์กลายเป็นคนตาบอดหูหนวกไปเลย


ในที่สุดยุทธศาสตร์ก็เลยต้องมาสร้างกงสุลที่เชียงใหม่ถ้าท่านผู้ชมดูแผนที่ดีๆท่านผู้ชมลากเส้นจากเชียงใหม่ขึ้นไปก็จะไปสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีนนั่นคือเสฉวนนั่นคือเฉิงตูขึ้นไปอีกก็จะเป็นทิเบตขึ้นไปอีกก็เป็นซินเจียงเพราะฉะนั้นประเทศไทยก็เลยกลายเป็นโอกาสดินแดนกระสุนปืนตกเยอะมากถ้ามีการปะทะกันเกิดขึ้นจีนก็ไม่เอาไว้แน่นอน


เมื่อมองภาพรวมทั้งหมดและรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป นักการเมืองฝ่ายเสรีนิยมของไทย ณ ปัจจุบันเป็นเอเยนต์ของชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา และกลุ่มอียู ซึ่งคำให้สัมภาษณ์ของนายพิธาเองก็ยอมรับเลยว่า ตัวเองเป็นศิษย์เก่าอเมริกา พูดคุย และทำงานใกล้ชิดกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ อย่าง ราล์ฟ บอยซ์ มานาน

ทั้งนี้ มีสัญญาณที่ส่งออกมาถึงเราว่าไทยได้กลายเป็นสมรภูมิ Hybrid Warfare ของสหรัฐอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว มาดูตัวอย่างกันว่า ชาติที่เราเรียกว่าว่ามหามิตรนั้นกำลังจะทำอะไรกับเราบ้าง

ตัวอย่างแรก

เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยคนปัจจุบัน ที่ชื่อนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค (Robert F. Godec) นายสนธิได้พูดถึงประวัติของนายโกเดค อย่างละเอียดไปตั้งแต่รายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ Ep.147 เมื่อวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 ตั้งแต่ก่อนที่นายโกเดก จะเดินทางมารับตำแหน่งที่ประเทศไทย โดยครั้งนั้นได้ฟันธงเอาไว้แล้วว่า เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คนใหม่ นี้ได้รับธงมาแล้วว่าจะต้องมาดำเนินการปั่นป่วนประเทศไทยอย่างหนัก


ดำเนินการป่วนประเทศไทยอย่างไร?

วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 หลังจากนายโจ ไบเดนเสนอชื่อนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย นายโกเดค ได้เข้าชี้แจง แจงต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ (Committee on Foreign Relations Hearings) โดยระบุถึงความนโยบาย และความตั้งใจของเขาว่า พอรับตำแหน่งเขาจะทำอะไรบ้าง ... นายโกเดค บอกว่าอย่างนี้ครับ

เรื่องพม่า : เขาตั้งใจจะช่วยไทยปรับปรุงเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศ และให้ไทยร่วมกดดันรัฐบาลทหารพม่าด้วย

เรื่อง ม.112 : เมื่อ นายเอ็ด มาร์คีย์ (Sen. Ed Markey) วุฒิสมาชิกสังกัดพรรคเดโมแครต จากรัฐแมสซาชูเสตต์ตั้งคำถามต่อนายโกเดคถึง ม.112 ซึ่งส่งผลต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและมีผู้ถูกจับกุมคุมขังมากมาย นายโกเดคกล่าวว่า สหรัฐฯ เคารพราชวงศ์ไทยในฐานะสถาบันหนึ่ง และเข้าใจความจงรักภักดีของคนไทยต่อราชวงศ์ แต่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เขาเคยเน้นย้ำทั้งต่อสาธารณะและในทางส่วนตัวถึงความสำคัญที่ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องหวาดกลัวการถูกจับกุม และจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นายโกเดคย้ำว่า คนที่ถูกจับกุมตัวจะต้องได้รับการปฏิบัติโดยเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ในระหว่างการดำเนินคดี”

