จับตาการเดินหมากของจีน หลัง “หม่า อิงจิ่ว” อดีต ปธน.ไต้หวันเดินทางเยือน มุ่งใช้ไม้อ่อนกับไต้หวัน หวังพรรคก๊กมินตั๋งชนะเลือกตั้งต้นปีหน้า ปูทางสู่การรวมชาติอย่างสันติ ขณะที่ “ไช่ อิงเหวิน” เดินทางไปอเมริกากลาง แล้วถือโอกาสแวะสหรัฐฯ ตามเกมอเมริกาที่หวังใช้ไต้หวันปิดล้อมจีน แต่ไต้หวันกลับสูญเสียพันธมิตร เพราะประเทศเหล่านั้นต้องการหนีจากอิทธิพลตะวันตก แล้วหันมาสู่เส้นทางการพัฒนาโดยหันมาคบกับจีน
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงสถานการณ์จีน-ไต้หวันซึ่งในช่วงต้นปีหน้าจะมีการเลือกตั้งที่ไต้หวัน ขณะที่จีนได้ใช้นโยบายการทูตใหม่รุกไต้หวัน
ทั้งนี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับจีน-ไต้หวัน 3เรื่อง ที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเรื่องแรกคือนายหม่าอิงจิ่วอดีตประธานาธิบดีไต้หวันเดินทางเยือนประเทศจีนซึ่งเป็นการเยือนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรกของอดีตประธานาธิบดีไต้หวันตั้งแต่มีการแบ่งแยกการปกครองกันเมื่อ 74ปีที่แล้ว
เรื่องที่สองคือนางไช่อิงเหวินประธานาธิบดีไต้หวันคนปัจจุบันเดินทางเยือนกัวเตมาลาและเบลีซซึ่งเป็นประเทศในอเมริกากลางแล้วจะถือโอกาสแวะสหรัฐอเมริกาและจะพบกับนายเควินแมคคาร์ธีประธานรัฐสภาของสหรัฐฯด้วย
เรื่องที่สามคือประเทศฮอนดูรัสประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันและจะกลับมาคบกับจีน
ถ้าเรามองสถานการณ์ทั้ง 3 เรื่องพร้อมกันและเรียงร้อยเข้าด้วยกันจะเห็นว่าลึกๆแล้วนี่คือกลยุทธ์หมากล้อมของจีน
การเดินหมากของจีนนั้นไม่ได้เดินแบบหมากรุกที่เดินชนแล้วก็เข่นฆ่ากันกับเบี้ยกับเรือกับม้าแต่เป็นการเดินหมากล้อม
ทั้งหมดนี้จีนทำเพื่อบรรลุเป้าหมายของการรวมชาติอย่างสันติแล้วก็เป็นคำพูดและเป็นหลักการปรัชญาที่ไม่มีวันหายไปจากประเทศจีนก็คือการรวมไต้หวันนั้นเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ซึ่งจะต้องเป็นจริงได้และสามารถทำให้เป็นจริงได้เพราะว่าเมื่อกองทัพปลดแอกประชาชนเข้าไปยึดประเทศจีนแล้วขับไล่ไต้หวันออกจากประเทศจีนนั้นภารกิจสุดท้ายยังคงเหลืออยู่ก็คือรวมไต้หวันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนนั้นกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน
จีนแผ่นดินใหญ่ต้องการเห็นการผลัดเปลี่ยนอำนาจในไต้หวันจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของนางไช่อิงเหวินที่มีจุดยืนที่จะแยกไต้หวันให้เป็นเอกราชจีนหวังว่าพรรคก๊กมินตั๋งซึ่งมีท่าทีเป็นมิตรกับจีนจะชนะการเลือกตั้งได้ปกครองไต้หวัน
“หม่า อิงจิ่ว” เยือนจีนแผ่นดินใหญ่
กลับมาที่หม่าอิงจิ่วเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงเวลา 8ปีที่หม่าอิงจิ่วเป็นผู้นำไต้หวันความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ถือว่าดีที่สุดในประวัติศาสตร์มีอะไรบ้าง
