“สนธิ” เผยความจริง 4 เรื่อง สะท้อนการล่มสลายของมหาอำนาจอเมริกา แม้แต่หลานชายของอดีต ปธน. จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ ยังระบุซาอุฯ-อิหร่านจับมือกันโดยมีจีนเป็นตัวกลางคือสัญลักษณ์ความล้มเหลวของพวกอนุรักษ์นิยมใหม่ในสหรัฐฯ ที่พยายามเป็นเจ้าโลกด้วยแสนยานุภาพทางทหาร ขณะที่จีนเข้ามาแทนที่จักรวรรดิอเมริกาผ่านแสนยานุภาพทางเศรษฐกิจที่พวกเขาช่ำชอง
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงมุมมองต่อสถานการณ์ต่างประเทศ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา บางคนก็กล่าวหาว่าตนโปรจีน เป็นไอโอ(หน่วยปฏิบัติการข่าว)ให้จีน ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้ว ตนเป็นนักประวัติศาสตร์เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่คิดอะไรมองอะไรและพูดอะไรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงและหลักฐาน
ซึ่งในวันนี้จะนำความจริงหลาย ๆ ประการ จากหลายแง่หลายมุม เกี่ยวกับความล่มสลายของจักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกา และการเปลี่ยนผ่านของโลกเข้าไปสู่ยุคใหม่ที่มีจีนเป็นแกนกลาง ซึ่งตนไม่ได้พูดเอง แต่เป็นข้อมูลจากคนอื่นที่นำมาเล่าให้ฟัง
เรื่องแรก : ข้อความในทวิตเตอร์ของนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ ที่เผยแพร่ผ่านทวิตเตอร์ เมื่อวันอังคารที่ 4 เมษายน 2566
สำหรับนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ ปัจจุบันอายุ 69 ปี เป็นบุตรชายของนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี อดีตวุฒิสมาชิกนิวยอร์ก และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐที่ถูกลอบสังหารเมื่อปี 2511 ซึ่งนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ เป็นน้องชายของ อดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ที่ถูกลอบสังหารเมื่อปี 2506 นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ จึงเป็นหลานชายของอดีตประธานาธิบดีเคนเนดีด้วย และเขากำลังจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตของพรรคเดโมแครต เพื่อชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2567 หรือปีหน้านี้
เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาทวิตข้อความขนาดยาวข้อความหนึ่งซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้เข้าชมทวิตนี้กว่า 5 ล้านครั้ง, กดไลค์ไป 52,000 ครั้ง และ Retweet ไปกว่า 16,500 ครั้ง โดยข้อความที่นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ แปลเป็นไทยได้ดังนี้
“ความล่มสลายของอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อซาอุดิอาระเบีย และพันธมิตรใหม่ของซาอุฯ กับจีนและอิหร่านเป็นสัญลักษณ์ที่เจ็บปวดของความล้มเหลวอย่างน่าเวทนาของยุทธศาสตร์ของพวกอนุรักษ์นิยมใหม่ (Neocon หรือ Neoconservatism) ในการรักษาความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐฯ ด้วยการใช้แสนยานุภาพทางทหารที่ก้าวร้าว
“ประเทศจีนได้เข้ามาแทนที่จักรวรรดิอเมริกา ผ่านการแสดงแสนยานุภาพทางเศรษฐกิจที่พวกเขาช่ำชอง
