“สนธิ” เผยงานวิจัยพฤติกรรมฆาตกรต่อเนื่อง พบฆาตกรต่อเนื่องชายเป็นนักล่า มุ่งฆ่าเพื่อแสวงสุข ออกหาเหยื่อนอกพื้นที่ ฆ่าคนแปลกหน้า ใช้กำลังสังหารเหยื่อ ส่วนฆาตกรต่อเนื่องหญิงเป็นผู้เก็บเกี่ยว ฆ่าเพื่อผลประโยชน์ เหยื่อมักเป็นคนคุ้นเคยใกล้ชิด และสังหารเหยื่อด้วยยาพิษ เข้าลักษณะ “แอม ไซยาไนด์” เต็มๆ พร้อมย้อนรอยคดีฆาตกรต่อเนื่องในต่างประเทศ จาก “แจ๊ก เดอะริปเปอร์” ถึง “แม่ม่ายดำ” แห่งญี่ปุ่น “แอม” ติดอันดับเบอร์ต้นของโลก
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการฆ่าต่อเนื่องที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศในอดีรต เทียบเคียงกับกรณีของ “แอม ไซยาไนด์” หรือนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์
ไล่ไปตั้งแต่ แจ๊ก เดอะ ริปเปอร์ (Jack the Ripper) ฆาตกรต่อเนื่องชายในประเทศอังกฤษ ที่ชอบฆ่าโสเภณีด้วยการปาดคอ คว้านท้องเอาอวัยวะภายในออกไป
“บุญเพ็ง หีบเหล็ก” ฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อเหตุในช่วงปี 2460 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรูปแบบการฆาตกรรมด้วยการใช้ของมีคมสังหารเหยื่อ แล้วหั่นศพเหยื่อใส่หีบเหล็กถ่วงน้ำ
ที่เกิดขึ้นมาหลังๆ ก็จะมีคนอย่างเช่น นายสมคิด พุ่มพวง เจ้าของฉายา "เดอะ ริปเปอร์" ของเมืองไทย ฆาตกรต่อเนื่อง 5 ศพ ที่ก่อเหตุฆ่าหญิงสาวหมอนวด นักร้อง อย่างโหดเหี้ยม หลังจากที่ติดคุกมาแล้ว 14 ปี ออกมาก่อเหตุซ้ำอีกในปี 2562
อีกคนหนึ่ง ชื่อ "นายไอซ์ หีบเหล็ก" อภิชัย องค์วิศิษฐ์ ฆาตกรฆ่าหญิงสาวอย่างน้อย 3 ศพ ตกเป็นข่าวโด่งดังในปี 2563 เหตุเกิดแถวๆ ฝั่งธนฯ
ในประเทศไทยมีฆาตกรต่อเนื่องเป็นชายเป็นหลักที่เป็นข่าว แต่ล่าสุด กรณีของแอม สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 36 ปี สังหารเหยื่อนับสิบรายในช่วงไม่กี่ปี โดยใช้ยาพิษไซยาไนด์ จนได้ฉายาว่า “แอม ไซยาไนด์” เธอน่าจะได้รางวัลที่หนึ่งในการฆ่าคน
กรณีทั้งหมดหากพิสูจน์ว่าแอมวางแผน จงใจลงมือสังหารเหยื่อจริง เธอจะต้องติดอันดับฆาตกรหญิงต่อเนื่อง เข้าข่ายว่ามีความอำมหิตติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว
เปิดพฤติกรรมฆาตกรต่อเนื่อง
ข้อมูลในเว็บไซต์จากห้องสมุดสุขภาพจิตของกระทรวงสาธารณสุข อธิบายลักษณะของฆาตกรต่อเนื่อง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Serial Killer อ้างคำนิยามโดยสำนักงานสอบสวนกลางของ FBI ของอเมริกา หมายถึง ฆาตกรที่ฆ่าคนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อตอบสนองความต้องการหรือความพึงพอใจทางจิตใจ โดยจะมีช่วงว่างเว้นระหว่างเหยื่อแต่ละราย ซึ่งต่างจากฆาตกรรมหมู่ ที่จะสังหารบุคคลหลายๆ คนในคราวเดียว ฆาตกรต่อเนื่องจะฆ่าคนหนึ่ง แล้วทิ้งช่วงไว้ อีกสักเดือน สองเดือน ก็โผล่มาฆ่าอีกคนหนึ่ง หรือบางทีอาจจะหกเดือนฆ่าอีกคนหนึ่ง
