ใครเลยจะรู้ว่า ห้วงเวลาเพียงไม่นานบนรถไฟขบวนหนึ่ง ในประเทศญี่ปุ่น หญิงสาวตรงหน้าเธอ ที่หันไปพูดคุยกับตุ๊กตาตัวโปรดที่ติดอยู่บนหัวไหล่ จะสร้างแรงบันดาลใจอันสดใหม่และเปี่ยมด้วยความสร้างสรรค์ให้นักศึกษาสาวชาวไทยคนหนึ่งของ Central Saint Martins สร้างโชว์ในคอนเซ็ปต์ “Imaginary Friends” ที่ทำให้เธอคว้ารางวัลชนะเลิศจากเวทีประกวด L’Oreal Professional Total Look Award
สร้างเสียงชื่นชมจากสื่ออังกฤษ ทั้งยังได้รับฉายาที่ทำให้เธอยังคงเป็นที่รู้จักในระดับสากลถึงทุกวันนี้ พร้อมๆ กับที่เธอเริ่มก่อร่างสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้น ในนามเดียวกับชื่อของเธอ คือ DISAYA
Celeb ระดับสากล อาทิ Paris Hilton, Emma Watson, Katy Perry รวมถึง Amy Winehouse ศิลปิน Soul Jazz ที่กลายเป็นตำนานไปแล้ว แม้เธอจะจากโลกนี้ไปในวัย 27 ปี ทว่า ปกอัลบั้ม Back to Black ของ Amy ที่สวมเดรสของ DISAYA กลายเป็นอีกหนึ่งภาพจำของแบรนด์และนักร้องสาวอย่างยากจะลืมเลือน
การตัดสินใจ Re-branding ครั้งใหญ่ พร้อมทำงานร่วมกับทีมมืออาชีพจากต่างประเทศ ไม่ต่างจากการหวนคืนสู่ดินแดนซึ่งครั้งหนึ่ง เคยเป็นจุดเริ่มต้นให้ชื่อของเธอคนนี้เป็นที่จดจำจึงเป็นการเดินทางของวิชาชีพที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ของแบรนด์ ขณะเดียวกันก็มีภาพลักษณ์ที่สดใหม่ ต่างไปจากที่คุ้นชิน ทั้งลึกลับ เย้ายวน ชวนค้นหา แฝงไว้ด้วยความลึกซึ้งในการประกอบสร้าง ‘ผู้หญิง’ ของ ‘ดิษยา’ คนใหม่ล่าสุดคนนี้ ที่ปรากฏโฉมให้เห็นผ่าน Collection ล่าสุด Summer 2023 ที่สะดุดตาไม่น้อย
‘ผู้จัดการออนไลน์’ สัมภาษณ์พิเศษ ‘ออม-ดิษยา สรไกรกิติกูล’
ดีไซเนอร์ ผู้ก่อตั้ง และ Creative Director แบรนด์ DISAYA ถึงกระบวนการทำงานร่วมกับทีมที่ต่างประเทศ วิสัยทัศน์ จังหวะก้าว ความคิดที่ตกผลึก แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งาน สำคัญที่สุด คือการพูดคุยถึงบุคลิกลักษณะ ของ ‘ผู้หญิงดิษยา’ ที่ชวนให้ค้นหาไม่รู้จบ
อัตลักษณ์ของ ‘ดิษยา’
ถามว่า แม้ที่ผ่านมาจะมีการบอกกล่าวไว้ในแต่ละคอลเลกชั่น ว่าสะท้อนภาพเป็นผู้หญิงสไตล์ต่างๆ เช่น หวานใส Feminine แต่หากให้คุณนิยามความหมาย 'ผู้หญิงของดิษยา เป็นผู้หญิงแบบไหน' ในภาพรวมแล้ว ผู้หญิงแบบไหนที่สื่อถึงความเป็นอัตลักษณ์ของดิษยาได้ตรงที่สุด
