xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 23-29 เม.ย.2566

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.“แอม ไซยาไนด์” นอนคุก หลังถูกรวบ-ฝากขังค้านประกันคดีวางยาฆ่าล้างหนี้-ชิงทรัพย์ พบเหยื่อพุ่งเกือบ 20 ศพ!

ข่าวที่สังคมให้ความสนใจอย่างมากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ข่าว "แอม" ที่ตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าเหยื่อด้วยการวางยาพิษ สาร "ไซยาไนด์" เพื่อล้างหนี้และชิงทรัพย์ โดยพบว่า มีผู้เสียชีวิต 10 กว่าราย ที่มีลักษณะการตายคล้ายกับเหยื่อคนล่าสุด และทุกราย ญาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้เสียชีวิตรู้จักกับแอม

โดยเมื่อวันที่ 25 เม.ย. พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.มนตรี เทศขันธ์ ผบก.ป.นำกำลังจับกุมนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พร้อมของกลาง ขวดไซยาไนด์ โดยจับกุมได้ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กทม.

ทั้งนี้ การจับกุมนางสรารัตน์ หรือแอม เกิดขึ้นหลังจาก น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือก้อย อายุ 32 ปี เท้าแชร์ ชาว จ.กาญจนบุรี เกิดวูบหมดสติเสียชีวิตเป็นปริศนาขณะเดินทางไปทำบุญปล่อยปลากับนางแอมที่ท่าน้ำแม่น้ำแม่กลอง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี แม้เบื้องต้น นางแอมจะไม่ยอมรับกับญาติ น.ส.ก้อย ว่า อยู่กับก้อยก่อนเสียชีวิต แต่สุดท้าย จนมุมด้วยหลักฐานจากกล้องวงจรปิดบริเวณท่าน้ำจุดเกิดเหตุ

ขณะที่สังคมและญาติ น.ส.ก้อย ต่างคาใจในเหตุผลที่นางแอมถูกตั้งคำถามว่า เหตุใดเมื่อ น.ส.ก้อย วูบหมดสติ จึงไม่อยู่ช่วยเหลือ ซึ่งนางแอมอ้างว่า รีบไปเข้าห้องน้ำบ้าง รีบไปทำธุระบ้าง ส่วนกรณีที่นางแอมนำมือถือของ น.ส.ก้อย ไป ก็อ้างว่า จะเอาไปซ่อม ส่วนรถของ น.ส.ก้อย พบว่า จอดอยู่แถวบ้านตำรวจนายหนึ่ง ซึ่งรู้จักกับแอม ก่อนมีการเปลี่ยนใช้รถแอมพาก้อยไปยังท่าน้ำ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ของ น.ส.ก้อย ที่หายไป นางแอมอ้างว่า น.ส.ก้อยเอาไปฝากไว้บ้านเพื่อนริมทาง ซึ่งเหตุผลต่างๆ ดูมีพิรุธ

กระทั่งนางทองพิน เกียรติชนะสิริ อายุ 63 ปี น.ส.นิภาวรรณ ขันวงษ์ อายุ 35 ปี มารดา และพี่สาวของ น.ส.ก้อย เข้าร้องทุกข์ต่อตำรวจกองปราบ ให้ช่วยตรวจสอบความผิดปกติเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.ก้อย พร้อมเชื่อว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรม โดยมีนางแอม ภรรยาของตำรวจระดับรอง ผกก. ใน จ.ราชบุรี เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายดังกล่าว ซึ่งต่อมา มีการตรวจสอบพบว่า ในร่างกายของ น.ส.ก้อย มีสารไซยาไนด์ นอกจากนี้ตำรวจยังตรวจพบสารไซยาไนด์ที่รถของนางแอม บริเวณคอนโซลรถฝั่งคนขับ ไม่เท่านั้น จากการตรวจค้นบ้านพักนางแอม ก็พบสารไซยาไนด์เช่นกัน