ที่อเมริกา มีนักวิจัยที่ศึกษาความแตกต่างระหว่างฆาตกรต่อเนื่องหญิง และฆาตกรต่อเนื่องชาย เอาไว้อย่างน่าสนใจ คนทำงานวิจัยนี้ชื่อ มาริสสา เอ. แฮร์ริสัน (Marissa A. Harrison) และ ซูดาน เอ็ม. ฮิวจ์ (Susan M. Hughes) ผู้ชายที่เป็นนักวิจัยชื่อ จอร์แดน ก็อตต์ (Jordan Gott)
ในปี 2562 พวกเขาทำงานวิจัย ชื่อ "ความแตกต่างระหว่างเพศในฆาตกรต่อเนื่อง" (Sex Differences in Serial Killers) ซึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลกรณีฆาตกรต่อเนื่องในอเมริกาในห้วงระยะเวลาร้อยห้าสิบปีกว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2399-2552 แบ่งเป็น ข้อมูลฆาตกรต่อเนื่องเพศชาย 55 ราย ฆาตกรต่อเนื่องเพศหญิง 55 ราย ตีพิมพ์ในวารสาร Evolutionary Behavioral Sciences ฉบับที่ 13
งานวิจัยระบุว่า "ฆาตกรต่อเนื่อง" หมายถึงฆาตกรที่จงใจฆ่าเหยื่อมากกว่า 3 คน โดยมีระยะเวลาว่างเว้นช่วงการฆ่าแต่ละคนอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ บทความนี้พยายามใช้กรอบแนวคิดจิตวิทยาวิทยาการ Evolutionary Phychology ในการทำความเข้าใจฆาตกรต่อเนื่อง โดยอธิบายตัวแบบผู้ล่า คือ Hunter ผู้เก็บเกี่ยว คือ Gatherer ของฆาตกรต่อเนื่อง
งานวิจัยดังกล่าวมีข้อสรุป ความแตกต่างระหว่างฆาตกรชาย และฆาตกรหญิง 4 ประการใหญ่ด้วยกัน
ข้อที่หนึ่ง ตามทฤษฎีวิวัฒนาการฆาตกรต่อเนื่องชาย เป็นผู้ล่า ในขณะที่ฆาตกรต่อเนื่องหญิง เป็นผู้เก็บเกี่ยว บ่อยครั้งที่ฆาตกรต่อเนื่องชายจะฆ่าคนแปลกหน้าที่ตนลอบมอง ฆาตกรต่อเนื่องชายจะชอบเดินทางออกไปไกลๆ เพื่อไปล่าหรือฆ่า
สอง ฆาตกรต่อเนื่องหญิงจะฆ่าคนใกล้ตัว เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในสถานที่คุ้นเคยหรืออาศัย อันเป็นไปตามวิวัฒนาการของมนุษย์ผู้ชายที่ออกไปล่าสัตว์มาเป็นอาหารบริโภค ขณะผู้หญิงเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ประมาณกันว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ของเวลาในประวัติศาสตร์ มนุษย์ใช้ตัวแบบผู้ล่า ผู้เก็บเกี่ยว เพื่อทำให้เกิดความอยู่รอดอย่างสูงสุด อันส่งผลถึงพฤติกรรมในปัจจุบัน
ข้อที่สาม ฆาตกรต่อเนื่องหญิงจะฆ่าเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน ซึ่งเหมือนกรณีของแอม ขณะที่ฆาตกรต่อเนื่องชายจะฆ่าเพื่อการมีเพศสัมพันธ์ ฆาตกรต่อเนื่องชายฆ่าเป็นนักล่าเพื่อแสวงสุข โดยการลักลอบแอบมองเหยื่อที่ไม่คุ้นเคยเพื่อความสำราญใจทางเพศ ทำให้เหยื่อตื่นตระหนก กลัว ชอบเดินทางไกลเพื่อไปล่าเหยื่อ อาจจะมีพฤติการณ์ธรรมชาติและซาดิสม์ ทรมานเหยื่อ ทำให้เหยื่ออับอาย ทำให้เหยื่อเจ็บปวดมากก่อนจะลงมือฆ่า ก่อนจะลงมือข่มขืนเหยื่อแล้วฆ่า มีผู้หญิงอายุน้อยๆ ยังสาว มักจะเป็นเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องชาย