ออม-ดิษยาตอบว่า “เป็นผู้หญิงที่ให้รายละเอียดกับดีเทล กับลูกเล่นบนเสื้อผ้า เล่นกับคัตติ้ง แพทเทิร์นเสื้อผ้า รวมถึงสิ่งที่นำมาตกแต่งบนเสื้อผ้า จะเป็นงานฝีมือต่างๆ แต่ละคอลเลกชั่นก็จะแตกต่างกันไป คือเราจะเริ่มจากการคิดขึ้นมาก่อนว่า เราจะเล่นกับแพทเทิร์น เล่นกับเสื้อผ้ายังไง Shape, Silhouette โครงสร้างของเสื้อผ้าแต่ละคอลเลกชั่นจะเป็น Form แบบไหน แล้วก็จะเล่นให้แต่ละคอลเลกชั่นแตกต่างกันไป รวมถึงของที่จะนำมาตกแต่ง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ผู้หญิงของดิษยาจะเป็นผู้หญิงที่ให้ความละเอียดอ่อน พิถีพิถันกับดีเทล รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และลูกเล่นบนเสื้อผ้า” ออมระบุและกล่าวเพิ่มเติมว่า
ผู้หญิงในภาพของดิษยาแต่ละปี แต่ละคอลเลกชั่น เธอและทีมงานจะมีการคุยกันในทีมโดยรวมว่าปีนี้เรามองผู้หญิงดิษยาเป็นยังไง ให้เค้าเป็นผู้หญิงที่มีรสนิยมแบบไหน ดื่มอะไร ชอบศิลปะแบบไหน ไปเที่ยวสถานที่แบบไหน
“เราจะพยายามคุยกันในทีม เพื่อให้เห็นภาพผู้หญิงเป็นคนเดียวกัน เมื่อออกแบบเสื้อผ้า ทำ Visual ภาพจะได้ออกมาเป็นผู้หญิงคนเดียวกัน”
ถามว่า จากที่คุณเล่ามา เหมือนเติมบุคลิกเข้าไปเพื่อให้เห็นตัวตนของผู้หญิงดิษยาได้ชัดเจนขึ้น
ดีไซเนอร์สาวตอบว่า “ใช่ค่ะ แล้วดิษยาตั้งแต่เริ่มแรกเลย เราจะทำลาย Print เอง ทำของแต่ง เช่น กระดุม ลูกไม้ จะทำเอง ออกแบบเอง ทำขึ้นมาเพื่อให้มีความแตกต่างจากคนอื่น รายละเอียดต่างๆ เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราทำตั้งแต่เริ่มเลยค่ะ”
Touch ใจ Celeb สากล
ถามว่า อะไร ทำให้ดิษยาเป็นแบรนด์ที่ Celeb ระดับโลกหลายคนให้ความสนใจและยอมรับ
ออมตอบว่า “สำหรับออม ออมว่าเป็นความ Feminine แต่ว่าแฝงด้วยความขี้เล่น หรือ ลูกเล่นของเสื้อผ้าที่มีอยู่ในนั้น เช่น คอลเลกชั่นนี้ ( Summer 2023 ) จะเป็นงานถักมือ ถักโครเชต์ เอาโครเชต์มาตัดต่อ เล่นกับผ้า Liberty แต่งกับผ้า Cotton คือไม่ใช่เป็นเสื้อถักโครเชต์ล้วนๆ ทั้งตัว แต่เป็นการใส่ลูกเล่นเข้าไป”
ถามว่า คุณแฝงความเป็นไทยไว้ในงานดีไซน์มากน้อยแค่ไหน ความเป็นไทยที่เป็นสากล กับความเป็นแบรนด์ไทยที่สากลยอมรับ เหมือนหรือต่างกันอย่างไรในสายตาคุณ และจำเป็นไหมที่ดีไซเนอร์ไทยต้องสอดแทรกความเป็นไทย