“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศของเรา(สหรัฐอเมริกา)ใช้เงินไปหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการทิ้งระเบิดใส่ถนน ท่าเรือ สะพาน และสนามบิน แต่ในทางกลับกัน จีนใช้เวลาที่ผ่านมาเพื่อก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งต่าง ๆ ให้ประเทศกำลังพัฒนา
“สงครามยูเครน ถือเป็นเหตุการณ์สุดท้ายที่นำไปสู่การล่มสลายครั้งสุดท้ายของ ‘ศตวรรษอเมริกัน (American Century)’ ของเหล่าอนุรักษ์นิยมใหม่ (Neocon) ที่มีอายุอันแสนสั้น
“โครงการของเหล่าอนุรักษ์นิยมใหม่ ในอิรักและยูเครนที่มีมูลค่าสูงถึง 8.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูบเลือดสูบเนื้อบรรดาชนชั้นกลางชาวอเมริกันของเรา ทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะต่ออำนาจทางทหาร และความชอบธรรมของสหรัฐฯ
“พวกเราผลักดันให้จีนและรัสเซียกลายเป็นพันธมิตรที่ไม่มีใครทำลายได้ ทำลายอิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินโลก คร่าชีวิตคนนับล้าน และไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาประชาธิปไตย หรือ ได้รับมิตรภาพ หรือ สร้างอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น”
“คำพูดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผม สนธิ ลิ้มทองกุล เขียนขึ้นนะครับ แต่เป็นข้อความจากทวิตเตอร์ของโรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของพรรคเดโมแครต หลานชาย จอห์น เอฟ.เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ผู้มีชื่อเสียงและถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ.1963
“จะมีใครอ่านข้อความนี้แล้วบอกว่า โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ เป็นเจ๊กโปรจีน เป็น IOรัฐบาลปักกิ่ง เป็นโฆษกรัฐบาลจีนประจำสหรัฐอเมริกาไหมเหมือนที่ใส่ร้ายผม ทำไมเขาเกิดพูดเหมือนผมเลยเป๊ะทุกอย่าง ทำไมท่านผู้ชมเห็นหรือยังพวกที่ด่าว่าผมโปรเจ๊กโปรจีน คุณไปด่าโรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ หน่อยสิ เขาเป็นหลานของจอห์น เอฟ.เคนเนดี เขาเป็นลูกของโรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี ซึ่งเป็นอดีตอัยการสูงสุดของอเมริกา” นายสนธิ กล่าว
เรื่องที่สอง : เป็นบทความเก่าเมื่อ 15 ปีที่แล้วของ นักเขียนและคอลัมนิสต์อเมริกันที่มีชื่อมากนั่นคือโธมัส แอล. ฟรีดแมน
ปี 2551 (ค.ศ.2008) ฟรีดแมนเขียนบทความชื่อ A Biblical Seven Years ลงเผยแพร่ในนิวยอร์กไทมส์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 บอกเล่าถึงประสบการณ์ของเขาหลังจากที่เขาได้ไปเข้าร่วมพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งในช่วงฤดูร้อนปีนั้น
เมื่อ 15 ปีที่แล้วฟรีดแมนเขียนไว้ว่าอย่างนี้
~ ผมได้หวนคิดถึงช่วงเวลา 7 ปี ที่ผ่านมาของประเทศจีน และ ของสหรัฐฯ ได้พบความจริงที่แตกต่างกันมากมาย
~ ในขณะที่จีนมุ่งมั่นกับโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ จำนวนมาก (Infrastructure projects) แต่สหรัฐฯ กลับมุ่งมั่น จัดการกับปัญหาผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ (Al-Qaeda)
~ จีนมุ่งสร้างสรรค์สิ่งที่ดี เช่น สนามกีฬา รถไฟใต้ดิน สนามบิน ถนน และสวนสาธารณะ แต่เราสหรัฐฯ กำลังสร้างอาวุธ เครื่องตรวจจับอาวุธ รถหุ้มเกราะ และโดรนสำหรับทำสงครามเพื่อการเข่นฆ่า