ฆาตกรต่อเนื่องหญิง เป็นผู้เก็บเกี่ยว โดยฆ่าคนคุ้นเคยและคนใกล้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่รู้จักดี ได้ดูแล มีความสัมพันธ์ด้วย ฆาตกรต่อเนื่องหญิง จะฆ่าแม้กระทั่งเด็กเล็กๆ หรือคนแก่ที่ตนเองเคยดูแลเลี้ยงดูอยู่
นอกจากนั้น ฆาตกรต่อเนื่องหญิงมักจะอาศัยอยู่ที่เดียวที่คุ้นเคย ไม่มีการลอบมองเหยื่อ ฆาตกรต่อเนื่องหญิงยังฆ่าสามีเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน เช่น ฆ่าเพื่อเอาเงินกรมธรรม์ประกันชีวิต แล้วไปแต่งงานกับผู้ชายคนใหม่ในภายหลัง ซึ่งมีข่าวอยู่ประจำว่าถ้าฆาตกรต่อเนื่องหญิงถูกจับได้ เพราะว่าฆ่าผัวเพื่อหวังเงินประกัน
ข้อที่สี่ การศึกษาวิจัยชิ้นนี้เป็นการวิเคราะห์เอกสารจากข่าวที่เสนอในสหรัฐอเมริกา โดยเลือกข่าวฆาตกรต่อเนื่องหญิงมาจับคู่กับฆาตกรต่อเนื่องชายที่มีอายุไล่เลี่ยกันเมื่อเวลาลงมือฆ่า เพื่อให้เปรียบเทียบสถิติและตัวเลขได้
ผลการวิเคราะห์จากงานวิจัยดังกล่าวพบว่า ฆาตกรต่อเนื่องชายฆ่าคนแปลกหน้ามากกว่าฆาตกรต่อเนื่องหญิงถึง 6 เท่า ในขณะที่ฆาตกรต่อเนื่องหญิงฆ่าคนคุ้นเคยเป็น 2 เท่าของฆาตกรต่อเนื่องชาย
ฆาตกรต่อเนื่องหญิงยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด การแต่งงานกับเหยื่อ คือเมียฆ่าผัว และยังพบว่าฆาตกรต่อเนื่องหญิงฆ่าคู่สมรสตัวเองมากกว่าฆาตกรต่อเนื่องชายเป็น 2 เท่า
ฆาตกรต่อเนื่องชายชอบลอบมองเหยื่อก่อนลงมือฆ่ามากกว่าฆาตกรต่อเนื่องหญิง และชอบออกไปฆ่าเหยื่อนอกรัฐที่เกิดเหตุ นอกสถานที่ นอกพื้นที่ ในรัฐต่างๆ ของอเมริกา
นอกจากนี้ ฆาตกรต่อเนื่องชายยังมาจากชนชั้นเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า ในขณะที่ฆาตกรต่อเนื่องหญิงมักจะมาจากชนชั้นกลาง
ฆาตกรต่อเนื่องชายมีระดับการศึกษาที่ต่ำกว่าฆาตกรต่อเนื่องหญิงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น บุญเพ็ง หีบเหล็ก ไม่เหมือนแอม ซึ่งเรียนจบปริญญาตรีราชภัฏนครปฐม
แรงจูงใจในการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องชายส่วนใหญ่ คือเพศสัมพันธ์ ขณะที่แรงจูงใจของฆาตกรต่อเนื่องหญิงคือ ผลประโยชน์ทางการเงิน
ฆาตกรต่อเนื่องชายฆ่าเหยื่อเป็นจำนวนมากกว่าฆาตกรต่อเนื่องหญิง โดยมักฆ่าเหยื่อเพศหญิงมากกว่า ขณะที่ฆาตกรต่อเนื่องหญิงลงมือฆ่าได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่สำคัญ ขอให้ได้เงินมา หรือได้รับผลประโยชน์