ออมตอบว่า “ออมไม่รู้จะบอกยังไง ว่าความเป็นไทยคือแบบไหน เพราะว่าเราก็ไม่ได้ทำผ้าลายไทยอะไรแบบนั้น แต่ออมคิดว่าความเป็นไทยนั้นอยู่ในตัวเราเองอยู่แล้ว เพราะเราเกิดมาเป็นคนไทย โตที่เมืองไทย จริงอยู่ มีช่วงเวลาส่วนนึงที่ออมไปเรียนที่อังกฤษ แล้วก็อยู่ที่นั่นค่อนข้างนาน แต่ออมคิดว่าออมได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ในเรื่องความเป็นไทยอยู่แล้ว ดังนั้น ออมว่าออมมีความเป็นไทยอยู่ในตัวเต็มที่อยู่แล้ว คือ มันก็คงมีออกมาในงานระดับนึง เพราะว่าเราทำงานด้วยความเป็นตัวของเราเอง แล้วความเป็นไทยมันก็ซึมซับอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ความเป็นไทยมันก็คงออกมาในรูปแบบนั้น คือสำหรับออม ออมคิดว่า มันเป็นความละเอียดอ่อน ความพิถีพิถีน หรือการที่เราชอบเล่นกับ Craftsman Shift พวกงานเย็บปักถักร้อย งานประดิษฐ์ประดอย ออมคิดว่าสิ่งเหล่านั้น เป็นส่วนนึงที่มันมาจากความเป็นไทยของออมค่ะ”ออม-ดิษยาบอกเล่าได้อย่างเห็นภาพของความพิถีพิถันที่สะท้อนผ่านงานดีไซน์
เผชิญความท้าทาย
ถามว่า ความเป็นแบรนด์ไทยที่สากลให้การยอมรับ ต้องเผชิญกับความท้าทายอะไรบ้าง
ออมยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “จริงๆ แล้วทุกวันนี้ก็ยังท้าทายอยู่นะคะ คือ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปทำตลาดที่เมืองนอก แต่ออมเชื่อว่าส่วนนึง อาจเป็นเพราะตอนที่ออมเรียนจบด้วย คือ โชคดีว่าได้เรียนที่ Central Saint Martins ตอนจบก็ได้รางวัล มีสื่อมวลชนรู้จัก แล้วก็มี Stylist มาแนะนำให้ไปทำกับ Agent และ PR Agency ที่นั่นด้วย ซึ่งถือว่าเป็น PR ที่ดังในช่วงนั้น
“คือออมคิดว่ามันเกิดจากการที่เรารู้จักคนที่นั่นด้วย และเมื่อเรียนจบแล้วได้เป็นที่พูดถึง
ก็เป็นการช่วยให้แบรนด์เกิดขึ้นเร็ว แล้วตอนนั้น ก็ได้ Agent ที่อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น เป็นช่วงแรกเลยที่เริ่มสตาร์ทแบรนด์
ด้วยความที่ว่า เมื่อเรียนจบแล้วก็ทำแบรนด์เลย ดังนั้น ก็เหมือนกับเราเริ่มที่อังกฤษและที่เมืองไทยไปพร้อมๆ กัน ออมก็ทำคอลเลกชั่นส่งที่อังกฤษ ส่งที่เมืองนอก แล้วก็ที่เมืองไทย โดยทำออกมาพร้อมกันเลย
“ดังนั้น ในช่วงแรกๆ เราก็เริ่มจากการส่งออกเลย แต่ว่าเมื่อต้องมาเจอกับช่วง The Great Recession (การถดถอยของภาวะเศรษฐกิจที่กระทบถึงกันทั่วโลก ) เป็นอะไรที่ทั่วโลกมีปัญหา แล้วช่วงนั้น Boutique ปิดกันเยอะมากเลย เราก็ต้องหยุดส่งออกไป เพิ่งกลับมาส่งออกอีกครั้งในช่วงนี้”
