xs
xsm
sm
md
lg

เมื่ออธิบดีกรมโรงงานฯ “จุลพงษ์ ทวีศรี” ออกมาตรการหยุด “ขบวนการลักลอบทิ้งของเสียอันตราย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รายงานพิเศษ

ปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตรายจากกลุ่มโรงงานรับกำจัดของเสีย โดยเฉพาะโรงงานรีไซเคิล กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เริ่มลุกลามไปสร้างความเสียหายต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างมากในหลายพื้นที่

หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงกับปัญหานี้ ก็คือ “กรมโรงงานอุตสาหกรรม” เพราะเป็นหน่วยงานเดียวที่มีอำนาจตั้งแต่การออกใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน ไปจนถึงการควบคุม กำกับดูแล ตรวจสอบให้ประกอบกิจการอย่างถูกต้อง และยังเป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่มีอำนาจในการสั่งลงโทษโรงงานที่กระทำความผิดด้วย ดังนั้นเมื่อเกิดการลักลอบทิ้งหรือมีของเสียอันตรายรั่วไหลมาก่อความเดือดร้อน ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา กรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงเป็นหน่วยงานที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกตั้งคำถามจากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุดว่า “ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อปกป้องประชาชนมากพอแล้วหรือไม่ เพราะประชาชนมักจะเกิดความรู้สึกว่า เจ้าหน้าที่มักจะแสดงบทบาทในการปกป้องโรงงานมากกว่า”

ในขณะที่ปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตรายยังลุกลามบานปลาย โรงงานกลุ่มนี้ ถูกชาวบ้านรวมตัวกันฟ้องร้องและแพ้คดีที่ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี และ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ส่วนโรงงานที่เป็นจุดลักลอบทิ้งใหญ่ที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ก็อยู่ระหว่างการถูกฟ้องร้องจากทั้งชาวบ้านในพื้นที่และกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งทำให้เห็นว่า ปัญหาทั้งหมดต้องไปแก้ไขกันในชั้นศาล โดยประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้ทางกฎหมายด้วยตัวเองผ่านความช่วยเหลือขององค์กรพัฒนาเอกชน นั่นยิ่งทำให้มีคำถามต่อบทบาทหน้าที่ของ “กรมโรงงานอุตสาหกรรม” มากขึ้นไปอีก

และดูเหมือนว่า “กรมโรงงานอุตสาหกรรม” จะขยับตัวครั้งสำคัญเพื่อตอบโต้ปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตรายแล้วเช่นกัน เมื่อ “นายจุลพงษ์ ทวีศรี” เข้ามาดำรงตำแหน่งอธิบดี

ซึ่งอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยเป็นครั้งแรกถึง “ยุทธศาสตร์และวิธีการ” ที่จะหยุดยั้งขบวนการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตราย ในระยะยาว

นี่อาจเป็นครั้งแรก ที่กรมโรงงานฯ ออกมาลุยกับ “กลุ่มกิจการรีไซเคิลแย่ๆ บางโรงงาน” อย่างเต็มตัว

จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม

อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์

อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
ประเด็นที่ 1 - กลับไปยึดหลัก “ผู้ก่อมลพิษ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” 

“กลุ่มโรงงานที่มีบทบาทเป็นผู้รับกำจัดหรือบำบัดของเสีย (Waste Processor) คือ ลำดับที่ 101 (รับกำจัดของเสียอันตราย) 105 (คัดแยก ฝังกลบของเสียไม่อันตราย) และ 106 (รีไซเคิล) มีใบอนุญาตรวมกันอยู่ที่ประมาณกว่า 2000 แห่ง ซึ่งกลายเป็นทางเลือกจำนวนมากให้โรงงานที่เป็นต้นกำเนิดของเสีย (Waste Generator) เลือกในการส่งของเสียในกำจัด ... 