นอกจากนี้ ฆาตกรต่อเนื่องชายมักจะฆ่าผู้ใหญ่ แทบจะไม่ฆ่าเด็ก แตกต่างจากฆาตกรต่อเนื่องหญิงค่อนข้างมาก ที่จะฆ่าแม้กระทั่งเด็ก หรือแม้กระทั่งลูกของตัวเอง
ฆาตกรต่อเนื่องชายมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าฆาตกรต่อเนื่องหญิง มักจะใช้วิธีการฆ่าโดยทำให้ขาดอากาศหายใจ ในขณะซึ่งฆาตกรต่อเนื่องหญิงใช้การวางยาพิษมากที่สุด กรณีของแอมนี่ตรงเป๊ะเลยกับงานวิจัยที่เขาทำมาแล้ว
วิธีการนี้น่าจะเกี่ยวโยงกับความแตกต่างทางธรรมชาติและความแข็งแกร่งทางร่างกายและสรีระระหว่างเพศชาย-เพศหญิง
ศาลมักจะพิพากษาประหารชีวิตฆาตกรต่อเนื่องชายมากกว่าฆาตกรต่อเนื่องหญิง
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดในการศึกษานี้จากอเมริกาไม่ได้เปรียบเทียบลักษณะนิสัยทางจิตวิทยาโดยตรง เพราะเป็นข้อมูลที่ไม่มีในข่าว ซึ่งในอนาคตควรศึกษาความแตกต่างระหว่างเพศของฆาตกรต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการฮอร์โมน หรือความเครียดทางเศรษฐกิจ หรือการทำงานของระบบประสาท
สำหรับประเทศไทยแล้วจะมีความแตกต่างระหว่างฆาตกรต่อเนื่องหญิง และฆาตกรต่อเนื่องชาย หรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่น่าค้นคว้าศึกษาเช่นกัน หากมีจำนวนคดีหรือข่าวที่มากพอสำหรับการศึกษาวิจัย แต่เชื่อว่าน่าจะมีความคล้ายกันอยู่มากสำหรับความแตกต่างระหว่างเพศของฆาตกรต่อเนื่องชายและหญิงที่มีแรงจูงใจและวิธีการฆ่าที่แตกต่างกันค่อนข้างมากและชัดเจน โดยกรณีของแอมนี้ชัดเจน แอมฆ่าด้วยยาพิษ แต่ฆาตกรต่อเนื่องชาย ไม่ว่าจะเป็น บุญเพ็ง หีบเหล็ก หรือ ไอซ์ หีบเหล็ก ฆ่าด้วยอาวุธ และมีการข่มขืน
เบื้องต้นเมื่อพิจารณากรณี "แอม ไซยาไนด์" ซึ่งเป็นเหตุสะเทือนขวัญอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยได้ยินกรณีฆาตกรต่อเนื่องในประเทศไทยที่โหดเหี้ยมอำมหิต โดยมีการลงมือสังหารผู้คนมากมายขนาดนี้มาก่อน ก็เห็นว่าถึงปัจจุบันข้อมูลค่อนข้างจะสอดคล้องกับผลงานวิจัยของนักวิชาการในต่างประเทศเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างฆาตกรต่อเนื่องชาย และฆาตกรต่อเนื่องหญิง
กรณีฆาตกรต่อเนื่องของแอม คนไทย ผู้หญิงอายุ 36 ปี ล่าสุดคือมีหลักฐานเชื่อมโยงเหยื่อหลายสิบรายนั้น เป็นเรื่องโด่งดังไม่เฉพาะในไทย ต้องถือว่าเป็นกรณีระดับโลก และน่าจะเข้าข่ายกรณีฆาตกรต่อเนื่อง ฆาตกรซ่อนเงื่อนที่ซับซ้อนมากที่สุดกรณีหนึ่ง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราย้อนดูไป เป็นการยากที่จะระบุจำนวนคดีฆาตกรต่อเนื่องในโลกที่แน่นอน เนื่องจากหลายคดีตรวจไม่พบ หรือไม่ได้รับการรายงาน นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอาจมีคำจำกัดความและเกณฑ์ที่แตกต่างกันสำหรับพฤติกรรมการเป็นฆาตกรต่อเนื่อง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Serial Killers