มีการเปิดเที่ยวบินตรงระหว่างกันไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงหรือญี่ปุ่นเหมือนในอดีตชาวไต้หวันสามารถจะไปเยือนญาติของตัวเองที่แผ่นดินใหญ่จีนนักศึกษาจากจีนได้ทุนการศึกษามาเรียนที่ไต้หวันมากกว่า 8หมื่นคนนักธุรกิจไต้หวันไปทำมาค้าขายในจีนอย่างมากมายได้รับสิทธิเทียบเท่ากับชาวจีนไม่ถูกจำกัดเงื่อนไขการลงทุนว่าเป็นนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้นักท่องเที่ยวจีนก็ไปเที่ยวไต้หวันเยอะแยะไปหมดธุรกิจเกี่ยวข้องทั้งบริษัททัวร์โรงแรมร้านค้าต่างๆในไต้หวันมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนยิ่งกว่าประเทศไทยในตอนนี้ที่นักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลมาอย่างมากมายเพราะการเดินทางจากจีนไปไต้หวันใช้เวลาน้อยกว่าแล้วยังพูดภาษาจีนกลางซึ่งกันและกันได้
หม่าอิงจิ่วได้เคยพบกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2558ที่สิงคโปร์เป็นการพบกันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างผู้นำ 2 ดินแดนระหว่างที่ยังคงอยู่ในอำนาจด้วยกันทั้งคู่
แต่พอหลังจากนางไช่อิงเหวินมาเป็นผู้นำไต้หวันความสัมพันธ์กับจีนกลับเสื่อมทรุดลงอย่างมากจนช่องแคบไต้หวันถูกสื่อมวลชนต่างชาติเช่นหนังสือ The Economistเขียนว่าเป็นพื้นที่อันตรายที่สุดในโลก
หม่าอิงจิ่วเป็นคนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันอย่างดีที่สุดเขาเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องกิจการจีนมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่มก่อนเขาออกเดินทางไปจีนเขาบอกว่า “ผมรับผิดชอบเรื่องกิจการจีนตั้งแต่อายุ 37วันนี้ผม 73ปีแล้วผมรอคอยมานานถึง 36ปีถึงมีโอกาสไปเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ผมจะไปคารวะบรรพชนของผมนำนักศึกษาไต้หวันไปแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาจีนหวังว่าจะให้คนรุ่นใหม่แก้บรรยากาศของความแตกแยกและนำสันติภาพมาสู่สองประเทศโดยเร็ว”
ฝ่ายจีนเองก็ต้องการให้นายหม่าอิงจิ่วมาเยือนตั้งแต่เขาพ้นตำแหน่งผู้นำไต้หวันเมื่อปี 2559แต่นางไช่อิงเหวินออกคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศนานถึง 5ปีอ้างถึงเรื่องความลับของชาติและความมั่นคง
รอบนี้นายหม่าอิงจิ่วเดินทางเยือนจีนครั้งนี้ระหว่าง 27มีนาคมถึงวันที่ 7เมษายนประมาณ 11-12วัน เขาจะไปเมืองนานจิงอู่ฮั่นฉางซาฉงชิ่ง (อยู่ในมณฑลเสฉวน)และเซี่ยงไฮ้
นอกจากเขาไปคารวะบรรพบุรุษของเขาเยี่ยมสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวแล้วเขายังจะไปเยือนสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในช่วงของการสถาปนาสาธารณรัฐจีนเขาจะไปเยี่ยมอนุสรณ์สถานของซุนยัตเซ็นหรือที่ภาษาจีนกลางเรียกว่าซุนจงซานที่ทั้งฝ่ายก๊กมินตั๋งและฝ่ายจีนให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลสำคัญของชาติ
นอกจากนี้เขายังจะไปเยือนสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสงครามต่อต้านญี่ปุ่นโดยเฉพาะเมืองนานจิง