~ คุณจะเห็นความแตกต่าง ระหว่าง สนามบินเก่า และ สกปรกของเราสหรัฐฯ(อ้างถึงสนามบินลากวาร์เดีย(La Guardia) ในนครนิวบอร์ก) กับสนามบินที่สวยงาม และทันสมัย คือสนามบินนานาชาติเซี่ยงไฮ้ (Shanghai international Airport)
~ เมื่อคุณขับรถในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก คุณจะเห็นสิ่งก่อสร้างเก่า ทรุดโทรมตลอดสองข้างทาง แต่ถ้าคุณเดินทางในเซี่ยงไฮ้..คุณจะมองเห็นรถไฟฟ้าพลังแม่เหล็กความเร็วสูง (Shanghai’s maglev train) ที่วิ่งด้วยความเร็ว 220 ไมล์ต่อชั่วโมง ซึ่งใช้พลังแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะที่รถไฟของเราสหรัฐฯ ยังคงใช้ล้อและรางเหล็กกล้าแบบโบราณ
~ ดังนั้น เมื่อคุณเข้าไปอยู่ในเซี่ยงไฮ้แล้ว เราชาวอเมริกัน ควรจะย้อนถามตัวเราเองว่า “ระหว่างคนจีน กับ เราคนอเมริกัน ใครกันแน่คือ ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศโลกที่สาม? ”
นอกจากนี้ในเวลาต่อมาอีกหลายปี บทความชิ้นดังกล่าวของฟรีดแมนก็ยังคงทรงอิทธิพล โดยมีผู้นำบทความของเขาไปขยายความ เพิ่มเติมต่อด้วยว่า
~ ในฐานะประเทศสมัยใหม่ จีนยอมรับในเอกราชของแต่ละประเทศ และสิทธิมนุษยชนของประชาชน แต่ด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายของจีน ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลักษณะหนึ่งของโมเดลการพัฒนาแบบจีน คือ การพัฒนาประเทศที่มีประชากรจำนวน 1,400 ล้านคน ทำให้ผลที่เกิดจากการเรียนรู้ ผลจากการสร้างนวัตกรรม ผลจากขนาดของประชากร ส่งผลกระทบต่อประเทศจีน และ โลกทั้งหมด
~ หลายบริษัทที่ลงทุนในจีนมีคำขวัญว่า ถ้าบริษัทใดประสบความสำเร็จในจีน ก็จะประสบความสำเร็จได้ในระดับโลก การผงาดขึ้นของจีน เริ่มขยายตัวไปสู่ภาคต่างๆ เช่น การท่องเที่ยว การบิน ภาพยนตร์และทีวี การกีฬา พลังงานใหม่ๆ การศึกษา เทคโนโลยีใหม่ แฟชั่นยุคใหม่ และรถไฟความเร็วสูง พวกเราชาวอเมริกัน อาจรู้สึกอิจฉาคนที่อยู่ในประเทศอื่น แต่ในความเป็นจริงปัญหาของประเทศเหล่านี้ คือ ขาดกำลังในการต้านทานต่อปัญหาวิกฤตการณ์ต่างๆ ในขณะที่ประเทศขนาดใหญ่ จะมีกำลังต้านทานปัญหา มีทรัพยากร และโอกาสในการแก้ปัญหาได้มากกว่า
~ ในกรณีชิลี ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาระดับสูง แต่เมื่อต้องประสบภัยแผ่นดินไหวในปี 2553 (ค.ศ.2010) ทำให้ GDP ลดลงมาก และเศรษฐกิจไม่เติบโต เป็นเวลา 2 ปี ในขณะที่ประเทศจีน พบกับภัยแผ่นดินไหวขนาดใหญ่มากกว่า ที่เวิ่นชวน เฉิงตู แต่เศรษฐกิจของทั้งประเทศ ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
~ สำหรับประเทศอื่นๆ การพัฒนายกระดับอุตสาหกรรม มักจะดำเนินการด้วยการย้ายอุตสาหกรรมเก่าออกไปยังต่างประเทศ แต่ประเทศจีนซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่ มีระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันในหลายพื้นที่ สามารถเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในประเทศ จากเขตชายฝั่งภาคตะวันออก ไปยังเขตภาคตะวันตกที่มีการพัฒนาต่ำกว่าได้ ทำให้ยืดอายุอุตสาหกรรมการผลิตของจีนได้ยาวนานกว่าประเทศอื่นๆ