ทั้งนี้ FBI หรือสำนักงานสอบสวนกลางของอเมริกา นิยามคำว่า "ฆาตกรต่อเนื่อง" คือ บุคคลที่ก่อคดีฆาตกรรมตั้งแต่ 2 คดีขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลที่อ้างอิงจากวิกิพีเดีย พบว่าอเมริกามีรายงานสถิติฆาตกรต่อเนื่องจำนวนมากที่สุดกว่า 3,200 คน ตามด้วยประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ แอฟริกาใต้ แคนาดา อิตาลี ญี่ปุ่น และเยอรมนี
ตัวอย่าง “ฆาตกรต่อเนื่อง” คดีดังของโลก
คดีแรก ตำนาน "แจ๊ก เดอะ ริปเปอร์" (Jack the Ripper) พ.ศ. 2431 เกิดคดีฆาตกรรมสยองขวัญต่อเนื่องตลอด 3 เดือนในย่านอีสต์เอนด์ ของกรุงลอนดอน หญิงโสเภณีอย่างน้อย 5 รายถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยมีดชำแหละหั่นศพเหยื่ออย่างเหี้ยมโหด ฆาตกรได้ฉายาว่า "แจ๊ก เดอะ ริปเปอร์" ทว่า ตำรวจอังกฤษในยุคนั้นไม่สามารถจับตัวคนร้ายและคลี่คลายคดีได้ ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นตำนานปริศนาที่ยังคงเขย่าขวัญ ถูกเล่าขานไปทั่วโลก จัดว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ชั่วร้ายที่สุดคนหนึ่งในรอบ 135 ปี ที่ทิ้งให้เป็นปริศนาว่าใครเป็นคนฆ่า
คนที่สอง คือ นายซามูเอล ลิตเติล (Samuel Little) ฆาตกรต่อเนื่องโหดที่สุดของอเมริกา 7 ตุลาคม 2562 สำนักงาน FBI ยืนยันว่า นายซามูเอล ลิตเติล นักโทษวัย 79 ปี เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่สังหารเหยื่อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ก่อเหตุฆาตกรรมมาแล้วถึง 93 ครั้ง ฆ่าคนตายมาแล้ว 93 ครั้ง ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา
FBI วิเคราะห์ ทำให้เชื่อได้ว่าคำสารภาพของนายลิตเติล เชื่อถือได้ เขาจำรายละเอียดส่วนใหญ่ได้แม่นยำ ถึงแม้จะจำวันเกิดเหตุไม่ได้ เขาจะเลือกเหยื่อที่อ่อนแอ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงผิวสี โสเภณี หรือคนติดยา นายลิตเติลไม่ได้มีวิธีสังหารที่แน่ชัด ไม่เหมือนกับแอม เหยื่อบางรายถูกวินิจฉัยว่าเสียชีวิตเพราะเสพยาเกินขนาด หรืออุบัติเหตุ บางศพยังหาไม่พบ
นายลิตเติลวาดภาพเหยื่อของเขา ซึ่ง FBI นำมาเผยแพร่ โดยหวังว่าจะสามารถระบุตัวตนของพวกเขาได้
สาม "แม่ม่ายดำญี่ปุ่น" วางยาพิษเหยื่อต่อเนื่อง เธอชื่อ ชิซาโกะ คาเกฮิ (Chisako Kakehi) วัย 74 ปี ใช้สารพิษไซยาไนด์ฆ่าคน และถูกศาลตัดสินประหารชีวิต ตอนที่เธอถูกจับกุมเธอมีอายุ 67 ปี และในเวลาต่อมาถูกตัดสินว่าฆ่าคู่ชีวิต (สามีตัวเอง) เพื่อประสงค์ต่อทรัพย์สินเงินทอง ทำให้เธอกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง เธอถูกสื่อตั้งฉายาว่า "แม่ม่ายดำ" (Black Widow) เนื่องจากพฤติกรรมของเธอคล้ายกับแมงมุมแม่ม่ายดำตัวเมีย ที่จะฆ่าคู่ของมันหลังจากที่มีการผสมพันธุ์กันแล้ว