แต่ปัญหา คือ กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องเลือกใครให้เป็นผู้รับกำจัด ในเมื่อ 101 105 106 เหล่านั้นต่างก็มีใบอนุญาตถูกต้องจากกระทรวงอุตสาหกรรม โรงงานที่เป็นต้นกำเนิดของเสียก็สามารถเลือกให้ใครนำของเสียไปกำจัดก็ได้ จนทำให้เกิด “ขบวนการตัดราคา” จากโรงงานรับกำจัดของเสีย โดยเสนอรับของเสียไปกำจัดในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมากๆ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่สามารถกำจัดได้จริงในราคาที่เสนอมา จึงต้องนำไปลักลอบทิ้ง” 


อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม อธิบายปรากฎการณ์แรกๆที่ทำให้เกิดขบวนการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตรายขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ประมาณปี 2556 ที่เริ่มพบการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตรายตามที่ต่างๆ และพบสาเหตุว่า เกิดจากการ “ตัดราคาค่ากำจัดของเสียอันตราย” จากกลุ่มโรงงานรีไซเคิล ที่มีใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงนั้น โดยราคารับกำจัดที่ถูกเสนอไปให้โรงงานต้นทาง เป็นราคาที่ทุกฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แล้ว ไม่สามารถกำจัดได้จริง ทำให้มีกากของเสียอันตรายหายออกไปจากระบบการกำจัดเป็นจำนวนนับล้านตันต่อปี 

“ถ้าไปถามว่า โรงงานต้นทางที่เป็นผู้ก่อกำเนิดของเสียรู้มั้ยว่า ราคาที่จ่ายไป ไม่สามารถกำจัดของเสียนั้นได้จริง เขาก็จะตอบว่า ก็ส่งของเสียออกไปอย่างถูกต้องแล้ว มีผู้รับไปกำจัดที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรมเอง 


และที่สำคัญคือ กฎหมายระบุว่า เมื่อโรงงานต้นทางส่งของเสียอันตรายออกไปยังโรงงานรับกำจัดแล้ว โรงงานต้นทางก็จะ “หมดความรับผิดชอบ” ต่อของเสียนั้นทันที ไม่ว่าจะไปถูกทิ้งอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีความผิดอีกแล้ว นั่นจึงเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไขก่อน” 


นั่นเป็นสิ่งแรกที่ กรมโรงงานฯ ซึ่งมีนายจุลพงษ์ เป็นอธิบดี ได้ดำเนินการแก้ไข คือการแก้ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม โดยออกประกาศใหม่ก่อนที่รัฐมนตรีฯอุตสากรรมจะลาออกเพียง 1 วัน คือ การยึดหลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” ดังนั้น ประกาศฉบับนี้ จึงมีผลทำให้ “โรงงานต้นทางที่เป็นผู้ก่อของเสีย (Waste Generator) จะยังไม่หมดความรับผิดชอบทางกฎหมาย หากไปพบว่าของเสียอันตรายที่มาจากโรงงานเหล่านั้น ถูกนำไปลักลอบทิ้ง” 

“เดิมทีความรับผิดชอบของโรงงานต้นทางถูกตัดตอนไปครับ เมื่อเราออกประกาศให้เขายังคงต้องมีความรับผิดชอบอยู่หากของเสียที่มาจากเขาไปพบถูกลักลอบทิ้ง หลังจากนี้โรงงานต้นทางทั้งหลายก็จะต้องเลือกผู้ประกอบการที่ดีในการรับไปกำจัด คงไม่สามารถเลือกส่งให้ผู้ประกอบการที่ตัดราคาแต่กำจัดไม่ได้จริงอีกแล้ว เพราะตัวเองจะมีความผิดไปด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วเรามีโรงงานรับกำจัดหรือบำบัดของเสียที่ดี ทำถูกต้องตามกฎหมายอยู่เยอะมาก แต่มักไม่ค่อยถูกเลือก เพราะสู้ราคากับกลุ่มที่เอาไปลักลอบทิ้งไม่ได้”
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าว

อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์

อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์

อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
ประเด็นที่ 2 – ต้องช่วยผู้ได้รับผลกระทบให้เร็วขึ้น
 
“อย่างปัญหาจากโรงงานแว็กซ์ กาเบ็จ ที่ จ.ราชบุรี มันเกิดผลกระทบมา 20 ปีแล้ว แม้ทางภาครัฐจะสั่งให้โรงงานนำของเสียอันตรายไปกำจัดอย่างถูกต้อง และฟื้นฟูสภาพพื้นที่ให้กลับเป็นเหมือนเดิม แต่เขาก็ไม่ทำ อ้างว่า ไม่มีเงิน” 