“มีอะไรบ้างที่คนถูกคดี 112 ไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพ ?ได้หมดทุกคนได้แม้กระทั่งสิทธิในการประกันตัวใช่ไหมท่านผู้ชมเมื่อประกันตัวมาแล้วเงื่อนไขที่รัฐบาลหรือศาลให้มีเงื่อนไขข้อเดียวเมื่อประกันตัวออกมาแล้วห้ามประพฤติแบบนี้อีกแต่พวกนี้ก็ยังประพฤติเหมือนเดิมศาลก็เลยยกคำร้องในการปล่อยตัวชั่วคราวให้กลับไปติดคุกเหมือนเดิม” นายสนธิ กล่าว

สิทธิมนุษยชน :ตอนนั้นนายโกเดค ยังกล่าวด้วยว่า จะช่วยเหลือประเทศไทยปรับปรุงสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเรื่องการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงาน โดยบอกว่า ได้เห็นพัฒนาการบางอย่าง แต่ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก และเขายืนยันจะทำทุกอย่างที่ทำได้

บีบไทยลดการพึ่งพาก๊าซพม่า :เพื่อให้เห็นความก้าวหน้าในเรื่องนี้ว่าที่ทูตสหรัฐคนใหม่ยังระบุด้วยว่า จะดำเนินการกดดันให้ไทยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากพม่า ซึ่งตามรายงานของหน่วยงานสิทธิมนุษยชนระบุว่า ไทยนำเข้าพลังงานจากพม่าจำนวนมาก

“คุณโกเดคถ้าเราจะซื้อก๊าซจากพม่ามันหนักหัวกบาลอะไรคุณเพราะคนไทยต้องการใช้ก๊าซถ้าเราไม่ซื้อจากพม่าแล้วพวกคุณจะส่งมาไหมในราคาที่เราซื้อได้จากพม่าพวกคุณก็ไม่ส่งนี่ผมพูดด้วยอารมณ์นะท่านผู้ชมถ้าท่านผู้ชมรู้เหมือนที่ผมรู้แล้วท่านผู้ชมจะรับไม่ได้เลยแล้วท่านผู้ชมจะเกลียดรังเกียจเกลียดชังคนไทยขายชาติที่เป็นเอเยนต์ของอเมริกา” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวต่อว่า สำหรับกฎหมายเรื่อง มาตรา 112 มันสอดคล้องและเกี่ยวพันกับเรื่องประมุข ผู้แทน รวมไปถึงธงหรือเครื่องหมายของรัฐต่างประเทศด้วยตามมาตรา 130-135 เพราะฉะนั้นการตั้งธงจะมาแก้เฉพาะ มาตรา 112 จึงไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งธงในเรื่องนี้มา คือ ผู้แทนหรือทูตจากต่างชาติ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ มาเสือก เรื่องอะไรในประเทศไทย คือ จะให้มีกฎหมายไทยคุ้มครองคุณ คุ้มครองประมุขของคุณ คุ้มครองแม้แต่ธงชาติ-ตราสัญลักษณ์ของคุณ แต่ไม่มีกฎหมายคุ้มครองพระมหากษัตริย์ หรือสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลัก เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนชาติอย่างนั้นหรือ


เห็นได้ว่า ประเด็นสำคัญที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ออกมาเคลื่อนไหวแบบหนัก ๆ นั้น ล้วนแล้วแต่สอดคล้องกับธง และคำแถลงของนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ทูตสหรัฐฯ แถลงต่อวุฒิสภาสหรัฐฯ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพม่า เรื่องการแทรกแซง-กดดันรัฐบาลทหารพม่า, เรื่องสิทธิมนุษยชน และที่สำคัญมากก็คือกฎหมายอาญามาตรา 112

หรืออาจจะเรียกได้ว่า นโยบายของพรรคก้าวไกล กับ สหรัฐอเมริกา นั้นเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย สอดรับกันเป็นลูกคู่ คอหอย กับ ลูกกระเดือกกันมาตลอด และไม่น่าแปลกใจเลยที่นายพิธาจะหลุดออกมาว่าตัวเองทำงาน และพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มาตั้งแต่สมัยทูตสหรัฐฯ ที่ชื่อ ราล์ฟ บอยซ์ แล้ว!