ทั้งนี้ วันเดียวกัน (25 เม.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เรียกตำรวจภูธรภาค 7 ตำรวจกองปราบและตำรวจท้องที่ ตรวจสอบหลักฐานทั้งหมด หาความเชื่อมโยงทางคดีและหาหลักฐานการกระทำผิด โดยพบว่า มีผู้เสียหายเข้าร้องเรียนว่าถูกนางแอม ผู้ต้องหา ก่อเหตุฆาตกรรมในพื้นที่ จ.นครปฐม กาญจนบุรี และราชบุรี หลายราย โดยตำรวจได้เชิญญาติผู้เสียชีวิต 6 คดี มาสอบถามข้อมูล ขณะที่ผู้ต้องหาให้การปฎิเสธ แต่ตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐาน กระทั่งศาลอนุมัติหมายจับ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กังวลว่าช่วงเวลาเกิดเหตุ บางคดีผ่านมา 1-2 ปีแล้ว อาจทำให้พยานหลักฐานหายไป จึงต้องเร่งรวบรวมหลักฐานให้ครอบคลุม แม้คดีจะไม่ซับซ้อน เบื้องต้นเชื่อว่า ผู้ต้องหาก่อเหตุเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ และเลือกกลุ่มผู้เสียหายที่เป็นบุคคลใกล้ชิดที่อาศัยอยู่ในแฟลตตำรวจ ไม่ไกลจากที่พัก ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบบุคคลอื่นมีส่วนร่วมกระทำความผิด

ส่วนตำรวจระดับรอง ผกก.ที่ จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นสามีของผู้ต้องหานั้น อาจต้องเรียกสอบสวนว่า มีส่วนเกี่ยวข้องหรือให้การช่วยเหลือหรือไม่ ส่วนสารไซยาไนด์ที่พบในบ้านผู้ต้องหา จะเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ และหาแหล่งที่มาว่าซื้อมาจากที่ใด เพื่อประกอบสำนวนอย่างรัดกุมในทุกคดีที่ผู้ต้องหาก่อเหตุ ซึ่งภายหลังพบว่า ผู้ต้องหาสั่งสารไซยาไนด์ผ่านช่องทางออนไลน์

มีรายงานว่า จากการสอบสวนรอง ผกก. สามีนางแอม ทราบว่า ทั้งสองเพิ่งจะแยกทางกันตั้งแต่ปี 2565 แต่ยังไปมาหาสู่กันบ้าง เพราะมีบุตรร่วมกันสองคน นอกจากนี้ยังทราบด้วยว่า ผู้ต้องหาไม่ได้ทำงานอะไรเป็นหลักแหล่ง แต่มีเงินใช้ตลอด ซึ่งทางสามีของผู้ต้องหาก็ไม่ทราบว่าไปเอาเงินมาจากไหน แต่ก่อนหน้าที่จะเลิกกัน ผู้ต้องหายังได้ให้อดีตสามีไปขอกู้เงินสวัสดิการมาให้สองครั้ง รวมแล้วเป็นเงินกว่า 2 ล้านบาท หลังจากนั้น ก็เลิกลากันไป ปล่อยภาระให้อดีตสามีเป็นผู้รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ชุดคลี่คลายคดีเตรียมเรียกรอง ผกก.อดีตสามีนางแอมมาสอบซ้ำอีกรอบ

ทั้งนี้ หลังจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนใน 5 พื้นเกิดเหตุ ทั้งกาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี อุดรธานี และราชบุรี เข้ามารายงานข้อมูลแล้ว แนวทางสืบสวนพบว่า มีผู้เสียชีวิตนับสิบราย ที่ญาติสงสัยว่า เกี่ยวพันกับนางแอมหรือไม่ เพราะลักษณะการเสียชีวิตคล้ายกับ น.ส.ก้อย โดยผู้เสียชีวิตรายแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2563 ไล่เรียงมาถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย

1.วันที่ 13 ธันวาคม 2563 ชื่อ ฟ้า สถานที่ บ้านพักจังหวัดนครปฐม 2.วันที่ 16 มกราคม 2564 ชื่อ สุรัตน์ ทรพับ หรือ บี สถานที่ บ้านพักที่ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 3.วันที่ 10 สิงหาคม 2665 ชื่อ ร.ต.อ. หญิงกานดา โตไร่ หรือ ผู้กองนุ้ย สถานที่ หน้าห้างโกลบอล จังหวัดนครปฐม 4.วันที่ 15 ส.ค.2565 นางจันทรัตน์ วงศ์ไกรสิน เสียชีวิตโรงพยาบาลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 5.วันที่ 12 กันยายน 2565 ชื่อ น.ส.กะณิกา ตุลาเดชารักษ์ หรือ เอ๊ะ สถานที่ ปั๊ม ปตท. บริเวณวงเวียน โพธาราม จังหวัดราชบุรี 6.วันที่ 12 มีนาคม 2566 ชื่อ สุทธิศักดิ์ พูนขวัญ หรือ แด้ สามีนางแอม สถานที่ บ้านพัก จังหวัดอุดรธานี 7.วันที่ 1 เมษายน 2566 ชื่อ พ.ต.ต. หญิง นิภา แสนจันทร์ หรือ สารวัตรปู สถานที่ องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม 8.วันที่ 14 เมษายน 2566 ชื่อ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย สถานที่ ท่าน้ำบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี

ทั้งนี้ จากการสอบปากคำ ด.ต.นิติพนธ์ นุชิต อายุ 41 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บช.สตม. หรือนายต้า สามีของ น.ส.สาวิตรี บุตรศรีรักษ์ หรือหนิม เหยื่อที่พบเสียชีวิตในพื้นที่ จ.มุกดาหาร ทราบว่า น.ส.หนิม เริ่มรู้จักกับนางแอม ผู้ต้องหา จากการลงทุนแชร์ สอดคล้องกับข้อมูลการติดต่อของนางแอมกับ น.ส.หนิม ช่วงก่อนเสียชีวิต ซึ่งนางแอมส่งของมาให้ อ้างเป็นยาลดน้ำหนักชนิดแคปซูล เพราะเห็นว่า น.ส.หนิม เพิ่งคลอดลูก แต่ครั้งแรกที่ส่งมา ไม่สามารถรับประทานได้ เนื่องจากแคปซูลยาละลาย ก่อนจะมีการส่งซ้ำมาให้ใหม่อีกครั้ง กระทั่งมีการรับประทานและเสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อวันที่ 25 พ.ย.2565 ซึ่งมูลเหตุของคดีนี้ เจ้าหน้าที่มุ่งไปที่การฆ่าล้างหนี้ เนื่องจากนางแอมติดหนี้ น.ส.หนิม เป็นเงินหลักแสนบาท สอดคล้องกับพฤติกรรมคดีอื่นๆ ที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ผู้ที่เป็นเจ้าหนี้ของนางแอม มักจะเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน

ล่าสุด (29 เม.ย.) พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เผยความคืบหน้าคดีที่เกี่ยวข้องกับนางแอมและมีผู้เสียชีวิตหลายคนว่า ขณะนี้มีครอบครัวผู้เสียชีวิตร้องเรียนเข้ามาถึง 18 คน แต่การสืบสวนของตำรวจ มีเพียง 14 คน ที่สามารถนำมาประกอบสำนวนได้ ส่วนที่เหลือยังอยู่ระหว่างการสอบถามข้อมูลหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมว่า มีพฤติกรรมที่สามารถเข้าข่ายตกเป็นเหยื่อผู้เสียหายได้หรือไม่ ยอมรับว่า ขณะนี้แนวทางการสืบสวนเป็นไปในทิศทางที่ดี และคดีมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่นางแอม ผู้ต้องหาซึ่งตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน ถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง หลังพนักงานสอบสวนยื่นศาลขอฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัว หวั่นข่มขู่พยาน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีญาติเดินทางเข้าเยี่ยมนางแอมแต่อย่างใด

2.ศาลฎีกา พิพากษายืนประหารชีวิต “อดีต ผอ.กอล์ฟ” ฆ่า 3 ศพ ชิงทองห้างดังลพบุรี ไม่ลดโทษ เหตุพฤติการณ์อุกอาจ โหดเหี้ยมผิดมนุษย์!


เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีฆ่าชิงทองภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ลพบุรี ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 6 เเละบริษัท ออโรร่า ดีไซน์ พร้อมด้วยผู้เสียหายรวม 10 ราย เป็นโจทก์ร่วมยื่นฟ้องนายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือกอล์ฟ อายุ 39 ปี อดีต ผอ.โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสิงห์บุรี เป็นจำเลย

ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดฯ, พยายามฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้อาวุธปืน และใช้ยานพาหนะ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายสาหัส, ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิด โดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน, พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย โดยไม่มีเหตุสมควร และโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว

มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต, มีและใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้, ใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฐานชิงทรัพย์ และมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต รวม 9 ข้อหา ซึ่งจำเลยให้การภาคเสธ และถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง

คดีนี้ อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2563 ระบุพฤติการณ์ความผิดว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2563 จำเลย ซึ่งมีอาวุธปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. ติดท่อเก็บเสียง 1 อัน ซองกระสุนปืนพร้อมเครื่องกระสุน ได้นำอาวุธ พร้อมเครื่องกระสุนเข้าไปภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาลพบุรี แล้วยิงนายธีระฉัตร นิ่มมา พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของห้าง รวมทั้งประทุษร้ายบุคคลทั่วไป จนเป็นเหตุให้ ด.ช.ภาณุวิชญ์ วงศ์อยู่ และ น.ส.ธิดารัตน์ ทองทิพย์ พนักงานร้านทองออโรร่า ถึงแก่ความตาย และจำเลยยังได้ยิงบุคคลอื่นอีก 4 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนชิงเอาสร้อยคอทองคำ น้ำหนักเส้นละ 1 บาท 22 เส้น น้ำหนักเส้นละ 2 สลึง อีก 11 เส้น รวม 33 เส้น เป็นเงินทั้งสิ้น 664,470 บาท ของบริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ก่อนขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป

ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2563 ว่า จำเลยมีความผิดต่างกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน, ฐานมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน, ฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควร จำคุก 3 ปี, ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการหรือเพิ่มความสะดวกในการจะกระทำผิดให้ประหารชีวิต, ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต, ฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีและใช้อาวุธปืน และโดยใช้ยานพาหนะ ให้ประหารชีวิต และปรับ 1,000 บาท ฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จึงลงโทษบทหนักสุดให้ประหารชีวิต และปรับ 1,000 บาท ริบของกลาง พร้อมสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย

ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2564 ให้ประหารชีวิต โดยเห็นว่า แม้จำเลยได้พยายามบรรเทาผลร้ายด้วยการมอบเงินชดใช้ให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายจากคดีนี้ แต่พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการกระทำโดยทารุณโหดร้าย ขัดต่อหลักความสงบและไร้มนุษยธรรม อีกทั้งเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลล่างพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลย ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น หลังจากนั้น จำเลยยื่นฎีกาขอให้ลดโทษ

เมื่อถึงกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลได้เบิกตัวจำเลยมาจากเรือนจำกลางบางขวาง อย่างไรก็ตาม ก่อนอ่านคำพิพากษา นายประสิทธิชัย มีโอกาสพูดคุยกับบิดามารดาสั้นๆ โดยบ่นว่า แว่นสายตาที่ใช้อยู่ สภาพไม่ทนทาน อยากเปลี่ยนแว่นใหม่ โดยผู้สื่อข่าวถามว่า ในเรือนจำทำอะไรบ้าง นายประสิทธิชัย กล่าวว่า สอนหนังสือให้เด็ก

ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้ว เห็นว่า จำเลยฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ขอให้ลดโทษ โดยอ้างเหตุผลประกอบ ศาลเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยกระทำอย่างอุกอาจในห้างสรรพสินค้าอันเป็นที่สาธารณะ กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ มีคนตายบาดเจ็บหลายคน รวมถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย อันเป็นพฤติการณ์อุกอาจ โหดเหี้ยม อันตรายร้ายแรงผิดมนุษย์ จำเลยเป็นถึง ผอ.โรงเรียน ควรมีจิตสำนึกที่ดี ให้สมกับมีอาชีพเป็นครู ควรประพฤติตัวให้เป็นเยี่ยงอย่าง กลับกระทำอย่างอุกฉกรรจ์ ที่จำเลยขอปรานีให้ลดโทษจึงไม่มีเหตุสมควร ที่สั่งลงโทษประหารชีวิต ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน

3. ศาลฎีกานักการเมือง พิพากษาจำคุก “อนุรักษ์" อดีต ส.ส.เพื่อไทย 6 ปี เรียกรับเงินอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำฯ 5 ล้าน!



เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อ่านคำพิพากษา คดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย

โดยโจทก์ยื่นฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยดำรงตำแหน่ง ส.ส., กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2 ในคณะ กมธ.วิสามัญดังกล่าว วันที่ 4 ส.ค.2563 จำเลยได้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 5 ล้านบาท ขณะที่จำเลยให้การปฏิเสธ

ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า โจทก์มีนายศักดาเป็นประจักษ์พยานผู้รู้เห็น เรื่องที่จําเลยโทรศัพท์มาพูดเรียกเงินและของานจากนายศักดิ์ดา หลังเกิดเหตุ นายศักดิ์ดาเล่าให้นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ และนายสุรินทร์ วรกิจธำรง ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาบาดาลฟังในคืนเกิดเหตุทันที และวันรุ่งขึ้นได้เล่าให้นายนริศ ขำนุรักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฟังด้วย

ยิ่งกว่านั้นในวันรุ่งขึ้น นายศักดิ์ดาได้พูดในที่ประชุมว่า เมื่อคืนนี้มีอนุกรรมาธิการคนหนึ่งโทรไปหาผมตบทรัพย์ผม 5 ล้านบาท ซึ่งมีลักษณะเป็นการพูดโต้ตอบด้วยความอัดอั้นกดดันจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนเกิดเหตุ โดยยังไม่ระบุชื่อจำเลยว่า เป็นผู้เรียกเงินหรือของาน

หากจำเลยไม่โทรศัพท์เรียกเงินและของาน ก็ไม่ มีเหตุที่นายศักดิ์ดาจะต้องพูดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ในที่ประชุม หลังจากนั้นในช่วงบ่าย จำเลยก็ไม่เข้าประชุมอีก นอกจากนี้จำเลยยังโทรศัพท์ไปพูดกับนายภาดล ซึ่งเป็นการกระทำในลักษณะเดียวกับที่จำเลยพูดกับนายศักดิ์ดา ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน

นายศักดิ์ดาและนายภาดลต่างดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ต้องไปชี้แจงเกี่ยวกับงบประมาณต่อคณะอนุ
กมธ.แผนงานบูรณาการ 2 ที่มีจำเลยเป็นรองประธานในวันรุ่งขึ้น พฤติการณ์บ่งชี้ว่า จำเลยโทรศัพท์ไปเจรจาต่อรองผลประโยชน์จากโครงการที่จำเลยกำลังมีส่วนในการพิจารณางบประมาณดังที่นายศักดิ์ดาและนายภาดลเบิกความ

คำเบิกความของนายศักดิ์ดาจึงมีเหตุผลและสอดคล้องเชื่อมโยงกับพยานอื่น ทำให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานที่ไต่สวนมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยได้กระทําตามข้อกล่าวหาในฟ้องจริง จำเลยในฐานะอนุ กมธ.แผนงานบูรณาการ 2 ย่อมมีอำนาจหน้าที่เสนอความเห็นตามกรอบแนวทางการพิจารณา รวมถึงสามารถเสนอความเห็นในการปรับลดงบประมาณของหน่วยงานต่อที่ประชุมคณะอนุ กมธ.แผนงานบูรณาการ 2 เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาลงมติเห็นชอบและเสนอคณะ กมธ.วิสามัญฯ พิจารณาต่อไป