จิจิเพรส สื่อของญี่ปุ่น รายงานว่า ตลอดช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ชิซาโกะ คาเกฮิ ได้ผลประโยชน์รวมกันแล้ว 800 ล้านเยน ราวๆ 223 ล้านบาท จากเงินประกันและทรัพย์สินอื่นๆ ที่เธอได้รับหลังจากสามีและคู่รักของเธอทั้ง 7 คน เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ
2550-2556 หกปี นางชิซาโกะ คาเกฮิ ก่อเหตุฆาตกรรม ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าใช้สารพิษไซยาไนด์ร้ายแรงในต่างกรรมต่างวาระ ฆ่าผัวตัวเอง 4 คน อายุตั้งแต่ 70-80 ปี ทำให้สามี 3 คน เสียชีวิตจากปริมาณไซยาไนด์ในหัวใจ/เลือด แต่มีหนึ่งคนรอดชีวิตในปี 2556
พฤศจิกายน 2557 นางคาเกฮิ ถูกจับกุมที่เกียวโต ถูกศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอ เธออุทธรณ์คำพิพากษา อ้างว่าภาวะสมองเสื่อม คล้ายๆ กับคดีแอมตอนนี้ที่ทนายของแอมกำลังจะใช้หลักการดำเนินคดีต่อสู้คดีว่าสมองเสื่อม ในที่สุดศาลฎีกาแห่งโอซากาปฏิเสธคำอุทธรณ์ของเธอ และยืนยันคำพิพากษาประหารชีวิตในเดือนกันยายน
ผู้ที่ทำคดีของนางแอม ก็พูดชัดเจน หลังจากที่ตรวจสอบพฤติกรรมทุกอย่างแล้ว รวมไปจนถึงปรึกษากับจิตแพทย์ระดับเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและนักวิจัย ทุกคนยืนยันว่านางแอมไม่ได้สมองเสื่อม สรุปง่ายๆ คือ นางแอมฆ่าเพราะโลภ ฆ่าเพราะทรัพย์สิน
ฆาตกรต่อเนื่องอีกรายเป็นคนญี่ปุ่น ชื่อ นางคานาเอะ คิจิมะ (Kanae Kijima) หรือที่รู้จักกันในนาม "แม่ม่ายดำแห่งยุคอินเทอร์เน็ต" เธอถูกตำรวจจับ และศาลพิพากษาว่าเธอมีความผิดฐานฆ่าคน 3 คน และอีก 1 คน พยายาม ปี 2553 เธอพบกับเหยื่อของเธอผ่านทางเว็บไซต์หาคู่ทางอินเทอร์เน็ต เธอมักจะสร้างภาพให้เป็นผู้หญิงไฮโซ มีรสนิยมค่อนข้างสูง ใช้เงินเป็นเบี้ย ประกาศว่าตัวเองอยากเป็นเจ้าสาวคนดีๆ สักคน
สาเหตุที่เธอมีข่าวดังทั่วโลก เพราะว่าแม่ม่ายดำคิจิมะ ใช้วิธีการต่างๆ ในการสังหารเหยื่อของเธอ โดยเธอแอบวางยานอนหลับ ปล่อยให้เหยื่อถูกรมควันพิษจากคาร์บอนมอนอกไซด์ในรถเช่า คือให้ผู้ชายกินยานอนหลับ แล้วก็เปิดคาร์บอนมอนอกไซด์ในรถเช่า เป็นวิธีที่คนญี่ปุ่นนิยมฆ่าตัวตายในขณะนั้น
นอกจากนั้น เธอใช้ยาไซยาไนด์ เหมือนที่แอมวางยาสามี แต่นี่เธอดุเดือดกว่าแอม บางกรณีเธอคอยจุดไฟเผาบ้านของผัวหรือเหยื่อขณะที่นอนหลับ
นางคิจิมะ ถูกตำรวจจับกุมในปี 2552 หลังจากเหยื่อรายที่สี่ อายุ 41 ปี รอดชีวิตจากการพยายามรมควันพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ในรถยนต์ เธอถูกตัดสินประหารชีวิตในปี 2555
