xs
xsm
sm
md
lg

“เซเลนสกี” ต่อสายถึง “สี จิ้นผิง” บ่งบอก “ยูเครน” ใกล้แพ้ ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” วิเคราะห์ “เซเลนสกี” ต่อสายหา “สี จิ้นผิง” เพราะไม่มั่นใจว่าจะชนะในการโจมตีกลับรัสเซีย และไม่เชื่อใจชาติยุโรปจะยังสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่หรือไม่ ขณะข้อมูลข่าวกรองของอเมริกาชี้ว่ายูเครนเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ แม้มีการปล่อยข่าวว่ารัสเซียสูญเสียมากกว่า แต่ข้อเท็จจริงเป็นตรงกันข้าม จึงหาทางหนีทีไล่ จะให้จีนเป็นตัวช่วย ก่อนยูเครนหมดหนทางสู้และพ่ายแพ้อย่างราบคาบ



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงสถานการณ์สงครามในยูเครน ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว สื่อตะวันตกรายงานข่าวที่ปล่อยออกจากทำเนียบขาว โดยนายจอห์น เคอร์บี้ โฆษกสภาความมั่นคง ออกมาบอกว่า สถานการณ์การสู้รบในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีทหารรัสเซียตายไป 2 หมื่น บาดเจ็บอีก 8 หมื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองบักมุต

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ผ่านมาและข้อมูลเชิงลึกหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น เอกสารลับที่หลุดออกมาจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ(เพนตากอน) สถานการณ์ทางการเมืองภายในสหรัฐฯ ความขัดแย้งในหมู่ชาติยุโรปและสมาชิกนาโต (NATO) การเดินสายทางการทูตของชาติที่เกี่ยวข้อง บ่งชี้ว่ายูเครนนั้นอ่อนแรงลงมากแล้ว เนื่องจากชาติตะวันตกที่สนับสนุนยูเครนให้เป็นหุ่นเชิดรบกับรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา และชาติยุโรป ต่างก็มีปัญหาภายในชาติของตัวเองที่รุมเร้าและพัวพันอยู่อย่างยากที่จะดิ้นหลุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองภายใน ปัญหาเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ราคาพลังงาน ราคาสินค้าเกษตร ปัญหาภาคการเงิน การคลัง งบประมาณ


ปัญหาในประเทศเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือชาติยุโรป จะแก้ไขได้ภายในชั่วข้ามคืน ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าจะไปช่วยปลดปล่อยยูเครน หรือช่วยให้ยูเครนชนะสงครามกับรัสเซียได้

หลังวันแรงงานได้หนึ่งวัน คือวันที่ 2 พฤษภาคม ทำเนียบรัฐบาลรัสเซีย ได้แถลงปฏิเสธตัวเลขประมาณการของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตายของรัสเซียในยูเครน บอกว่าเป็นการประมาณการแบบยกเมฆ แล้วกล่าวด้วยว่า วอชิงตันไม่มีวันที่จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง

ข่าวลือ และ ความจริง สงครามยูเครน-รัสเซีย

นอกจากนั้นวันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม กระทรวงกลาโหมรัสเซีย แถลงว่ากองกำลังรัสเซียได้เปิดฉากโจมตีด้วยขีปนาวุธ และอาวุธระยะไกลที่มีความแม่นยำสูงทางอากาศและทางทะเลต่อศูนย์อุตสาหกรรมการทหารของยูเครน และเป้าหมายที่กำหนดทั้งหมดนี้ถูกโจมตีอย่างมั่นคง

สำนักข่าวอาร์ทีของรัสเซีย รายงานว่า แม้รัสเซียไม่ได้ระบุตำแหน่งที่ตั้งเป้าหมายที่เข้าโจมตี แต่สื่อของยูเครนระบุว่า ฝ่ายรัสเซียได้ใช้อาวุธไกลเข้าโจมตีในแคว้นเคียฟ ซูมี และ ดนิโปรเปตรอฟสก์ โดยเฉพาะที่แคว้นดนิโปรเปตรอฟสก์ ได้รับความเดือดร้อนสาหัสมากที่สุด และมีรายงานข่าวว่าเกิดระเบิดขึ้นที่ชานเมือง Pavlograd


คลิปที่เผยแพร่ออนไลน์ เผยให้เห็นเหตุการณ์หลังการโจมตีในเมืองดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้ทำให้เกิดการระเบิดใหญ่ต่อมาเป็นครั้งที่สอง และยังติดตามมาด้วยการระเบิดขนาดเล็กอีกหลายระลอก