แม้จำเลยเพียงคนเดียวจะไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการปรับลดงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลดังที่จำเลยอ้าง เพราะผลการพิจารณาต้องเป็นไปตามมติที่ประชุมก็ตาม แต่การเสนอความเห็นเกี่ยวกับงบประมาณในขั้นตอนต่างๆ ดังกล่าว ถือได้ว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของจําเลย ซึ่งจําเลยอาจเสนอความเห็นให้คุณหรือให้โทษแก่งบประมาณของหน่วยราชการที่พิจารณา

การที่จําเลยโทรศัพท์ไปเรียกเงินและของานจากนายศักดิ์ดา ย่อมเป็นการกระทําในตำแหน่งและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยโดยตรง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับจําเลยโดยมิชอบฯ และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมทรัพยากร น้ำบาดาล และราชการ


พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 173 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก ลงโทษจำคุก 6 ปี กับให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ 19 เม.ย.2565 อันเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่ในคดีนี้ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือสมัครรับเลือกเป็น ส.ส. ส.ว. สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษา นายอนุรักษ์ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ด้านศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท

4. “ศรีสุวรรณ-เรืองไกร" ยื่น กกต.สอบ "พิธา" แต่งเรื่องช่วงรัฐประหาร 49 ถูกกักตัว-ไปงานศพพ่อไม่ทัน ด้านเจ้าตัวอ้างใหม่ "ไปทันครึ่ง-ไม่ทันครึ่ง"!



เมื่อวันที่ 28 เม.ย. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ได้ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัยกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา เพื่อมางานศพพ่อในช่วงของการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549

ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณได้นำหลักฐานเป็นคลิปการให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ผ่านรายการนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2566 กรณีเดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา และคลิปที่นายพิธาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการของนางสุริวิภา กุลตังวัฒนา หรือหนูแหม่ม เมื่อปี 2552 มาเปรียบเทียบ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่กลับมีความแตกต่างกันหลายประเด็น

1.นายพิธาอ้างว่า ตัวเองเป็นข้าราชการ อยู่ในคณะทำงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ขณะเดียวกันในการให้สัมภาษณ์กับนางสุริวิภา กลับระบุว่า เป็นนักศึกษาอยู่ในกรุงบอสตัน 2. นายพิธาอ้างว่าเคยถูกควบคุมตัวที่ดอนเมือง ไม่สามารถกลับไปทันงานศพของพ่อได้ แต่ให้สัมภาษณ์กับนางสุริวิภาว่า อยู่ที่ดอนเมืองเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบแค่ 4-5 ชม. และกลับไปร่วมงานศพของพ่อทัน 3.นายพิธาอ้างว่า ในช่วงนั้นถูกระงับบัญชี 2-3 เดือน จนไม่สามารถหาเงินมาทำบุญศพพ่อได้ แต่ในรายการของนางสุริวิภา กลับไม่ได้พูดถึง

ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่หลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะนายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ไม่มีการควบคุมตัว เพียงแต่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบตามปกติ และปล่อยกลับบ้าน

จึงมีข้อสังเกตว่า การให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ของนายพิธาช่วงหาเสียงเลือกตั้ง นายพิธาพยายามแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจ สร้างความสงสาร และใส่ร้ายไปทางฝ่ายความมั่นคงหรือทหารว่า ตนเองเป็นผู้ถูกกระทำ เพื่อทำให้เกิดคะแนนนิยมของพรรคตนเองหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อห้ามอย่างชัดเจนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(5) ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามพรรคการเมืองหาเสียงโดยวิธีการหลอกลวง ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจในคะแนนนิยมของตนเอง หรือพรรคการเมืองที่ผิดไป

