ทูตฝรั่งท่านนี้ก็คือ ลา ลูแบร์ ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ส่งเข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อยู่เมืองไทยเพียง ๓ เดือน ๖ วันก็เขียนหนังสือเล่าได้ทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การเมืองการปกครอง จนถึงการกินอยู่ของชาวบ้าน สนใจแม้เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่าง งูเขียวกินตับตุ๊กแก ปลวกกินคัมภีร์บาทหลวง หิ่งห้อย ที่เรียกว่า แมลงวันสว่าง จนถึงเหตุที่นมของสาวสยามยาน อย่างไม่คาดคิดว่าท่านทูตผู้มาทำงานการเมืองจะสนใจขุดลึกสยามถึงขั้นนี้
ในบทที่เกี่ยวกับ “จารีตและรูปพรรณของชาวสยาม” ลา ลูแบร์เล่าว่า ชาวสยามไปไหนเดินเท้าเปล่าๆ ศีรษะก็เปลือย ปิดบังแต่ที่อุจาดเท่านั้น จึงปกสะเอวและขาลงไปถึงหัวเข่าด้วยผ้าผืนลายๆยาว ๕ แขน...แม้ชาวสยามจะแต่งตัวอย่างฝรั่งค่อนว่า เปลือยกายโทงเทง ที่แท้ชาวสยามเป็นคนขี้อายที่สุดในโลก ที่จะแสดงอวัยวะร่างกายที่ธรรมเนียมประเพณีให้ซ่อนเร้น ทั้งชาวสยามยังไม่ยอมเปลื้องผ้าปกกายเวลานอน เพียงแต่เปลี่ยนชุด เช่นเดียวกับเวลาลงอาบน้ำในแม่น้ำลำคลอง...ทำให้เราจำเป็นต้องแจกผ้าผลัดนุ่งให้ทหารฝรั่งเศสสำหรับนุ่งไปอาบน้ำที่ถิ่นท่า เพื่อปัดเป่าคำครหาที่ชาวสยามติเตียน เมื่อเห็นพวกฝรั่งแก้ผ้าเดินโทงๆลงไปที่ท่าน้ำ...
แต่การเปลือยกายของชาวสยามไม่ทำให้ท่านทูตเสียวไส้ ลา ลูแบร์ บอกว่า เพราะคนเหล่านี้ผิวกายมีสีต่างจากพวกเรา การเปลือยกายของชาวสยามจึงไม่ทำให้ข้าพเจ้าเสียวไส้ เหมือนอย่างที่เห็นฝรั่งด้วยกันแก้ผ้า รู้สึกแต่เพียงว่าได้เห็นสิ่งแปลกอย่างใหม่อีกอย่างหนึ่ง...ไม่รู้ว่าใครไปแก้ผ้าให้ท่านทูตเห็น
ผู้หญิงสยามไม่รู้จักสงวนเนื้อสงวนอกให้เป็นไปตามธรรมชาติ ปล่อยให้ลูกเย่อทึ้งตามใจ จึงห้อยยานลงมาจวนจะถึงสะดือ แต่การที่หญิงสยามอกยานนั้น ไม่เป็นเรื่องรำคาญตาสามีของเจ้าหล่อนเลย จริงอยู่ ความนิยมอย่างเคยๆของมนุษย์จนดูเหมือนจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมให้เห็นสิ่งที่น่าเกลียดเป็นชาๆเฉยๆ หรือเป็นสิ่งที่น่าชมน่าเอ็นดูก็เป็นได้
ลา ลูแบร์เล่าว่า ได้เอารูปสาวสวยฝรั่งเศสให้ขุนนางหนุ่มสองคนดู หนุ่มสยามทั้งสองยอมรับว่าสาวฝรั่งเศสนั้นสวย สาวสยามสู้ไม่ได้ แต่ไม่ชอบเลยที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้ารุงรังจนเกินไป เป็นเรื่องลำบากของสามีที่จะช่วยเอาออกได้ ลา ลูแบร์ว่าขุนนางทั้งสองคงจะนึกว่าภรรยาฝรั่งของเราจะนอนทั้งกระโปรงรุงรังเหมือนภรรยาคนไทย ถ้าเช่นนั้นก็คงจะลำบากอิหลักอิเหลื่อทีเดียว
นอกจากเรื่องอกสาวสยามแล้ว ลา ลูแบร์ยังสนใจไปถึงเรื่องแมลง บอกว่าในสยามปลวกชุมมาก นอกจากล้างผลาญสิ่งต่างๆให้ฉิบหายแล้ว ยังกันสมุดทะลุเป็นรู พวกบาทหลวงจำต้องป้องกันสมุดและพระคัมภีร์โดยเคลือบลงรักไว้
ตะขาบ ในสยามก็มีเหมือนในอเมริกา มันมีตีนมากตลอดลำตัว ข้อพิลึกก็คือหัวกับหางดูเหมือนกัน ชาวสยามบอกว่ามันมี ๒ หัว ครึ่งปีแรกใช้เดินทางหัวหนึ่ง ครึ่งปีหลังใช้เดินอีกทางหัวหนึ่ง
ตุ๊กแก ชาวสยามเพ้อและเชื่อง่ายๆว่า เมื่อตับมันงอกและโตเกินไป ก็จะร้องให้แมลงอย่างหนึ่งบินเข้าไปทางปาก พอกินตับอิ่มแล้วก็บินออกไป หรือเรียกให้งูเขียวมาช่วยล้วงตับ ที่จริงตุ๊กแกกินงูเขียวเข้าไปทางหัว ก็หาว่าล้วงตับให้ตุ๊กแก ถ้าตุ๊กแกกินทางหาง งูเขียวก็งับหางตุ๊กแกขยอกเข้าไป เลยตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย คนไปพบซากประเภทนี้เข้าก็เอามาทำเป็นเครื่องรางของขลัง
หิ่งห้อยนั้น ลา ลูแบร์เรียกว่า แมลงวันสว่าง มีแสงอยู่ที่ตา แต่ที่มีแสงออกมามากคือใต้ปีก และจะสว่างเฉพาะตอนบินเท่านั้น มีคำเล่าว่าแมลงวันสว่างนี้อาจใช้แทนเทียนในเวลากลางคืนได้ ลา ลูแบร์ยอมรับว่าตอนที่คณะทูตมาถึงเมืองไทยนั้น ลมเหนือมาแล้วฝนก็หมด แมลงวันสว่างก็ตายหมด เลยไม่ได้เห็น เรื่องเหล่านี้ก็คงเขียนมาจากคำบอกเล่า เลยมีคนเอาไปเล่าให้ท่านเขียนเป็นเรื่องสนุก
นอกจากเล่าเรื่องเมืองสยามจากสายตาตัวเองแล้ว ลา ลูแบร์ยังมีฝีมือในการวาดภาพ อย่างรูปที่ลงกันกราดเกลื่อนเหล่านี้ รวมทั้งเขียนแผนที่กรุงสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไว้ด้วย จดมายเหตุของลา ลูแบร์เล่มนี้จึงได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากจะบรรยายให้เห็นภาพแล้ว ยังมีรูปเหมือนถ่ายไว้ให้ดูด้วย และที่สำคัญยังแทรกไว้ด้วยเรื่องสนุก อย่างเรื่องแมลงเหล่านี้