นายวลาดิเมียร์ โรกอฟ เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัสเซียที่แคว้นซาโปโรซี เปิดเผยโดยอ้างอิงรายงานข่าวท้องถิ่นว่า การโจมตีเมือง Pavlograd ทำให้คลังเชื้อเพลิงและกระสุนของกองพลน้อย พลร่มที่ 46 ของยูเครน ที่กำลังเตรียมพร้อมจะปฏิบัติการตอบโต้รัสเซีย ถูกทำลายลงจนหมด


จากการเปิดเผยของหน่วยบริการฉุกเฉินของยูเครน การระเบิดใน Pavlograd สร้างความเสียหาย ทำลายบ้านเรือนถึง 80 หลัง อาคารกว่า 20 หลัง หน่วยบริการฉุกเฉินยังยอมรับว่า ศูนย์อุตสาหกรรมทางทหารของยูเครนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ที่สำคัญการโจมตีดังกล่าวทำให้การผลิตกระสุนและอาวุธของเคียฟหยุดชะงัก ตามรายงานข่าวของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย พร้อมระบุด้วยว่า กองทัพของสหพันธรัฐรัสเซียเปิดการโจมตีด้วยขีปนาวุธระบบแบบกลุ่มด้วยอาวุธที่มีความแม่นยำระยะไกล ทั้งทางอากาศและทางทะเลในพื้นที่อุตสาหกรรมการทหารของยูเครน แล้วยืนยันว่าเป้าหมายทั้งหมดถูกโจมตีอย่างราบคาบ

สื่อยูเครนรายงานว่า การโจมตีภูมิภาคเคียฟ ซูมี และ ดนิโปรเปตรอฟสก์ เห็นชัดว่าหลังประสบเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดโดยมีรายงานข่าวการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดที่ชานเมือง Pavlograd

คลิปวิดีโอที่ไม่ได้รับการยืนยัน ถูกเผยแพร่ทางเทเลแกรมแพลตฟอร์ม ให้เห็นผลพวงการโจมตีครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าการโจมตีทำให้เกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยการระเบิดย่อยๆ อีกหลายครั้ง ภาพที่มีอยู่แสดงให้เห็นกลุ่มควันสีขาวจำนวนมากในบริเวณนั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเกิดจากการระเบิดของขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็ง เช่น ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน


การโจมตีของรัสเซียในเมือง Pavlograd นั้นได้ทำลายคลังเชื้อเพลิงกระสุนของกองพลน้อยที่ 46 ของยูเครน ซึ่งเตรียมพร้อมสำหรับการตอบโต้ของยูเครน จนทำให้ได้รับความเสียหายอย่างราบคาบ

ปลายเดือนเมษายน หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ รายงานว่า อเมริกาประเมินว่ากองกำลังผสมยูเครนจะไม่สามารถรักษาอำนาจครอบครองทางอากาศได้ แม้จะให้ยืมเครื่องบินรบ F-16 ก็ไม่มีผลอะไร เพราะยูเครนไม่เหลือสนามบินมาตรฐาน ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้การบุกดินแดนรัสเซียครั้งต่อไปจะล้มเหลว ส่วนเครื่องบินขับไล่มิก-29 ที่นาโตให้กู้ซากอะไหล่นั้น ด้อยกว่าเครื่องบินรบสมัยใหม่ของรัสเซียอย่างมาก เพราะติดตั้งระบบเรดาร์และระบบขีปนาวุธที่มีเทคโนโลยีใหม่กว่า เครื่องบินรบ MiG-29 จะไม่สามารถเข้าใกล้แนวหน้าซึ่งมีระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียอย่างหนาแน่นสมบูรณ์อย่างมาก


โฆษกกองพลตะวันออกของกองทัพยูเครน ระบุว่า เฉพาะในแนวรบในเมืองมักมุต ฝ่ายรัสเซียส่งทหารแวกเนอร์ ทหารท้องถิ่น ทหารรับจ้าง ทหารหน่วยรบพิเศษ ประจำการ 25,600 นาย รถถัง 65 คัน รถหุ้มเกราะ 450 คัน ปืนใหญ่ 154 กระบอก ระบบจรวดหลายลำกล้อง จำนวน 56 ชุด แสนยานุภาพแค่เมืองนี้ยังมากกว่ากองทัพของเชก หรือฮังการีเสียอีก