Creative Director ของดิษยาเล่าว่าในช่วงที่ประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ The Great Recession แบรนด์ดิษยาจำต้องหยุดส่งออกไป กระทั่ง เมื่อหลังวิกฤติโควิด-19 หลายประเทศทั่วโลกเริ่มเดินทางได้อีกครั้ง ออม-ดิษยาและครอบครัว จึงตัดสินใจกลับไปที่อังกฤษเป็นแห่งแรก ก่อนจะพบว่า กระแสของแฟชั่นสากลมีทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไป และเอื้อต่อการ Re-branding สู่สากล
“ออมพบว่า แฟชั่นเปลี่ยนไป ของที่ขายในห้างสรรพสินค้า รวมถึงราคา เปลี่ยนไป รู้สึกกระแสเปลี่ยนไป ราคาเสื้อผ้าประมาณเรากำลังมา ออมจึงได้คุยกับเพื่อนที่รู้จักกันมาเป็น 10 ปี เขาทำ PR Agency ที่นั่น เขาก็บอกว่า ช่วงนี้ เป็นช่วงที่เราควรกลับมา ซึ่งเราก็รู้สึกเหมือนกัน เราจึงกลับไปทำส่งออกอีกรอบ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เร็ว เพราะว่าเป็นคอนเนคชั่นเก่าๆ ทั้งนั้นเลย เราก็กลับไปอยู่กับ Agency เดิมที่เคยทำของเรามาก่อน เมื่อเรากลับไปที่อังกฤษ ก็ติดต่อได้เร็ว มี Agent ที่อิตาลีด้วย แล้ว Agent ที่เราเคยอยู่ด้วยที่ญี่ปุ่นก็กลับมา ดังนั้น ตอนนี้ เราจึงมีสามประเทศที่เราไปขาย มีทั้ง Agent ที่อังกฤษ อิตาลี แล้วก็ญี่ปุ่น
ตอนนี้ ออมกลับมาทำส่งออกเป็นคอลเลกชั่นที่ 3 แล้วค่ะ” ออมระบุ
Imaginary Friends กับ Teddy Bear Girl
อีกคำถามสำคัญ ที่ไม่ถามคงไม่ได้ คือขอให้ช่วยเล่าถึงเบื้องหลัง ที่มา แรงบันดาลใจในการทำโปรเจ็กต์จบการศึกษาปริญญาตรีที่ Central Saint Martins ด้วยคอนเซ็ปต์ “Imaginary Friends” ที่ทำให้คุณได้ฉายา Teddy Bear Girl ว่ามีที่มาอย่างไร
ออมบอกเล่าถึงวันวานอย่างอารมณ์ดีว่า “คือตอนนั้นออมไปเที่ยวญี่ปุ่น นั่งรถไฟอยู่ แล้วเห็นผู้หญิงคนนึง เค้าใส่กิโมโน แล้วหัวจรดเท้าเค้าเป็น Hello Kitty แล้วเค้าก็มี Hello Kitty ผูกอยู่ที่ไหล่เค้าด้วย ออมก็มองว่าเค้าแปลกดี เพราะทุกอย่างทั้งตัว เป็น Hello Kitty หมดเลย แล้วปรากฏว่าอีกแป๊บนึง เค้าก็หันไปคุยกับตุ๊กตาตัวนั้น ออมก็เลย ‘อ๋อ มันเป็น Imaginary Friends ของเค้า’ ออมก็เลยรู้สึกว่า Inspire น่าทำเป็นตุ๊กตาที่กลับออกมาเป็นเสื้อผ้าได้ แล้วก็กลับเสื้อผ้าไปเป็นตุ๊กตาได้ ในโชว์ของออม ก็จะเป็นแบบนางแบบ อุ้มตุ๊กตาหมีมาให้เรา แล้วเราก็แกะตุ๊กตาหมีเป็นเสื้อโค้ท เป็นแจ็กเก็ต ใส่กลับไปให้นางแบบ แล้วตอน Finale ก็คือ นางแบบเดินมาเป็นตุ๊กตาหมีเลย คนอยู่ในตุ๊กตาหมี เมื่อเดินออกมาเป็นตุ๊กตาหมีแล้ว เราก็แกะออกมาเป็นชุดใหญ่ๆ กลับไปให้เค้า”