ปัญหาเร่งด่วนที่เห็นได้ชัดเจน มีตัวอย่างเกิดขึ้นที่ จ.ราชบุรี ซึ่งแม้ว่า ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจะรวมตัวกันฟ้องร้องแบบกลุ่มจนเป็นคดีทางสิ่งแวดล้อมคดีแรกในประเทศไทย แต่แม้จะมีคำพิพากษามานานแล้ว ผู้เสียหายก็ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากชัยชนะนั้น ที่สำคัญคือ ของเสียอันตรายส่วนใหญ่ยังไม่ถูกนำไปกำจัด ยังมีผลกระทบต่อเนื่องจากแหล่งน้ำใต้ดินเพราะมีของเสียอันตรทยจำนวนมากถูกฝังกลบอยู่ในที่ดินของโรงงาน 

นี่เป็นประเด็นที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม บอกว่า ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยหากนับเฉพาะในกรณีนี้ ทางกรมโรงงานฯ ได้ไปขออนุมัติ “งบกลาง” จากคณะรัฐมนตรี เป็นเงิน 100 ล้านบาท มากำจัดของเสียอันตรายที่ถูกทิ้งไว้และช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมบางส่วนไปก่อนเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหาย จากนั้นจึงค่อยไปดำเนินการบังคับคดีเรียกเงินคืนจากโรงงานในภายหลัง เพราะหากรอให้โรงงานดำเนินการเองตามคำสั่งศาล โรงงานจะยื้อเวลาไปเรื่อยๆ ซึ่งหมายความว่า ผู้เสียหายจะยังคงได้รับผลกระทบต่อไป 

“แต่วิธีการนี้ ก็ยังไม่ใช่คำตอบครับ เพราะยังมีหลายพื้นที่ที่เจอปัญหาแบบเดียวกัน เราคงจะไปของบกลางจากรัฐบาลมาฟื้นฟูทุกครั้งคงไม่ได้ ดังนั้นเราจึงเตรียมจะเสนอแก้ไข พ.ร.บ.โรงงานอุตสาหกรรม ทันทีที่มีสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ โดยจะเสนอให้ตั้ง “กองทุนฟื้นฟูผลกระทบจากอุตสาหกรรม” เพื่อให้มีเงินมาดำเนินการช่วยผู้เดือดร้อนก่อน และในกฎหมายใหม่ที่จะแก้ไข อาจกำหนดให้โรงงานที่จะเป็นผู้ก่อมลพิษต้องวางเงินเป็นหลักประกันล่วงหน้าในระหว่างประกอบกิจการด้วย เมื่อก่อมลพิษขึ้น ก็จะมีเงินมาดำเนินการแก้ไขได้เร็วขึ้น”
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผย

อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ยังระบุว่า “อายุความและบทลงโทษ” ในคดีแบบนี้ เป็นหนึ่งในข้อกฎหมายที่ต้องเสนอแก้ไขทันทีด้วย เพราะไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง โดยในกฎหมายปัจจุบัน การลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมมีบทลงโทษเพียงโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และมีอายุความเพียง 1 ปีเท่านั้น ดังนั้นจะเสนอให้เพิ่มบทลงโทษเป็นโทษจำคุก 1 ปี และจะแก้ให้คดีมีอายุความเพิ่มเป็น 10 ปี

จ.ราชบุรี

จ.ราชบุรี

จ.ราชบุรี
ประเด็นที่ 3 - แก้กฎหมาย “นิยาม” ความเป็นโรงงาน 

“ทำไมไม่สั่งปิดโรงงานที่ทำผิดกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน” 


อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ยอมรับว่า เป็นคำถามที่ถูกถามถึงบ่อยที่สุดเมื่อเจอโรงงานที่ถูกร้องเรียนและพบหลักฐานว่ากระทำผิดจริง พร้อมระบุว่า นั่นเป็นปัญหาที่เกิดจากข้อจำกัดทางกฎหมาย ซึ่งทำให้ เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรม เลือกที่จะสั่งให้โรงงานปิดปรับปรุงชั่วคราวเท่านั้น 