~ ทุกวันนี้ ชาวจีน ยึดถือและปฏิบัติตามหลักจริยธรรมของขงจื๊อ ให้ความเคารพต่อผู้เป็นครูบาอาจารย์ ยึดหลักการท่องจำหลักปรัชญาดั้งเดิม คลั่งไคล้ในอักษรภาพ และภาพเขียนโบราณ เห็นคุณค่าของพิธีชงน้ำชา บูชาบ้านเมืองโบราณ เห็นคุณค่าวัตถุโบราณ เชื่อถือในคุณค่าของการรักษาสุขภาพแบบจีน และยาจีน ซึ่งแสดงถึงการกลับมาเข้มแข็ง ของวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนอีกครั้งหนึ่ง
~ วัฒนธรรมอาหาร วัฒนธรรมสุขภาพ และ รูปแบบการพักผ่อน ที่สืบเนื่องจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน ก็แตกต่างจากวัฒนธรรมตะวันตก
~ ภัตตาคารริมถนน(Street Food) ทั่วประเทศจีนมีอาหารให้เลือกทานได้ถึง 30-40 เมนู แต่ร้านอาหารอเมริกันส่วนใหญ่ มักจะมีเพียงแฮมเบอร์เกอร์ และมันฝรั่งทอด หรืออย่างมากก็มีแค่ 3-4 เมนู สำหรับภัตตาคารในยุโรป จะมีอาหารให้เลือกมากกว่าของอเมริกัน แต่ก็มักจะไม่เกิน 7-8 เมนู
~ เราชาวตะวันตกบางคน มักจะวิตกว่า ชาวจีนไม่มีศาสนา แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่เคยเรียนประวัติศาสตร์ทุกคน จะทราบว่า ความขัดแย้งทางศาสนา นำไปสู่สงครามนับครั้งไม่ถ้วน ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อต่างนิกายในคริสต์ศาสนา หรือ ความขัดแย้งระหว่างคริสต์ กับ มุสลิม ที่กินเวลาหลายพันปี ได้นำหายนะมาสู่สังคมมนุษย์ ทำให้มีการผลาญชีวิตคนจำนวนมาก ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อในศาสนาอย่างงมงาย
~ ระบบเศรษฐกิจจีน เป็นระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (Traditional economics) ไม่ใช่เศรษฐกิจแบบใช้ตลาดนำ (Market economy) แต่เป็นระบบเศรษฐกิจ ที่เห็นอกเห็นใจกัน/เศรษฐกิจเพื่อมวลชน (Humanistic economics)
~ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน พบว่าถ้าผู้นำประเทศ ไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ และปรับปรุงความเป็นอยู่ของประชาชนได้ และไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาภัยธรรมชาติได้ ประชาชนจะเสื่อมศรัทธา ในผู้นำ และอาจถูกโค่นล้มโดยประชาชน
~ ปัจจุบันพรรคการเมืองของจีน คือการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องโดยสืบทอดวัฒนธรรม ของระบบจารีตในการปกครองแบบขงจื๊อ ซึ่งแตกต่างจากระบบพรรคการเมืองในตะวันตก ที่ใช้ระบบการเสนอตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ที่ต่างกัน เข้าแข่งขันในการเลือกตั้ง เพื่อขึ้นสู่อำนาจบริหาร คนจำนวนมากในประเทศตะวันตก เพียงแต่เห็นด้วยว่าระบบการแข่งขันเลือกตั้ง จากหลายพรรคของตะวันตก เป็นระบบการปกครองที่ถูกกฎหมายแค่นั้น ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ตื้นเขินมาก
~ ครั้งหนึ่ง ผมพบกับนักวิชาการอเมริกันที่มีขื่อเสียงท่านหนึ่ง ซึ่งถามผมถึงความชอบธรรม และถูกกฎหมายของระบบการปกครองของจีน แต่ผมถามเขากลับไปว่า ทำไม คุณไม่ลองตั้งคำถามก่อนว่า ระบบการปกครองของอเมริกันบ้านเรา มีความชอบธรรม และถูกกฎหมายจริงหรือเปล่า ? เพราะสหรัฐฯ ยึดดินแดนของอินเดียนแดง เป็นอาณานิคม แล้วอพยพเข้ามาอยู่อาศัยแทนและกำจัดชาวอินเดียนแดงออกไป เพื่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะนี้
~ ผมขอให้เขาอธิบายว่า การกระทำของสหรัฐฯ มีความถูกต้องชอบธรรมอย่างไร? ในที่สุดเขาก็ตอบว่ามันก็เป็นแค่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เท่านั้น