“ตอนนั้น ด้วยความที่ออมคิดเทคนิคว่าจะเล่นกับชุดยังไง คิดกับตัวเองว่า ถ้าเป็น Imaginary Friends ของเรา จะเป็นตุ๊กตาแบบไหน ก็เลยรู้สึกว่า Classic Teddy Bear เป็นตุ๊กตาที่สื่อถึงความอบอุ่นได้ที่สุดแล้ว จึงเป็นที่มาของตุ๊กตาหมี แล้วหลังจากนั้น สื่อที่อังกฤษก็จะเรียกออมว่า Teddy Bear Girl แล้วเมื่อกลับมาที่เมืองไทย ออมก็ทำเสื้อผ้าและสร้อยคอตุ๊กตาหมีที่ขยับได้ ตอนนั้นก็โดน Copy เต็มไปหมดเลย ( หัวเราะ )” ดิษยาบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจกระทั่งเป็นดิษยาในทุกวันนี้ ที่หวนสู่อังกฤษอีกครั้ง
ออมกล่าวว่า “วันนี้ เมื่อกลับมา Re-branding ดิษยาอีกครั้งเมื่อกลับไปทำที่อังกฤษ เราก็ทำงานกับ CLO เป็น Creative agency ที่อังกฤษ แล้วภาพที่เราถ่าย เราก็ทำงานกับ Nicola Neri ( สไตลิสต์ชาวอิตาลีผู้สร้างสรรค์ลุคให้กับแบรนด์ระดับโลกและนิตยสารมากมาย ) และ Daisy Walker ( ช่างภาพและผู้กำกับศิลป์ ชาวอังกฤษผู้มีผลงานกับแบรนด์ดังระดับโลกมากมายเช่นกัน ) สำหรับเดซี่ วอล์คเกอร์ซึ่งเป็นช่างภาพนั้น ตอนที่เราคุยกันว่าจะทำงานกับใคร ปรากฏว่าภาพที่โดนใจเราคือผลงานภาพถ่ายของ เดซี่ วอล์กเกอร์ ทั้งหมดเลยค่ะ จึงเป็นที่มาของการทำงานร่วมกันในครั้งนี้ ทำงานกับทีมที่อังกฤษ เพราะอยากให้ภาพและโลโก้ สัญลักษณ์ต่างๆ เข้าถึงคนที่นั่นด้วย เมื่อออมกลับไปทำงานที่นั่น ก็รู้สึกว่า Energy กลับมา เหมือนสมัยเรียนเลยค่ะ” ดิษยาระบุและบอกเล่าเพิ่มเติมว่า เมื่อเธอกลับมาทำการ Re-branding และส่งออกในครั้งนี้ ทำให้รู้สึกว่า Energy ทุกอย่างกลับมาอีกครั้ง การได้กลับไปทำงานกับทีมงานที่อังกฤษทำให้เธอรู้สึกราวกับได้กลับมาเป็นนักเรียน เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น
“ออมทำงานได้โดยไม่ต้องหลับต้องนอน ทำงานได้แบบไม่มีลิมิต เอาแรงมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วบวกกับว่าความที่เมื่อก่อน ออมเคยทำส่งออกมาอยู่แล้ว เราก็จะรู้ว่า แต่ละที่จะซื้อของไม่เหมือนกัน ไม่ว่ายุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น หรือว่าคนไทย คือจะซื้อของไม่เหมือนกัน ไม่ว่ารูปทรง, Silhouette, Shape, ความชอบ จะไม่เหมือนกัน เราก็จะพอจะกะได้ว่าตลาดนี้ ชอบแบบนี้ ตลาดนู้น ชอบแบบนู้น ซึ่งตอนที่หยุดส่งออกเราก็มุ่งตลาดไทย แต่เมื่อเรากลับมาทำส่งออก Audience เรากว้างขึ้นแล้ว คือเรามีอิสระในการทำงานเยอะขึ้น” ออมบอกเล่าด้วยน้ำเสียงแจ่มใส หากถามว่าคอลเลกชั่นล่าสุด เสียงตอบรับเป็นอย่างไรบ้างทั้งในไทยและต่างประเทศ ออมตอบว่าถือเป็นการตอบรับที่ค่อนข้างดี
Super natural ลึกลับ ลึกซึ้ง น่าค้นหา
ถามว่า มีอะไรที่อยากจะเล่าเกี่ยวกับคอลเลกชั่นล่าสุดนี้บ้างหรือไม่
ออมตอบว่า “คอลเลกชั่นนี้ ออมคิดว่าผู้หญิงที่เราสื่อออกมา เป็นผู้หญิงที่มีความ Super natural นิดๆ แล้วก็มีความลึกลับปนอยู่ในความหวาน เสื้อผ้าก็เป็นการเล่นกับคัตติ้งและแพทเทิร์นที่แยบยล”
ดีไซน์ที่แฝงด้วยความละเอียดลออพิถีพิถันนั้น ออมยกตัวอย่างมาบอกเล่าได้อย่างน่าสนใจ
อาทิ “ในการออกแบบจะมีการตัดต่อ เช่น ระบาย เราก็จะต้องเอากระดาษมารอง แล้วก็เย็บทีละชั้นๆ แล้วก็ค่อยๆ ดึงกระดาษออก แล้วมีการตัดต่อค่อนข้างเยอะ พูดง่ายๆ ว่าการตัดเย็บ ไม่ใช่ง่ายๆ เลยค่ะ เช่น เสื้อตัวเดียว ต้องตัดต่อกับ Net เอาระบายมาต่ออีก กว่าจะได้ตัวนึงเย็บไม่ง่ายเลยค่ะ เป็นงานมือ รวมทั้งพวกของตกแต่ง เช่น บางตัวเป็นผ้าเลื่อมด้านหน้า แต่ด้านหลังมี Net ทับอยู่บนผ้าเลื่อมอีกทีนึง แล้วยังมี Net ติดระบายทีละชั้นอีก ซึ่งเราก็ค่อยๆ ติดทีละชั้นๆ คือปกติเสื้อผ้ามีชั้นเดียว แต่เราเล่นกับ Layer ที่ละเอียดลออ ตัดต่อยาก
“บางชิ้น ก็มี Net มาติดที่กระโปรงข้างล่าง
บางชิ้นของคอลเลกชั่น Summer 2023 มีผ้าชีฟอง ที่ตัดต่อยากอยู่แล้ว เราก็นำมาติดกับ Net อีก มีแบบข้างหน้าเรียบ ข้างหลังเป็นระบายตัดต่อ Net”
“ส่วนชิ้นที่มีตัวดอกไม้ที่เปรียบเหมือน Signature ก็เป็นโครเชต์ถักมือ แล้วนำมาตัดต่อกับผ้า Liberty ค่ะ
สำหรับบางชิ้น ตามตะเข็บ แทนที่จะตัดต่อธรรมดา เราก็ตัดต่อด้วยเทปมุกในทุกตะเข็บ คือ มันจะเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนจริงๆ มีโครเชต์มือและอีกหลากหลายงานมือ เช่น งานเย็บกลับดอกไม้
มีงานโครเชต์ ต่อกับผ้าแก้วสีขาว มีโครเชต์ดอกไม้ แต่มาอยู่กับชุดเดรสสีขาว เป็น Summer dress
คอลเลกชั่นนี้ออมเลือกที่จะเล่นกับงานโครเชต์ เป็นงานมือ
“บางชิ้นมีการตัดต่อแบบสิบกว่าชิ้นกว่าจะเป็นตัวนึง เป็นผ้าพรินท์ แทรกลูกไม้ แล้วตะเข็บก็แทรกลูกไม้เข้าไปด้วย เพราะฉะนั้น ชุดๆ นึง ตัดต่อยาก ต้องตัดต่อทีละชิ้น มีความเป็นผู้หญิงๆ บางครั้งชุดอาจดูเหมือนเดรสทั่วไป แต่การตัดเย็บละเอียดอ่อน เย็บยาก ต้องต่อทีละชิ้น” ออม-ดิษยายกตัวอย่างที่น่าสนใจ