“เครื่องมือทางกฎหมายประเภท ยาแรง ที่เจ้าหน้าที่มีในขณะนี้ มาตรา 39 วรรค 3 ตาม พ.ร.บ.โรงงาน นั่นคือ การสั่งให้หยุดประกอบกิจการ และเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ซึ่งมีคำถามมากมายว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ของเรามักจะไม่เลือกใช้วิธีนี้ นั่นเป็นเพราะเมื่อเราเพิกถอนใบอนุญาตไปแล้ว ความเป็นโรงงานจะหมดไป และกลายเป็นว่า เราไม่มีอำนาจที่ตจะเข้าไปทำอะไรหลังจากนั้น


มีบางรายนะครับ พอมีปัญหา ถูกจับได้ มาขอเลิกประกอบกิจการเองเลย เพราะเขารู้ว่า นั่นเป็นจุดอ่อนของเรา ที่เราไม่มีอำนาจไปทำอะไรเขาต่อได้เมื่อเขาไม่มีสถานะความเป็นโรงงานอีกแล้ว” 

ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อกฎหมายอีกหนึ่งประเด็นที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เห็นว่า จะต้องเร่งแก้ไข คือ เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายมาตรา 39 สั่งให้โรงงานหยุดประกอบกิจการแล้ว จะยังต้องคงสถานะความเป็นโรงงานอยู่ต่อไป เพื่อให้ดำเนินการด้านอื่นๆต่อไปได้อีก โดยที่สามารถสั่งให้โรงงานหยุดไปได้ด้วยพร้อมๆกัน

จ.ราชบุรี

จ.ราชบุรี

จ.ราชบุรี
ในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ ผู้เขียนพบว่า ยังมีหลายโรงงานที่แท้จริงแล้วไม่มีคุณสมบัติความเป็นโรงงานตั้งแต่ต้น แต่กลับมีใบอนุญาตประกอบกิจการ เช่น โรงงาน วิน โพรเสส อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งมีใบอนุญาตประกอบกิจการลำดับที่ 40 (อัดเศษกระดาษ) และ 60 (หล่อหลอมโลหะ) แต่ในโรงงานไม่มีเครื่องจักรแม้แต่ชิ้นเดียว มีเพียงโรงเรือนและบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยถังสารเคมีอันตรายจำนวนนับไม่ถ้วนถูกวางทิ้งอยู่ภายในทั้งที่ไม่ควรมีของเสียเหล่านี้หากดูตามใบอนุญาต แต่เมื่อโรงงานนี้ถูกเข้าตรวจสอบเมื่อปี 2563 ในช่วงแรก เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ก็เพียงสั่ง “ปิดปรับปรุง”ท่ามกลางคำถามของชุมชนว่า “จะปรับปรุงอย่างไร ในเมื่อในโรงงาน ไม่มีเครื่องจักรแม้แต่ชิ้นเดียว” และในท้ายที่สุด เจ้าของโรงงานแห่งนี้ก็ประกาศปิดกิจการไปเอง

จ.ระยอง

จ.ระยอง

จ.ระยอง
ประเด็นที่ 4 - ปรับโครงสร้างกรมโรงงานฯ เพิ่มกระบวนการตรวจสอบ-ถ่วงดุล 

“ไม่เชื่อใจอุตสาหกรรมจังหวัด ... อุตสาหกรรมจังหวัดปกป้องโรงงานมากกว่าชาวบ้าน ... เขาเป็นพวกเดียวกับโรงงานหรือเปล่า” 


ข้อความเหล่านี้ เป็นข้อความที่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากกากของเสียอันตรายทุกพื้นที่พูดตรงกัน 

จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “อุตสาหกรรมจังหวัด” ในทุกพื้นที่ที่เกิดปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตราย ไม่ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มผู้ได้รับกระทบ เพราะสิ่งที่ประชาชนสัมผัสได้มาตลอด คือ ปัญหามักจะถูกปล่อยไว้จนยืดเยื้อยาวนานและส่งผลกระทบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่โรงงานก็ยังม่ต้องรับผิด จนท้ายที่สุด “ประชาชน” ต้องไปพึ่งพาองค์กรพัฒนาเอกชน และดำเนินการทางกฎหมายกันด้วยตัวเอง 