นอกจากนี้หลังจากที่ เดินทางมารับตำแหน่งที่ประเทศไทย ความเคลื่อนไหวของนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ก็ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ และน่าจับตามองอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น

ทูตสหรัฐฯ ลงพื้นที่ยะลา เยี่ยมศูนย์ American Corner เผย พร้อมสนับสนุนการศึกษา สานสัมพันธ์สองประเทศ


วันที่ 30 มีนาคม 2566 ที่ศูนย์ American Corner Yala ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อ.เมือง จ.ยะลา นายโรเบิร์ต โกเดค พร้อมคณะได้เดินทางพบปะกับนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ พร้อมกับรับฟังผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยมี ผศ.อับดุลรอซะ วรรณอาลี รองอธิการบดีผ่ายกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ร่วมให้การต้อนรับ

“ท่านผู้ชมครับยะลาเป็นหนึ่งในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีความไม่สงบมีขบวนการแบ่งแยกดินแดนออกมาตลอดเวลาถึงคุณจะมี American Cornerแล้วคุณควรหรือไม่ควรมีมารยาทหรือไม่ที่จะรู้ว่ายะลาเป็นพื้นที่อันตรายสุ่มเสี่ยงต่อการแบ่งแยกดินแดนออกมาแล้วคุณยังจะไปนี่คุณไม่ได้ให้เกียรติประเทศไทยเลยหรือผมถึงเข้าใจว่าทำไมคุณต้องไปตั้งศูนย์ American Cornerที่ยะลาเหตุผลง่ายๆนิดเดียวคุณจะได้หาเหตุลงไปแล้วไปปลุกปั่นคุณไปคุยอะไรลับๆกับพวกเขาไม่มีใครรู้หรอก

“ท่านรองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษราชภัฏยะลาต้องให้คำตอบได้เพราะข่าวแว่วมาว่าท่านก็เป็นหนึ่งในคนที่อยากจะให้ยะลาปัตตานีและนราธิวาสแยกออกมาเป็นรัฐอิสระผมไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงผมตั้งคำถามถามท่านแต่เป็นการเสียมารยาทมากที่ทูตอเมริกาลงไปเยือน

“ท่านผู้ชมครับไปเยือนที่ไหนไปเยือนได้แต่ทำไมต้องไปเยือนสถานที่ที่มันอ่อนไหวมากผมไม่รู้ว่าเขาสัญญาอะไรกันหรือเปล่า

การเข้ามาแทรกแซงการเคลื่อนไหวของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯทำให้วุฒิสภาของไทยนำโดยคุณสมชายแสวงการเชิญนายโรเบิร์ตโกเดคมาสอบถาม


วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2566 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่าคนไทยชักศึกเข้าบ้าน หรือ สหรัฐแทรกแซงอธิปไตยโดยระบุว่า

จากเอกสารที่คนไทยกลุ่มหนึ่งอ้างกล่าวหาให้ร้ายประเทศไทย ส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกาและวุฒิสมาชิกกลุ่มหนึ่งของสหรัฐเคลื่อนไหวต่อเนื่องจะออกมติวุฒิสภา ที่ 114 ต่อประเทศไทยนั้น

วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 คณะกรรมาธิการการต่างประเทศและคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา จึงได้เชิญเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค และคณะ เพื่อประสานสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเท็จจริง ที่ห้องรับรองพิเศษวุฒิสภา


นายสมชายเล่าว่าในการหารือกันได้เสนอให้ทูตสหรัฐฯรับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องยืนยันว่ามิได้เป็นไปตามที่กลุ่มบุคคลไปกล่าวหาให้ร้าย คณะกรรมาธิการของวุฒิสภาไทยที่ติดตามดูแลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่พบปัญหาตามข้อกล่าวหาที่มีคนทำจดหมายไปถึงวุฒิสมาชิก

“ท่านผู้ชมครับมันจัดฉากกันทั้งนั้นคุณช่วยทำจดหมายมากล่าวหาหน่อยแล้วเดี๋ยวเราจะประชุมวุฒิสภาเอาเฉพาะวุฒิสภาพวกที่อยู่ภายใต้การแทรกแซงของ CIAและรัฐบาลอเมริกาที่สายเดโมแครตเดี๋ยวเราจะออกมติที่เขาเรียกว่า Resolution” นายสนธิกล่าว