~ เราจะตั้งคำถามในเรื่องความถูกต้องชอบธรรม และถูกกฎหมายของระบบการปกครองตะวันตก โดยใช้หลักการ/แนวความคิด ในการคัดเลือกและเลือกผู้มีความสามารถ แบบในประเทศจีนได้หรือไม่
~ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้ลูก บริหารสหรัฐฯ โดยทำให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำในช่วง 8 ปี ที่เป็นผู้นำ และสร้างความหายนะแก่ประเทศอิรัก โดยข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง จนในปัจจุบันก็เป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่า ไม่เป็นความจริงที่สหรัฐตั้งข้อกล่าวหาต่ออิรักว่า ซัดดัม ฮุสเซน ผลิตอาวุธที่มีอานุภาพอันตรายร้ายแรงต่อโลก รวมถึงสหรัฐเองเป็นผู้ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกด้วย
~ จุดเด่นสำคัญของความถูกต้องชอบธรรมในการมีอำนาจปกครอง ตามประวัติศาสตร์จีน คือ ประเพณีทางการเมือง ในการคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถ ในการบริหารและปกครองประเทศ เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับ และความสนับสนุนจากประชาชนจีน
~ ในวัฒนธรรมทางการเมืองของจีน มีแนวคิด/หลักการ แก้ปัญหาทีละเรื่อง แก้ปัญหาทีละอย่าง และ มีความสามัคคีรวมพลังทุกฝ่าย เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาให้ผู้เดือดร้อน
~ ครั้งหนึ่ง ผมเคยแลกเปลี่ยนความเห็น เรื่องระบบการปกครองของจีน กับนักวิชาการอินเดีย ชาวอินเดียกล่าวว่า ภาพที่เห็นการปกครองของจีน เป็นการรวมศูนย์อำนาจ ในความเป็นจริงการปฏิรูปทุกครั้งจะมีพลังการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมาจากท้องถิ่นต่างๆ มีทั้งแง่มุมของการแข่งขันและการช่วยเหลือ/การร่วมมือกัน ดังนั้น ระบบของจีนจึงดีกว่าของอินเดีย เพราะมีพลวัต/ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยน เคลื่อนไหว และมีพลังตลอดเวลา
~ จีนได้ศึกษาบทเรียนของตะวันตก และได้จัดตั้งระบบการปกครองที่มีอำนาจสูง และทันสมัยขึ้น รวมถึงมีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมทางการเมืองของตนเอง ด้วยองค์ประกอบทั้งสองด้านที่จีนนำมาใช้ประโยชน์ได้สำเร็จ ทำให้เรา/ประเทศตะวันตก สามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่าง ในการเอาชนะปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ในระบอบประชาธิปไตย เช่น ปัญหาในระบอบประชาธิปไตย ที่ใช้ระบบประชานิยมในการหาคะแนนเสียง ปัญหาการมองประโยชน์เฉพาะหน้า/มองการณ์สั้นๆ และ ปัญหาการติดยึดกฎระเบียบกฎหมายต่างๆซึ่งเป็นปัญหาและโรคร้ายที่เกาะกินระบบประชาธิปไตยของตะวันตกในทุกวันนี้ รวมถึงเรื่องปัญหาอื่นๆ ด้วย
~ ในมุมมองทางการเมือง ชาวตะวันตกจำนวนมากคาดเอาเองว่าถ้าจีนมีการพัฒนาต่อไปและจำนวนชนชั้นกลางในระบบการปกครองของจีนเพิ่มในสัดส่วนที่สูงขึ้น การเมืองของจีนจะยิ่งทวีความขัดแย้งเพิ่มขึ้น แต่ข้อเท็จจริงในขณะนี้พบว่า กลุ่มชนชั้นกลางในจีนเป็นกลุ่มชนที่เห็นความสำคัญของเสถียรภาพทางการเมืองจีนสูงกว่ากลุ่มชนชั้นอื่นๆ กลุ่มชนชั้นกลางตระหนักดีว่า ระบบประชาธิปไตยของตะวันตกเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ความขัดแย้ง และการจลาจล ในหลายประเทศ