วันที่ 1 พฤษภาคม 2555 ที่ครบรอบ 100 วัน การพิจารณาคดีของเธอ มีประเด็นหนึ่งที่เธอให้การไว้ในชั้นศาล สามารถสะท้อนตัวตนของเหตุจูงใจในการกระทำของเธอได้เป็นอย่างดี เธอบอกว่า "ฉันมีชีวิตหรูหรามาตั้งแต่เด็ก และฉันก็รับไม่ได้หากชีวิตจะตกต่ำลง เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดสำหรับฉันคือการหาใครสักคนที่สามารถช่วยเหลือฉันในเรื่องเงินได้" นี่คือคำกล่าวของเธอ
ยิ่งกว่านั้น ยังมีเรื่องแปลกแต่จริงของนางคิจิมะ ระหว่างจำคุกที่เมืองไซตามะ รออุทธรณ์คดี เธอยังแต่งงานกับนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อายุ 60 ปี หลังจากทั้งคู่ติดต่อผ่านจดหมาย 10 ครั้ง
ในจดหมายครั้งที่ 11 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 เธอถามผู้ชายคนนั้นว่าจะเป็นคนรักของเธอได้หรือไม่ สองวันต่อมาเขาเขียนว่า “ตกลง” การแต่งงานได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 มีนาคม 2558
ควาามเป็นคนดังจากการเขียนหนังสือบันทึกประวัติของตัวเอง พิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่น เรื่อง "ครั้งหนึ่งของชีวิต" เขียนโดยนางคิจิมะ มีความเห็นจากคนอ่านที่ท้วงติงว่าเรื่องราวของเธอตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบันที่อ้างว่ามาจากครอบครัวชั้นสูง จากฮอกไกโด เรียนสูงนั้น ไม่เป็นความจริง
ในหนังสือเล่มนั้นนางคิจิมะโกหกว่า เธออาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมหรูในเขตนิชิ อิเคะ บูคูโระ ที่โตเกียว มีค่าเช่าสูงถึง 2 แสนเยน หรือประมาณ 5 หมื่นบาท ทุกเดือน ขับรถเบนซ์ที่เช่ามา นอกจากนี้ เธออ้างว่าพ่อของเธอเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยโตเกียว ส่วนเธอเป็นครูสอนเปียโน และผู้ประสานงานด้านอาหาร เล่าถึงนิสัยใจคอ ฉลาดแกมโกง ประสบการณ์ทางเพศ แต่หนังสือที่เธอเขียนนั้นกลับไม่มีเรื่องราวคดีก่ออาชญากรรมฆ่าเหยื่อ
อย่างไรก็ดี เรื่องที่น่ากังวลในโลกออนไลน์ คือการรับข้อมูลแบบซ้ำๆ อาจทำให้เกิดความชาชินต่อสถานการณ์ หรือจินตนาการพฤติกรรมต่อความรุนแรง หรือเกิดการเลียนแบบความโหด รุนแรง ของการฆาตกรรมที่จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากการเสพข่าวที่ขาดสติจนดูเหมือนความรุนแรงโหดร้ายอยู่ใกล้ตัวมาก
“สิ่งเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความหวาดระแวงคนใกล้ชิดและคนรอบข้าง กลัวเหตุการณ์จะเกิดขึ้นกับตนเอง กลายเป็นความตระหนก ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือมองเห็นการก่อเหตุใดๆ เช่นนี้เป็นต้นแบบ และใช้เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาชีวิตของตัวเอง” นายสนธิกล่าว