นายศรีสุวรรณ ชี้ว่า “เรื่องนี้ นายพิธาได้กระทำเอง และพรรคก้าวไกลได้มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับทหาร โดยเฉพาะการเกณฑ์ทหาร ปฏิรูปกองทัพ ดังนั้น คำพูดของนายพิธา ต้องการสื่อให้เห็นว่า ตนเองออกมาต่อต้านกองทัพอย่างชัดเจน จึงหยิบยกประเด็นการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 ในช่วงที่มางานศพของพ่อขึ้นมาพูด ตนมองว่า เป็นเรื่องที่ฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จึงต้องการให้ กกต.ไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัย ว่าเข้าข่ายความผิดตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ หากผิดจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และถูกตัดสิทธิทางการเมืองอย่างน้อย 20 ปี”

ทั้งนี้ วันเดียวกัน (28 เม.ย.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้ายื่นหลักฐานขอให้ กกต.ตรวจสอบกรณีนายพิธา ให้สัมภาษณ์ถึงการมาร่วมงานศพพ่อ ในช่วงรัฐประหารเมื่อปี 2549 เช่นกัน

โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเข้าข่ายผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 73 (5) และต้องการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะเกี่ยวข้องกับมิติทางการเมืองที่หาเสียง ทั้งที่ขณะนี้ก็อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่กลับมีคำพูดให้เกิดประเด็นทางสังคม

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายพิธาให้สัมภาษณ์กับนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา โดยช่วงหนึ่งได้เล่าถึงเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ว่า หลังจากเกิดการยึดอำนาจ ได้เดินทางมากับเครื่องบินของคณะที่ไปประชุมที่องค์การสหประชาชาติ มาลงที่กองทัพอากาศ แล้วถูกกักตัวข้ามวันจนไปงานศพพ่อไม่ทัน ซ้ำยังถูกอายัดบัญชี จนทำให้ต้องวิ่งวุ่นหาเงินมาจัดงานศพ

อย่างไรก็ตาม นายพิธาเคยให้สัมภาษณ์กับ "แหม่ม สุริวิภา" เมื่อปี 2552 ถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า หลังจากเครื่องลงที่กองทัพอากาศแล้ว ตนถูกกักตัวอยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่ก็ไปงานศพพ่อทัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายพิธา ได้โพสต์ข้อความชี้แจงทางเฟซบุ๊ก อ้างว่า ที่ตนเคยให้สัมภาษณ์รายการของสรยุทธ และรายการของแหม่ม สุริวิภา ไม่ขัดแย้งกัน โดยระบุว่า ตนมางานศพพ่อทันครึ่งหนึ่ง และไม่ทันครึ่ง งานศพพ่อมี 7 วัน ตนมาไม่ทันวันที่ 18-20 และมาทันวันที่ 22-24

5. บอร์ด กกพ.ไฟเขียวลดค่าไฟงวด 7 สตางค์/หน่วย ด้านรัฐบาลขอ กกต.ไฟเขียวอนุมัติงบกลางหมื่นล้านช่วยลดภาระค่าไฟให้ ปชช.!



เมื่อวันที่ 24 เม.ย. นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และโฆษก กกพ. เผยว่า ที่ประชุม กกพ. ได้พิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวด พ.ค.-ส.ค. หรืองวดที่ 2 ปี 66 และได้เห็นชอบตามที่อนุกรรมการการกำกับดูแลการปรับอัตราค่าบริการไฟฟ้าพิจารณากรณีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอขอทบทวนภาระค้างรับค่า Ft สะสม หรือ AF ที่ส่งผลให้ค่า Ft จากเดิมอยู่ที่ 98.27 สตางค์/หน่วย เป็น 91.19 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลงราว 7.08 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเดิม 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย โดยไม่ต้องเปิดรับฟังความเห็น เนื่องจากไม่ได้เปลี่ยนแปลงค่าสมมติฐาน ซึ่งจะมีผลในบิลค่าไฟทันวันที่ 1 พ.ค.นี้