นี่เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญอย่างมาก ถึงแม้จะอธิบายเหตุผลประกอบโดยขอให้ทุกฝ่ายทำความเข้าใจเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยว่า ต้องทำงานอยู่ในกรอบของกฎหมายเท่านั้น จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วอย่างที่ผู้เดือดร้อนต้องการ แต่ในเมื่อปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น จึงจะดำเนินการปรับโครงสร้างภายในกรมโรงงานฯให้มีเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางไปร่วมตรวจสอบในพื้นที่ที่เกิดปัญหาด้วยทุกครั้งจากนี้ไป 

“กฎหมายปัจจุบัน การอนุญาตจัดตั้งโรงงานถ้ามีขนาดน้อยกว่า 500 แรงม้า ทางอุตสาหกรรมจังหวัด มีอำนาจอนุญาตได้เลย แต่ถ้าเกิน 500 แรงม้า เป็นอำนาจของกรมโรงงานฯในการออกใบอนุญาต รวมถึงโรงงงานกลุ่ม 101 105 106 ด้วย นั่นหมายความว่า หากโรงงานที่ก่อปัญหา เป็นโรงงานขนาดน้อยกกว่า 500 แรงม้า คนอนุญาตกับคนที่ลงไปตรวจสอบ จะเป็นคนเดียวกันนั่น คือ อุตสาหกรรมจังหวัด 


ผมก็เห็นปัญหานี้ว่า มันจะเกิดความไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นจากนี้ไปเราจะส่งเจ้าหน้าที่จากกรมโรงงานฯลงไปในพื้นที่ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่ามีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างเจ้าหน้าที่กันเอง เราจึงจะปรับโครงสร้างภายใน โดยเอา “กอง” ที่ทำงานทางวิชาการอยู่แล้ว 4 กอง ไปทำหน้าที่เป็นกองกำกับการตรวจโรงงานด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือแล้ว ยังเชื่อว่าจะช่วยหยุดยั้งการข่มขู่เจ้าหน้าที่ลงไปได้ด้วย เพราะเจ้าของโรงงานเหล่านี้บางกลุ่มก็เป็นผู้มีอิทธิพล”
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย

จ.ระยอง

จ.ระยอง

จ.ระยอง
ปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตรายในประเทศไทย เป็นปัญหาเรื้อรังที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆมากว่า 10 ปีแล้ว โดยที่ผ่านมาแม้จะมีหลายองค์กรภาคเอกชน เข้ามาให้ความสำคัญและชี้ให้เห็นปัญหานี้มาอย่างยาวนาน แต่ก็เป็นประเด็นที่ถูกมองข้ามจากรัฐมาโดยตลอด ปัญหาจึงไม่เคยถูกแก้อย่างจริงจัง 

4 ประเด็นที่ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม จุลพงษ์ ทวีศรี ได้ดำเนินการและกำลังจะดำเนินการ จึงอาจเป็นครั้งแรกที่กรมโรงงานฯ เข้าไปปฏิบัติการกับปัญหาในเชิงระบบ กฎหมาย และโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงลงพื้นที่และออกมาประกาศสั่งปรับปรุงโรงงานอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น 

นี่จึงเป็นปรากฎการณ์สำคัญที่คนในวงการ “กำจัดกากอุตสาหกรรม” ล้วนจับตามอง เพราะนอกจากจะเห็นความพยายามใหม่ๆแล้ว ยังน่าสนใจด้วยว่า จะสามารถกำจัด “กลุ่มธุรกิจแย่ๆ” ออกไปจากวงการนี้ได้จริงๆ หรือไม่ 

เพราะคนกลุ่มนี้ ร่ำรวยจากการแสวงหาผลประโยชน์จากกากอุตสาหกรรม เหยียบย่ำกองเงินอยู่บนความทุกข์ระทมของชาวบ้าน มานานมากเกินไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น