~ ชนชั้นกลางของจีนตระหนักดีว่าความมั่งคั่งร่ำรวยที่สะสมมาด้วยความยากลำบากในช่วงกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ได้รับการเอื้ออำนวยอย่างมาก จากความมั่นคงทางการเมืองที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปี ของจีน
~ ผมอาจพูดตรงๆ ได้ว่า ประเทศจีนในขณะนี้ ได้แสดงให้เราชาวตะวันตกเห็นชัดเจนว่า ไม่ควรอธิบายอย่างง่ายๆ ด้วยความหลงตัวเอง ที่ยกตัวเองเหนือกว่าขาติอื่น หรือ ให้ความหมายตื้นๆ ของคำเหล่านี้ คือ ก้าวหน้า (advanced) ความล้าหลัง (backwardness) ประชาธิปไตย (democracy) ระบบเผด็จการ (autocracy) สิทธิมนุษย์ชนสูง (high human rights) สิทธิมนุษย์ชนต่ำ (low human rights)
~ คำกล่าวปราศรัยข้อหนึ่งของผู้นำจีนบอกว่า เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล สำหรับชาวจีนทุกคน ที่จะมุ่งมั่น จริงจัง และทำให้ครอบครัวของพวกเขา เป็นครอบครัวที่รักชาติจีน ที่ในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกไม่สามารถทำได้
เรื่องที่สาม : บทความ “ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อสหรัฐอเมริกา คือ การมีสันติภาพในโลก”
ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อสหรัฐอเมริกาไม่ใช่จีน แต่เป็น สันติภาพ เพราะ
เมื่อมีสันติภาพในโลก : จะนำมาซึ่ง จุดจบของจักรวรรดิอเมริกันที่ชั่วร้าย ซึ่งสร้างขึ้นจากการยั่วยุ เพื่อก่อสงคราม และ เศรษฐกิจสงคราม เมื่อมีสันติภาพในโลก อเมริกันจะสูญเสียช่องทางทำเงิน
เมื่อมีสันติภาพ : พวกเขาไม่รู้ว่า ต้องทำอย่างไร หลายคนที่ถูกว่าจ้าง เพียงเพื่อก่อกวนให้เกิดสงครามจะต้องตกงาน
เมื่อมีสันติภาพ : ศูนย์อุตสาหกรรมทางทหารทั้งหมด จะต้องเลิกกิจการ
เมื่อมีสันติภาพ : ฐานทัพของอเมริกา ทั้งหมดในโลก จะถูกทิ้งไว้ให้ว่างเปล่าเช่นเดียวกับเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินทหาร ขีปนาวุธข้ามทวีป อาวุธทำลายล้างสูง และอุตสาหกรรมสงคราม ที่สนับสนุนทั้งหมดก็เช่นกัน
เมื่อมีสันติภาพ : การจ้างงาน ในอุตสาหกรรมผลิตอาวุธ จะกลายเป็นปัญหาอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมื่อเครื่องจักรสงครามของอเมริกาและ คนที่ดูแลและใช้มันต้องตกงานและไม่มีอะไรจะทำ
เมื่อมีสันติภาพ : เจ้าหน้าที่ CIA ที่ประจำอยู่ในสถานทูตต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย รวมทั้งหน่วยงาน CIA จะตกงาน
เมื่อมีสันติภาพ : ข่าวลวงทั้งหมดเกี่ยวกับภัยคุกคาม และความเป็นศัตรูจะกลายเป็นเรื่องตลก
เมื่อมีสันติภาพ : งบประมาณทางทหารเกือบ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจะฟุ่มเฟือยโดยสิ้นเชิง หากไม่มีสงครามและปราศจากศัตรู ไม่รู้จะมีงบประมาณนั้นไปทำไม
เมื่อมีสันติภาพในโลก : ชาวอเมริกันจะต้องสร้างงานให้ตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเองกลับมามีประโยชน์อีกครั้ง ในฐานะคนที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่พวกสัตว์สงครามและฆาตกร ไม่ใช่พ่อค้าอาวุธสงครามอีกต่อไป
เมื่อมีสันติภาพ : จะไม่มีใครซื้อสินค้า เครื่องจักรสงครามราคาแพงของพวกเขา ไม่ต้องการแก๊งทหารหรือพันธมิตรเพื่อความคุ้มครองอีกต่อไป
ข้อตกลงสันติภาพล่าสุด ระหว่างอิหร่าน และ ซาอุดีอาระเบีย ที่จีนเป็นนายหน้า กำลังถูกรัฐบาลอเมริกันประณาม โดยมองว่าการก่อสันติภาพเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของชาวอเมริกันโดยตรง
พวกโปรอเมริกันจึงพร้อมใจกันทำลายข้อตกลงสันติภาพนี้
นี่คือความชั่วร้ายของรัฐบาลอเมริกันที่พร้อมจะก่อสงครามและต่อต้านการมีสันติภาพบนโลกใบนี้
ความสงบสุขของโลกขัดต่อผลประโยชน์ของรัฐอเมริกัน จักรวรรดิชั่วร้ายที่เฟื่องฟูด้วยการยั่วยุก่อให้สงครามและความไม่มั่นคง และขายอาวุธเพื่อสังหารและทำลายล้างด้วยสงคราม
ข้อเสนอของจีนสำหรับการหยุดยิงในยูเครนและเพื่อเริ่มการเจรจาสันติภาพนั้นถูกประณามโดยรัฐบาลอเมริกัน และอเมริกันยังกล่าวอีกว่าไม่สามารถหยุดยิงได้
ชาวโลกตื่นรู้ถึงความชั่วร้ายของรัฐบาลอเมริกันมากขึ้น ทุกคนบนโลกนี้ต้องการสันติภาพ ยกเว้นรัฐบาลอเมริกัน
มีเพียงคนตาบอด และงี่เง่าเท่านั้น ที่ยังคงสนับสนุนรัฐบาลอเมริกันที่ชั่วร้ายด้วยวิธีที่โหดร้ายของปีศาจคลั่งสงคราม
บทความนี้ จริงเท็จทุกคนที่มีสติปัญญาตรองดูกันเอง ตัวใครตัวมัน กรรมใครกรรมมันไม่ต้องโต้กลับมา ไม่มีประโยชน์ ความจริงย่อมเป็นความจริง
เรื่องที่สี่ : นางหลู่ ซิ่วเหลียน (Lu Xiulian) อายุ 78 ปี อดีตรองประธานาธิบดีไต้หวัน ในยุคนายเฉิน สุยเปี่ยน เป็นประธานาธิบดี พูดจากก้นบึ้งหัวใจของเธอ
หลู่ ซิ่วเหลียน เตือน "ผู้บัญชาการทหารสูงสุด" ของไต้หวันว่า
“ลูกของคนอื่นจะถูกฆ่าเพราะคุณ ยูเครนมีประธานาธิบดีที่เห็นด้วยกับสหรัฐฯ เป็นผลให้ประเทศถูกนำเข้าสู่สงคราม ผู้คนนับล้านต้องพลัดถิ่นและจากนั้นความรับผิดชอบก็ถูกผลักให้กับการรุกรานของรัสเซีย
“ใช่ สิ่งที่เราเห็นแค่พื้นผิวคือ รัสเซียบุกยูเครน แต่กำเนิดของสงคราม ใครเป็นเหตุให้รัสเซียต้องเริ่มสงครามครั้งนี้
“วันนี้เป็นยูเครน พรุ่งนี้อาจจะเป็นไต้หวัน เมื่อถึงเวลา ข้าราชการระดับสูงในเวทีการเมือง ไปอยู่ที่ไหน? ลองคิดดู คุณต้องไปทำสงครามหรือไม่? ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเหล่านั้นลงคะแนนให้ใครบางคนส่งตัวเองไปที่สนามรบเพื่อต่อสู้กับสงครามที่ไม่ได้ตั้งใจจะต่อสู้”
ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของยูเครน กล่าวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่ายูเครนได้ขอให้กลุ่ม G7 ให้การสนับสนุนทางการเงินมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และกำลังพิจารณาออกพันธบัตรที่ไม่มีคูปองเพื่อช่วยชดเชยความสูญเสียที่เกี่ยวข้องกับสงครามในการขาดดุลงบประมาณหกเดือนข้างหน้า ครึ่งปีต่อจากนี้สมมุติว่ายูเครนชนะสงคราม แต่มูลค่าในการบูรณะเมืองใหม่นั้นยากต่อการประมาณการ
ในยูเครนมีประชากร 40 ล้านคน ผู้ลี้ภัย 10 ล้านคน ผู้คน 400,000 คนเป็นขอทานที่อาศัยอยู่ตามท้องถนน และคนชรา วัยกลางคน และคนหนุ่มสาวรุ่นที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ จะไม่มีชีวิตที่มีความสุขกับการว่างงาน และจะต้องใช้เวลา 20 ปีสำหรับชาวยูเครนในการสร้างประเทศขึ้นใหม่ในระดับก่อนสงคราม และอีก 20 ปีของความซบเซา หลังสงครามชาวยูเครนจะทำงานที่ไหน นอนที่ไหน สร้างใหม่อย่างไร จะอยู่รอดได้อย่างไร ใครจะช่วยพวกเขา หากคุณต้องการทราบอนาคตชีวิตในยูเครนไปที่ซีเรีย อิรักและอัฟกานิสถานหลังสงคราม
สงครามอิรักสิ้นสุดลงเป็นเวลา 30 ปี ถนนในแบกแดดตอนนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้มีขอทานอยู่กี่คนในอัฟกานิสถานและซีเรีย และใครจะช่วยพวกเขา อิรักยังมีน้ำมัน..ยูเครนมีอะไรบ้าง?