นายคมกฤช กล่าวว่า “กฟผ.ได้เสนอเงื่อนไขการรับภาระหนี้ต้นทุนค่าไฟฟ้าแทนประชาชน จากเดิมกำหนดชำระหนี้ 6 งวด เป็น 7 งวด จากหนี้ที่เหลือกว่า 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งการยืดหนี้จะทำให้ กฟผ.ได้รับเงินลดลงจากเดิมราว 4,623 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกรณีที่ภาคเอกชนได้เสนอขอให้มีการทบทวนสมมติฐานเรื่องราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นำเข้า ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าลดต่ำลงอีกนั้น ไม่สามารถพิจารณาได้ เนื่องจากหากปรับสมมติฐานดังกล่าว ก็จะต้องไปปรับค่าสมมติฐานอื่นๆ ทั้งหมด ทั้งค่าเงินบาท น้ำมันดิบดูไบที่อิงกับราคาก๊าซฯ ดังนั้นจึงต้องรอค่าจริงทีเดียว”

นายคมกฤชยังกล่าวถึงกรณีที่มีผู้เสนอให้ยกเลิก Ft ว่า ต้องเข้าใจว่าค่าไฟฟ้าปัจจุบัน แบ่งเป็นค่าไฟฐานและค่า Ft โดยค่าไฟฐานจะเปลี่ยนแปลงทุก 4 ปี โดยเป็นการนำเงินลงทุนต่างๆ มาเป็นฐานคิด แต่ Ft จะนำเอาค่าเชื้อเพลิงหรือปัจจัยที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาหรือมีการสวิงมาคิด ซึ่งหากยกเลิกเท่ากับต้องนำปัจจัยนี้ไปบวกล่วงหน้าในค่าไฟฐานที่อาจจะแพงอย่างมากหรือต่ำลงเกินความเป็นจริง จนทำให้เกิดภาระอย่างมาก ส่วนกรณีที่คิด Ft ทุก 4 เดือน แล้วจะขอเปลี่ยนเป็นเร็วกว่านั้น ต้องเข้าใจว่า เดิม Ft ก่อนหน้าคิดทุก 3 เดือน แต่ต่อมา เอกชนเป็นผู้เรียกร้องให้ขยายเวลา เพราะต้องการนำไปพิจารณาวางแผนในการส่งออก ซึ่ง กกพ. เองก็พร้อมที่จะรับฟังหากมีการเสนอมา

มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ได้เห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขออนุมัติวงเงิน 11,112 ล้านบาท เพื่อช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าให้ประชาชน โดยให้สำนักเลขาธิการ ครม.มีหนังสือนำส่งหนังสือของกระทรวงพลังงาน ที่ขอให้ กกต. พิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบในการที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติใช้งบกลาง 11,112 ล้านบาท เพื่อช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน มายังสำนักงาน กกต.

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 เม.ย. มีรายงานว่า สำนักงาน กกต. ตรวจสอบหนังสือที่สำนักเลขาธิการ ครม.ส่งมาแล้ว พบว่า ยังดำเนินการไม่ครบถ้วนตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากสำนักเลขาธิการ ครม. ไม่ได้แจ้งมติ ครม.ที่เห็นชอบในหลักการจะใช้งบกลาง 11,112 ล้านบาท ในการจะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาค่าไฟฟ้าแพง จึงได้ส่งหนังสือดังกล่าวกลับไป โดยยังไม่ได้รับหนังสือฉบับใหม่จากทางสำนักเลขาธิการ ครม.แต่อย่างใด

ล่าสุด (29 เม.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ เพื่อหาเสียงในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ถึงกรณีที่ กกต. ตีกลับกรณีที่รัฐบาลขอให้พิจารณาการใช้งบกลางจำนวน 11,112 ล้านบาท ในการลดค่าไฟฟ้าช่วยเหลือประชาชนว่า เดี๋ยวก็ทำไปใหม่ จะต้องมีรายละเอียดว่าต้องใช้คำพูดอะไร ส่งไปให้ กกต. เมื่อถามว่า จะส่งได้เมื่อใด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันอังคารนี้ เดี๋ยวเขาก็ตอบมา


กำลังโหลดความคิดเห็น