คณะกรรมาธิการและสมาชิกวุฒิสภาไทยเห็นว่าในท้ายร่างมติ 114 ที่ให้ร้ายและข่มขู่กล่าวหา สถาบันพระมหากษัตริย์แทรกแซงการเลือกตั้งทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้งนั้น ไม่เป็นความจริง และทำให้วุฒิสภาฝ่ายไทยไม่สบายใจ เกรงจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์อันดี เพราะข้อเท็จจริงแล้ว พระมหากษัตริย์ไทยทรงอยู่เหนือการเมือง มิเคยทรงยุ่งเกี่ยวในการเลือกตั้งใด ๆ ตามที่มีการกล่าวหาให้ร้าย


ทั้งนี้ มติที่ 114 ข้อ(10) ได้กล่าวหาอย่างชัดเจนว่าการแทรกแซงทางทหารหรือราชวงศ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยอย่างร้ายแรง; และ ส่งผลกระทบต่อความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงต่อประเทศไทยและความร่วมมือระดับภูมิภาคและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

นายสมชายกล่าวต่อว่า มีวุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกาบางท่านเข้าใจผิดนำข้อมูลดังกล่าวไปร่างยื่น ขอมติวุฒิสภา 114 ที่กล่าวร้ายรุนแรงต่อประเทศไทยโดยไม่เป็นความจริง

ส่วน ประเด็นที่ 2 คือการหารือเรื่องกองทุน NED (National Endowment For Democracy)ซึ่งให้ทุนสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 กฎหมายสูงสุดของประเทศและยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครององค์พระประมุขเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้ตอบรับทราบเรื่อง 2เรื่องรับปากว่าจะสื่อสารไปที่รัฐบาลและวุฒิสภาเพื่อจะดำเนินการต่อไป

“ท่านผู้ชมรู้ไหมเมื่อประชุมเสร็จแล้วนายโกเดคยื่นมือไปจับมือกับทุกคนเลยยกเว้นส.ว.สมชายแสวงการที่มันไม่ยอมจับมือด้วยเพราะคุณสมชายแสวงการเขาออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศไทยปกป้องสถาบันกษัตริย์และได้ทำหน้าที่วุฒิสมาชิกอย่างเต็มที่ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนคุณสมชายเป็นคนแรกที่ทำ” นายสนธิ กล่าว

ตัวอย่างที่สองสืบเนื่องต่อจาก มติวุฒิสภาสหรัฐฯ 114 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 ที่กล่าวร้ายรุนแรงต่อประเทศไทยโดยไม่เป็นความจริง และถือเป็นการแสดงทีท่าแทรกแซงการเมืองไทย รวมถึงข่มขู่หน่วยงาน สถาบัน และองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทย ในเวลาต่อมาสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ก็มีการออกมติสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มาอีกฉบับหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา


คือ มติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ 369 ที่เสนอโดย น.ส.ซูซาน ไวลด์ ส.ส.พรรคเดโมแครต จากรัฐเพนซิลวาเนีย ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการต่างประเทศของรัฐสภาสหรัฐฯลง วันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ระบุหัวข้ออ้างว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนความเป็นพันธมิตรระหว่างไทย-อเมริกาและเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องผดุงไว้ซึ่งประชาธิปไตยสิทธิมนุษยชนหลักนิติธรรมสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบเสรีภาพในการแสดงออกก่อนการเลือกตั้งในประเทศไทย 2566 และอื่นๆ

เนื้อหาของมติสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็ร่ายยาวพร้อมทั้งตบท้ายด้วยการเข้ามายุ่งมาจุ้นกับกิจการในประเทศในตอนท้ายเขาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกแก้ไขกฎหมายกฤษฎีกาในการใช้เซ็นเซอร์เนื้อหาคำพูดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้งรวมทั้งประเทศไทยเช่นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กฎหมายยุยงปลุกปั่นกฎหมายอาญามาตรา 116

“ท่านผู้ชมครับนี่มันประเทศไทยนะส.ส.วุฒิสมาชิกอเมริกามายุ่งอะไรกับพวกเรามาเสือกอะไรด้วยจุ้นจ้านอะไรจะให้แก้โน่นแก้นี่มันกงการอะไรของพวกคุณนี่คือการแทรกแซงทางการเมืองกิจการภายในของประเทศไทยหรือเปล่าซึ่งเป็นแน่นอน” นายสนธิกล่าว