ยูเครนใช้คนทั้งเป็นและตายจำนวน 40 ล้านคนเพื่อสร้าง"ภาพลักษณ์อันยอดเยี่ยม" ของประธานาธิบดีเซเลนสกีแห่งยูเครน
เซเลนสกีได้รับเสียงปรบมืออย่างอบอุ่นในรัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกา รัฐสภาอังกฤษ และรัฐสภาญี่ปุ่น และกลายเป็นวีรบุรุษต่อต้านรัสเซียของค่ายตะวันตก แต่ชาวยูเครน 40 ล้านคนต้องแบกความสูญเสียขนาดไหน
สิ่งที่ฉันต้องการแสดงคือ เนื้อหาที่สำคัญในมุมมองของซุนหวู่เกี่ยวกับสงคราม จุดประสงค์ของการทำสงครามคือ"ปกป้องตัวเองและชนะอย่างสมบูรณ์"
เป็นการยากที่จะได้รับชัยชนะ 100 ครั้งในการรบร้อยครั้ง หากคุณฆ่าศัตรู 10,000 คน คุณจะสูญเสียเอง 3,000 คน หากคุณชนะ คุณจะประสบความสูญเสียมากมาย
เซเลนสกี้ เป็นฮีโร่ แต่เขาก็ยังเป็นคนโง่ บางทีเขาอาจจะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอเมริกา ชัยชนะของสงครามยูเครนเป็นชัยชนะของชาวอเมริกัน ไม่ใช่ยูเครน ประเทศยูเครนจะเต็มไปด้วยรูพรุน และชีวิตของผู้คนจะย้อนกลับไปถึง 40 ปี ต่อให้มีชัยชนะก็ขมขื่นเกินไปที่จะมาดีใจกับชัยชนะ
เรานึกถึงไต้หวันซึ่งมีชะตากรรมเหมือนกัน ในไต้หวันมี 23 ล้านคน และ 8.7 ล้านคนเลือกไช่ อิงเหวิน ในยูเครนผู้คนสามารถวิ่งเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านที่จะยอมรับพวกเขาเป็นผู้ลี้ภัย แต่พลเมืองไต้หวันจะหนีไปไหน วิ่งไปลี้ภัยบนท้องทะเลหลวงหรืออย่างไร
นักการเมือง สื่อ และชาวเน็ตของไต้หวัน ได้วาดภาพ ไช่ อิงเหวิน เป็นภาพพจน์ "สาวไต้หวันสุดฮอต" แต่เส้นทางที่คุณเดินไปและทำตามคำสั่งของสหรัฐฯ คือ วิถีแห่งสงคราม ทุกอย่างต้องมีเหตุและผล เพราะคุณกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งสงคราม ดังนั้นคุณจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาจากสงครามในไต้หวัน”
นี่คือความเห็นของนางหลู่ ซิ่วเหลียนอดีตรองประธานาธิบดีไต้หวัน หญิงเหล็กผู้มาก่อนกาลทั้งเป็นนักการเมืองไต้หวันสังกัดพรรคเดียวกับนางไช่ อิงเหวิน ที่กำลังนำพาไต้หวันไปสู่ความพินาศ ณ เวลานี้
“ท่านผู้ชมครับ นี้ไม่ใช่ความคิดของสนธิ ลิ้มทองกุล นะครับ เดี๋ยวจะหาว่าเป็นความคิดของผมผมเพียง แต่เอาความคิดของหลายๆ คนตั้งแต่ โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ ความเห็นของคอลัมนิสต์ที่มีชื่อในนิวยอร์กไทมส์ชื่อ โธมัส ฟรีดแมน บทความของต่างประเทศที่เขียนเรื่องสันติภาพว่าอเมริกากลัวที่สุดในโลกคือ "สันติภาพ" และความคิดเห็นของอดีตรองประธานาธิบดีไต้หวัน พรรคเดียวกับนางไช่ อิงเหวิน ที่พูดถึงเรื่องประเทศของเธอกำลังจะพินาศฉิบหาย เพราะนางไช่ อิงเหวิน เดินตามก้นอเมริกา” นายสนธิกล่าว