คือเธอที่ ‘ใช่’ ผู้หญิงคนใหม่ของดิษยา
ออมกล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่บอกเล่าไปข้างต้นนั้น ล้วนสะท้อนถึง Direction ในการทำงาน และผู้หญิงดิษยาที่เราพูดถึง อย่างเช่นคอลเลกชั่นล่าสุด ที่มีความลึกลับ Super natural มา Balance กับความหวานได้พอดี
“ออมรู้สึกว่า ‘ใช่’ มากเลย กับผู้หญิงของดิษยาคนนี้ ซึ่งจริงๆ เราก็คุยกับทาง CLO ที่เป็น Creative agency เยอะเหมือนกัน กว่าจะได้ผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา คือเค้าจะคุยกันว่าภาพไหนที่โดน ภาพไหนเป็นภาพที่ ‘ใช่’ ของเรา ต้องดูเยอะ และค่อยๆ คุยกันจนเราได้เป็นผู้หญิงคนนี้ เป็นการพูดคุยกันถึงบุคลิกเลยค่ะ”
ถามว่า คอลเลกชั่นล่าสุดนี้ เสียงตอบรับเป็นยังไงบ้างทั้งในไทย และต่างประเทศ
ออมตอบว่า “เมื่อกลับมาทำส่งออก ออมต้องทำล่วงหน้าเกือบปีเลย พอดีว่า ช่วงนั้น ด้วยสถานการณ์โควิด-19 เราทำขายที่เมืองไทย เราจะทำเสร็จแล้วขายเลย แต่ถ้าทำส่งออกที่เมืองนอก เราต้องทำให้เขาดู โดยทำไปขายล่วงหน้า ช่วงโควิด-19 อาจจะเหมือนว่าเราหยุดไป แต่จริงๆ แล้ว ช่วงนั้น เราไม่ได้หยุดนะคะ เรายังทำ Disaya Vacationist ซึ่งตอนนั้นก็เป็นการเดินทางไปทะเล เป็นเสื้อผ้ารีสอร์ต ซึ่งก็ช่วยเราได้เยอะเลยในช่วงโควิด-19 น่ะนะคะ แล้วเมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้น กลายเป็นว่าที่เมืองไทย เราอาจดูหยุดนิ่งไป เพราะสาเหตุนี้แหละค่ะ คือเราไปทำคอลเลกชั่นส่งออก แล้วก็มี คอลเลกชั่น Summer 2023 ออกมาค่ะ แต่ Disaya Vacationist เราก็ยังไม่หยุด ยังทำต่อ แต่เหมือน Pause ไปแป๊บนึง เพราะเราต้องทำให้ทันเวลาของเมืองนอก อาจต้องหยุดแป๊บนึง” ออมระบุ
ถามว่า คอลเลกชั่นหน้าจะเป็นแบบไหน คิดไว้บ้างหรือยัง
Creative Direrctor ดิษยาเน้นย้ำว่า “คอลเลกชั่นหน้าก็ยังเป็นผู้หญิงคนนี้ เป็นผู้หญิงคนใหม่ของดิษยาคนนี้ เค้าไม่ได้เปลี่ยนจากคนเดิมคนนี้ไปเลย เพียงแต่จะมีความคิดที่ลึกซึ้งขึ้น น่าค้นหามากขึ้นค่ะ”
คือนิยาม คำจำกัดความที่บ่งบอกถึงสไตล์อันโดดเด่นของ ‘ผู้หญิงดิษยา’ ที่พร้อมก้าวสู่สากลอย่างมั่นใจด้วยอัตลักษณ์เฉพาะตัว
…………..
Text by : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล