รองผู้อำนวยการไทยพีบีเอส สรุปประเด็นไอทีวี 7 ข้อ หลังกรณีพิธาถือหุ้น 42,000 หุ้น ระบุ หยุดประกอบกิจการเมื่อปี 50 และถอดจากตลาดหลักทรัพย์ปี 57 เชื่อรักษานิติบุคคลเพื่อฟ้องร้องสำนักนายกฯ
วันนี้ (10 พ.ค.) เฟซบุ๊ก Anupong Chaiyariti ของนายอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์ รองผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส ด้านปฏิบัติการและเทคโนโลยี โพสต์ข้อความ สรุปสาระสำคัญของบริษัทไอทีวี จากรายงานประจำปี 2565
1. หยุดประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ไอทีวีตั้งแต่ 24.00 น. วันที่ 7 มีนาคม 2550 สืบเนื่องจากการบอกเลิกสัญญาร่วมงานของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)
2. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย delist ถอดหุ้นไอทีวีจากการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2557
3. ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการฟ้องร้องพิพาททางกฏหมายกับสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สืบเนื่องจากกรณีที่อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดว่า
- การบอกเลิกสัญญาของ สปน. ไม่ชอบด้วยกฏหมาย
- ให้ สปน. ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 2,890 ล้านบาท
3.1. ต่อมา สปน. ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งยกคำร้องของ สปน.
3. 2 มกราคม 2564 สปน. ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลาง ต่อศาลปกครองสูงสุด คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา
4. ปีบัญชี 2565 ไอทีวี มีรายได้จากการลงทุนและดอกเบี้ยรับ 20.5 ล้านบาท (ผลตอบแทนจากตราสารหนี้และตราสารทุน) กำไรสุทธิ 8.5 ล้านบาท
5. ไอทีวี มีบริษัทย่อย 1 บริษัท คือ บ.อาร์ตแวร์มีเดีย ให้เช่าอุปกรณ์ผลืตรายการวิทยุโทรทัศน์ ผลิตรายการโทรทัศน์ ซื้อขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ และกิจกรรมการตลาดอื่นๆ สถานะปัจจุบันของบริษัท คือ หยุดประกอบกิจการ
6. กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่โดยพฤติการณ์มีอิทธิพบต่อการกำหนดนโยบายและการดำเนนิงาน บ.ไอทีวีในปัจจุบัน คือ บ.อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
7. การรักษาสถานะความเป็นนิติบุคคลของ บ.ไอทีวี เพื่อดำเนินการฟ้องร้องกับ สปน. (ความเห็นผู้เขียน)
อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่
อนึ่ง เมื่อวานนี้ (10 พ.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า พบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ซึ่งสถานะนิติบุคคลยังดำเนินกิจการอยู่ มีรายได้ปี 2565 รวม 21 ล้านบาท และมีรายได้ปี 2564 รวม 24 ล้านบาท จึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต.ตรวจสอบว่า เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) หรือไม่ แต่นายพิธา กล่าวว่า ไม่มีความกังวล เพราะไม่ใช่หุ้นของตน เป็นของกองมรดก ตนเป็นเพียงผู้จัดการมรดกและได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.ไปนานแล้ว