นายพริโกซิน หัวหน้านักรบแวกเนอร์ (Wagner) ได้เดินทางไปที่เหมืองใต้ดินที่เมืองโซเลดาร์ ห่างจากเมืองบักมุตไปราว 10 กิโลเมตร เพื่อตรวจผลการยึดคลังแสงอาวุธขนาดใหญ่ที่มีความลึก 150 เมตร ยาว 5 กิโลเมตร คลังแสงเก็บกระสุน อาวุธ 28 คลัง พร้อมฐานซ่อมอัตโนมัติ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ขณะที่ฝ่ายสหรัฐฯ อังกฤษ นาโต และกองกำลังผสม พ่ายแพ้ในการรบที่นี่และเผ่นหนีไป ได้พยายามระเบิดคลังแสงแต่ไม่เป็นผล ทำให้ปัจจุบันหลงเหลืออาวุธยุทโธปกรณ์อยู่จำนวนมาก


ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทัพรัสเซียโจมตีทำลายศูนย์การขนส่งทางรถไฟ คลังแสงอาวุธอุตสาหกรรมทางการทหารของยูเครน ในเมือง Pavlograd แคว้นดนิโปรเปตรอฟสก์ ภาคกลางใกล้แนวหน้าเมืองบัคมุต ส่งผลให้คลังอาวุธนาโตกว่า 200 ตัน ที่ขนมาสะสมไว้หลายเดือน เตรียมไว้สำหรับบุกรัสเซีย กลายเป็นเศษเหล็กชั่งกิโลขายซาเล้ง ในจำนวนนี้มีระบบต้านอากาศยาน S-3000 ที่ขนมาจากบรรดาชาตินาโต ยุโรปตะวันออก ถูกทำลายมากจนไม่เหลือสภาพซ่อมแซมได้ ระบบอาวุธนี้พร้อมลูกขีปนาวุธในฐานบัญชาการเมืองเคอร์ซอน ก็ถูกโจมตีด้วยโดรนพลีชีพของรัสเซีย พังเกลื่อนระเกะระกะเต็มไปหมด


นี่คือเหตุการณ์ที่นักลงทุนสงครามมาอย่างยาวนาน เชี่ยวชาญ มือโปรอย่างอเมริกา ย่อมมองออกว่าการลงทุนในสมรภูมิยูเครนกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ไม่คุ้มค่า และเสี่ยงสูงที่อาวุธของตนจะสต็อกต่ำ ไม่พอใช้ในการทำสงครามในทะเลจีนตอนใต้

การถอยห่างออกทีละน้อยโดยประกาศอย่างยิ่งใหญ่ว่าจะให้อาวุธเทพดีๆ แต่ปฏิบัติจริงจะถ่วงเวลา แล้วขายอาวุธยิงระยะสั้นที่เลิกใช้แล้วให้แทน คือสัญญาณว่าในทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาแล้ว ยูเครนได้ถูกลดความสำคัญลง

อย่างไรก็ตาม ให้จับตาดูความขัดแย้งของประเทศฟินแลนด์ สมาชิกนาโตรายล่าสุด ที่มีพรมแดนติดชายแดนรัสเซีย อาจจะมาแรงแซงทางโค้ง ลัดคิวเพื่อนใกล้ชิดยูเครนอย่างประเทศโปแลนด์อย่างแน่นอนที่สุด

“เคียฟ” สายตรงถึง “ปักกิ่ง” บ่งบอก “ยูเครน” ใกล้แพ้เต็มที ?

การเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ช่วงวันที่ 20-22 มีนาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดพลิกผันครั้งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในเวทีการเมืองโลก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวของนายสี จิ้นผิง หลังการเลี้ยงอาหารต่ำที่กรุงมอสโก ในวันอังคารที่ 21 มีนาคม 2566 ซึ่ง สี จิ้นผิง ได้บอกกับ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียว่า “ในเวลานี้ ณ วันนี้ กำลังมีการเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เราไม่ได้เคยพบเห็นมาเป็นร้อยปี และเรากำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยกัน” ซึ่งปูตินได้ตอบกลับว่า “ผมเห็นด้วย”