และมติลักษณะนี้เคยออกมาแล้วสมัยที่รัฐบาลจีนปราบปรามโจชัวหว่องที่ฮ่องกง วุฒิสมาชิกและคองเกรสอเมริกาก็ออกมตินี้ออกมาเพื่อให้การสนับสนุน ฉันใดฉันนั้น แสดงว่าความวุ่นวายการนองเลือดในประเทศไทยใกล้จะเกิดขึ้นแล้วเพราะมันได้ปูทางไว้เรียบร้อยแล้ว

เห็นชัดแล้วว่าสงครามผสมผสานสงครามพันทางที่เราเผชิญอยู่นั้นมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไรหมากกลจิ๊กซอว์ต่างๆที่เขาวางเอาไว้มีความลึกลับซับซ้อนถักทอผสานรวมกันไว้อย่างแยกกันไม่ออก


โดยหมากหรือจิ๊กซอว์ทางการเมืองที่เผยโฉมออกมาชัดเจนคือการเลือกตั้งครั้งนี้ปี 2566 ก็คือนายพิธา พรรคก้าวไกล รับมรดกตกทอดมาจากนายธนาธรแบบโคลนนิ่งกันมา แต่ต้นแบบยังถูกควบคุมโดยมหาอำนาจ เจ้าจักรวรรดินิยมอย่างอเมริกา ซึ่งกระทำทุกวิถีทางสงครามทุกรูปแบบ เพื่อจะแทรกแซงการปกครองทางเศรษฐกิจธุรกิจ ผลประโยชน์ทางการจัดระเบียบสังคมเรื่อยไป จนกระทั่งถึงการจัดการควบคุมสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะสถาบันหลักของชาติ คือสถาบันกษัตริย์ของไทยให้อยู่ในกำมือของเขาให้ได้ ถ้าควบคุมแก้ไขให้อยู่ในอาณัติไม่ได้ก็ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไปเลย

ในตอนท้ายนายสนธิ กล่าวว่า ความคิดเชิงยุทธศาสตร์ระยะสั้นระยะกลางระยะยาวที่ตนเห็นด้วยเกี่ยวกับประเทศไทยข้อสรุปสุดท้ายที่ได้คือเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้า

“ผมอนุรักษ์นิยมครับ แต่เป็นฝ่ายก้าวหน้าคือ กลุ่มที่ยังเห็นคุณค่าเชื่อมั่นในรากฐานทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมอยู่ แต่ผมยอมรับพลวัตการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เข้ามาการพลิกขั้วของโลกในทุกมิติ เพื่อผลักดันประเทศไทยให้อยู่กับร่องกับรอยสามารถทำให้ประเทศชาติก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงยั่งยืน ทำให้ประชาชนชาวไทยใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข สามารถปกป้องประเทศชาติประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่รอดปลอดภัยได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงในโลกนี้

“ถ้าท่านเห็นด้วยกับผมว่าประชาธิปไตย 4 วินาทีคือการเลือกตั้งเลือกผู้แทน 4 ปีเข้ามาในสภาฯ เพื่อปู้ยี่ปู้ยำประเทศไทยไม่ใช่ทางออก เราต้องสร้างกระแสผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงจากสายอนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้าให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่อนุรักษ์นิยมในอดีตที่เป็นอยู่ในขณะนี้

“ท่านผู้ชมครับ ผมคือฝ่ายอนุรักษ์นิยมแต่เป็นหัวก้าวหน้า ที่ยังคงต้องการรักษาระเบียบแบบแผนประเพณีที่สมควรจะรักษาเอาไว้ และผมเป็นอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าที่เอาพระมหากษัตริย์ และผมจะต่อสู้ทุกรูปแบบทุกมิติต่อกลุ่มคนที่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือว่าจะเป็นอเมริกาบิดาของคนหลายคน และอาจารย์หลายคน นักการเมืองหลายคนที่อ้างว่าตัวหัวก้าวหน้าที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้” นายสนธิกล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น