ภาพและประโยคสนทนาดังกล่าวจะถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของโลกไปอีกนานแสนนาน เป็นหลักฐานและสัญลักษณ์สำหรับของความพลิกผันและเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจที่จะขับเคลื่อนและสร้างสมดุลทางอำนาจของโลกต่อไปในอนาคต

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านมาอีกแค่ 1 เดือน บ่ายวันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายเซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ได้คุยโทรศัพท์หารือกัน โดยผู้นำยูเครนเป็นฝ่ายที่โทรไปหาประธานาธิบดีจีน เนื่องจากประธานาธิบดีจีนพูดต่อสาธารณะในช่วงเดินทางเยือนรัสเซียว่า พร้อมจะหารือกับผู้นำยูเครนเมื่อสถานการณ์เหมาะสม

เบื้องหลัง เซเลนสกี โทรศัพท์คุยสี จิ้นผิง

การที่เซเลนสกีตัดสินใจโทรไปหาผู้นำจีนในจังหวะเวลาใกล้เคียงกับเหตุการณ์หลายอย่าง มีอะไรบ้าง ?

หนึ่ง มีข่าวลือว่ายูเครนกำลังจะเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีกลับรัสเซียในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

สอง ทว่ากลับมีข้อมูลข่าวกรองสหรัฐฯ รั่วไหลออกมาทางกระทรวงกลาโหม หรือเพนตากอน ว่าอาวุธของยูเครนกำลังจะหมดลงในเดือนนี้ คือเดือนพฤษภาคมนี้

สาม ผู้นำยุโรปหลายคนเดินทางเยือนจีน อาทิ นายกรัฐมนตรีของสเปน นายเปโดร ซันเชซ ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ของฝรั่งเศส และ นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และล่าสุด นางอันนาเลนา แบร์บอก รัฐมนตรีต่างประเทศของเยอรมนี


หลังจากเดินทางกลับจากเยือนจีน บรรดาผู้นำยุโรปมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่าง นายมาครง ถูกสหรัฐฯ พันธมิตรนาโต ถล่มอยางหนัก หลังจากเขาประกาศว่า ยุโรปต้องเป็นตัวของตัวเอง และฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ไม่ใช่ขี้ข้า

เมื่ออ่านต้นฉบับสุนทรพจน์ที่นายมาครงพูดเป็นภาษาฝรั่งเศส ได้ใช้คำแรงว่า Vassal ซึ่งเป็นคำสมัยศักดินา มีทั้งในภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษ ถ้าแปลอย่างตรงไปตรงมา Vassal มีความหมายถึงสมุน บริวาร ขี้ข้า แต่สำนักข่าวหลายแห่งเจตนาเลี่ยงเพื่อลดน้ำหนักคำพูดนี้ของนายมาครง โดยเปลี่ยนจากคำว่า ขี้ข้า เป็นผู้ตาม เท่านั้นเอง แท้ที่จริงแล้ว นายมาครง พูดคำว่า Vassal ก็คือ เป็นขี้ข้า

แม้แต่นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และนางอันนาเลนา แบร์บอก รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ที่สนิทสนมกับอเมริกา และวิพากษ์วิจารณ์จีนมาตลอด ก็ยอมรับว่า ยุโรปไม่สามารถจะตัดขาดจากจีนได้


วันที่ 14 เมษายน นางอันนาเลนา แบร์บอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี แถลงข่าวร่วมกับนายฉิน กัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ที่กรุงปักกิ่ง โดยการเดินทางไปของนางแบร์บอก มีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ ภายหลังการเยือนของประธานาธิบดีมาครง ของฝรั่งเศส และประธานกรรมาธิการยุโรป และดูเหมือนจะเป็นความพยายามจะบรรเทาผลกระทบจากการที่มาครงออกมาให้สัมภาษณ์ เรียกร้องให้ยุโรปทำตัวเป็นขั้วอำนาจที่สาม อย่ายอมเป็นลูกไล่ของอเมริกา

รัฐมนตรีต่างประเทศหญิงจากพรรคกรีน ซึ่งเดินทางไปจีนหนแรก ชี้ด้วยว่า การเยือนมอสโกของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อเร็วๆ นี้ สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีประเทศไหนที่จะมีอิทธิพลต่อรัสเซียเท่ากับจีนอีกแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เชื่อมโยงด้วยกันกับเรื่องนี้ คือการเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการของประธานาธิบดียุน ซ็อก-ย็อล ของเกาหลีใต้ ในโอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี การเป็นพันธมิตรระหว่างอเมริกา และเกาหลีใต้ การเยือนอเมริกาของประธานาธิบดีเกาหลีใต้มีขึ้ในช่วงเดียวกับที่ข่าวกรองในอเมริกา มีเอกสารลับรั่วไหลออกมาว่า อเมริกานั้นแอบดักฟังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีใต้


หนังสือพิมพ์ จุลอัง อิลโบ ของเกาหลีใต้ รายงานว่า เกาหลีใต้ได้บรรลุข้อตกลงที่จะให้อเมริกายืมกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร จำนวน 5 แสนนัด แทนการจำหนายกระสุน เพื่อกลบเกลื่อน ไม่ให้ออกมาในภาพว่าเกาหลีใต้สนับสนุนอาวุธให้ยยูเครน โดยอ้างว่ากระสุนที่ยืม จะไปเติมคลังอาวุธของอเมริกาเท่านั้น

การเยือนอเมริกาของประธานาธิบดีเกาหลีใต้นั้น การแสดงออกและพฤติกรรมต่างๆ พิสูจน์ได้ชัดว่า เกาหลีใตนั้นก็คือบริวารของอเมริกา เพียงแต่ว่าเกาหลีใต้ยังระมัดระวังตัวในเรื่องของการจะถูกรัสเซียกล่าวหาว่าส่งอางุธให้กับยูเครน เพราะรัสเซียเคยพูดออกมาว่า ถ้าเกาหลีใต้ส่งอาวุธให้ยูเครนแล้ว เดี๋ยวรัสเซียจะส่งอาวุธที่พัฒนาแล้ว ทันสมัยมาก ให้เกาหลีเหนือบ้าง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็เลยต้องเลี่ยงไปว่า ให้อเมริกายืมลูกปืนไป

เมื่อลำดับพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมดจะพบว่า

หนึ่ง นายเซเลนสกี ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะมีชัยชนะในการโจมตีกลับรัสเซีย


สอง เขาไม่มั่นใจว่าบรรดาชาติยุโรปจะสนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่ในสงครามยืดเยื้อมากกว่าหนึ่งปี


สาม ยิ่งตอกย้ำข้อมูลข่าวกรองอเมริกาว่า ยูเครนเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ และสูญเสียมากที่สุดในศึกครั้งนี้ ด้วยเหตุนี้เซเลนสกี ถึงต้องติดต่อไปหาสี จิ้นผิง เพื่อหาทางหนีทีไล่ ก็คือให้จีนเป็นตัวช่วยก่อนที่ยูเครนจะหมดหนทางสู้ และพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

คำถามที่น่าสนใจ คือ สี จิ้นผิง กับ เซเลนสกี คุยเรื่องอะไรกัน ?

จากข้อมูลที่มีการเปิดเผย ระหว่างการสนทนาระหว่างสี จิ้นผิง กับ เซเลนสกี ซึ่งใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง ผู้นำจีนย้ำจุดยืนของจีนในหลายเรื่อง

ข้อหนึ่ง จีนยืนยันว่ายืนข้างสันติภาพมาตลอด พร้อมสนับสนุนการเจรจาสันติภาพ

สอง จีนบอกว่าตัวเองไม่ได้ก่อวิกฤตยูเครน และไม่ได้มีส่วนร่วมในวิกฤต แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ จีนไม่ได้นิ่งดูดาย แต่จีนจะไม่สุมไฟความขัดแย้ง และจะไม่ใช้สถานการณ์เพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง

สาม ไม่มีผู้ชนะในสงครามนิวเคลียร์

บทบาทวันนี้ของผู้นำจีน และสิ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พูด สะท้อนสถานภาพของจีนในเวทีโลกที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับ 50-60 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ยุคผู้นำจีนรุ่นที่ 1 ของอดีตนายกรัฐมนตรี นายโจว เอิน ไหล ซึ่งจีนดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว หลีกเลี่ยงที่จะข้องแวะกับความขัดแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีนโดยตรง มุ่งจะพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน และเศรษฐกิจในประเทศ มาถึงยุคผู้นำรุ่นที่ 5 นายสี จิ้นผิง โดยเฉพาะหลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เมื่อปีที่แล้ว (2565) จีนได้ประกาศจะดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบใหม่ คือแบบชาติใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ


ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ จีนเป็นตัวกลางประสานงานให้ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน คืนความสัมพันธ์ทางการทูต หลังจากนั้นแล้ว จีนก็พยายามเสนอแผนสันติภาพ 12 ข้อ บรรดาชาติตะวันตกที่กล่าวหาจีนตลอดว่ายืนข้างรัสเซีย ทำไมจีนไม่ประณามรัสเซียที่บุกยูเครน และเร่งเร้าว่าเมื่อไร สี จิ้นผิง จะคุยกับเซเลนสกี ซึ่งสี จิ้นผิง ให้คำตอบแล้วในระหว่างที่คุยกับเซเลนสกี ว่า จีนไม่ได้เป็นคนก่อวิกฤตยูเครนขึ้น และไม่ได้มีส่วนร่วมในวิกฤตนี้

จากประโยคดังกล่าว หากไม่ได้เป็นผู้ที่มีดวงตาที่มืดมิดหรือบอด ตกเป็นทาสตะวันตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา นายเซเลนสกี น่าจะใคร่ครวญคำพูดนายสี จิ้นผิง ได้ว่าใครกันแน่ที่สุมไฟความขัดแย้ง และใครกันแน่ที่ใช้สถานการณ์เพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง ทว่า ทุกอย่าง ทุกคนทราบว่า นายเซเลนสกี ก็คือนายเซเลนสกี

นายเซเลนสกี เขาพูดต่อว่า หลังจากคุยกับสี จิ้นผิง แล้ว เขาบอกกับผู้นำจีนว่า ไม่มีประชาชนชาติไหนต้องการสันติภาพมากไปกว่าชาวยูเครน แต่ว่าสันติภาพต้องมีความเป็นธรรม ยั่งยืน

มี 3 เรื่อง ที่นายเซเลนสกี เสนอ

หนึ่ง ยูเครนต้องการดินแดนทั้งหมดกลับคืน ซึ่งเซเลนสกี และสี จิ้นผิง รู้อยู่แล้วว่ารัสเซียไม่ยอมแน่นอน

สอง ให้จีนช่วยเจรจารัสเซียให้คืนตัวเด็กๆ ชาวยูเครน ที่ถูกนำตัวไว้ในดินแดนของรัสเซีย ฝ่ายยูเครนอ้างว่าได้ลักตัวเด็กชาวยูเครนไป 2 หมื่นคน เพื่อเป็นตัวประกันในสงคราม แต่รัสเซียบอกอพยพเด็กๆ เหล่านี้เพื่อให้รอดพ้นจากภัยสงคราม และเด็กๆ หลายคนได้รับการอุปการะจากครอบครัวชาวรัสเซีย

สาม ขอให้จีนอย่าสนับสนุนอาวุธให้กับรัสเซีย

ข้อเสนอของนายเซเลนสกี มีข้อเดียวที่จีนตอบรับ คือ จีนยืนยันว่าจะไม่สนับสนุนอาวุธให้รัสเซีย ส่วนอีก 2 เรื่องนั้นทำไม่ได้ รัสเซียไม่ยอมแน่นอน


จะเห็นได้ว่าการพูดคุยระหว่างนายเซเลนสกี กับนายสี จิ้นผิง นั้น นายเซเลนสไม่มีทางออก แต่เงื่อนไขนายเซเลนสกี ที่เสนอให้สี จิ้นผิง เอาไปเสนอปูตินนั้น ก็ไม่มีทางเป็นไปได้

การที่จะให้รัสเซียคืนแผ่นดินทั้งหมด เช่น แหลมไครเมีย หรือภูมิภาคดอนบาส ซึ่งรัสเซียเขาตอบมาชัดเจนว่า ไครเมียนั้น คนรัสเซียพักอาศัยอยู่ และดอนบาสนั้น คนเชื้อสายรัสเซียอยู่มาก แล้วกลายเป็นยูเครน พวกนีโอนาซี จากการสนับสนุนของนายเลเลนสกี เป็นผู้ที่เข่นฆ่าสังหารคนรัสเซียที่อยู่ในดอนบาสคายถึง 14,000 คน นั่นคือเหตุผลที่รัสเซียต้องบุกเข้าไปเพื่อยึดดอนบาส แล้วประกาศเป็นการปฏิบัติการสงครามพิเศษ

นี่คือข่าวล่าสุดที่นายเซเลนสกี และสี จิ้นผิง คุยอะไรกันบ้าง


กำลังโหลดความคิดเห็น