นัยของการเยือนสถานที่ประวัติศาสตร์ครั้งนี้เพื่อแสดงว่าพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์จีนเคยร่วมมือกันต่อต้านญี่ปุ่นมาก่อนเหมือนจะสื่อว่าในอดีตเคยร่วมมือกันวันนี้และวันหน้าก็สามารถจะร่วมมือกันได้
เรื่องที่ญี่ปุ่นรุกรานจีนรัฐบาลนางไช่อิงเหวินกลับหันไปพึ่งพาญี่ปุ่นอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะที่เสียชีวิตไปแล้วเคยกล่าวว่าไต้หวันมีภัยญี่ปุ่นต้องช่วยเหลือส่วนนายฟูมิโอะคิชิดะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็พูดว่าวันนี้ยูเครนวันหน้าไต้หวัน
ถึงแม้ว่านายหม่าอิงจิ่วจะไม่มีกำหนดการเยือนกรุงปักกิ่งหรือพบปะหารือกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงแต่คาดว่ารัฐบาลปักกิ่งจะส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาพบเขาอาจจะเป็นนายหวังฮู่หนิงประธานสภาปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติจีนซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงมากหรือนายติงเซวียเสียงรองนายกรัฐมนตรีและที่สำคัญเขาเป็นคนสนิทของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง
นอกจากอดีตประธานาธิบดีหม่าอิงจิ่วในปีนี้จะมีบุคคลสำคัญในวงการต่างๆของไต้หวันที่จีนวางแผนเอาไว้เชิญมาเยือนจีนอย่างมากมายทั้งองค์กรภาคเอกชนนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆตัวแทนด้านวัฒนธรรมกลุ่มการเมืองต่างๆซึ่งอาจจะรวมถึงสมาชิกพรรคการเมืองของนางไช่อิงเหวินด้วย
ตัวแทนของไต้หวันเหล่านี้จะได้รับการต้อนรับจากจีนอย่างดีเพื่อแสดงถึงไมตรีจิตเป็นการซื้อใจเพื่อให้มาเป็นแนวร่วมกับจีนซึ่งแน่นอนที่สุดจะต้องส่งผลแน่นอนในการเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อต้นปี 2567
ไช่ อิงเหวิน แวะสหรัฐฯ ระหว่างเยือนอเมริกากลาง
ในเวลาเดียวกันนางไช่อิงเหวินก็ออกเดินทางไปกัวเตมาลาและเบฃีซประเทศในอเมริกากลางแต่เป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้คืออเมริกาแต่ตามนโยบายจีนเดียวที่อเมริกาให้การรับรองทำให้ผู้นำไต้หวันไม่สามารถเดินทางเยือนสหรัฐฯอย่างเป็นทางการได้ทำได้เพียงแค่แวะพักเท่านั้น
คาดว่าการแวะที่สหรัฐฯไช่อิงเหวินจะได้พบกับนายเควินแมคคาร์ธีประธานรัฐสภาสหรัฐฯซึ่งฝ่ายจีนได้แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งเพราะการพบปะกันเช่นนี้เป็นการท้าทายจีนเหมือนกับนางแนนซีเพโลซีอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเคยเดินทางไปเยือนไต้หวันและหลังจากนั้นกองทัพจีนก็ได้ทำการซ้อมรบปิดเกาะไต้หวันอยู่นานหลายสัปดาห์เพื่อตอบโต้
ตั้งแต่เกิดสงครามยูเครนสหรัฐฯและชาติตะวันตกก็ได้ส่งนักการเมืองมาเยือนไต้หวันอย่างไม่ขาดสายเหมือนกับกำลังจะแสดงออกว่าไต้หวันจะต้องเป็นสมรภูมิที่ 2 นอกเหนือจากยูเครนหรือเมื่อยูเครนมีแนวโน้มว่าจะพ่ายต่อรัสเซียแล้วอเมริกาจะทุ่มสรรพกำลังทั้งหลายเพื่อมาก่อหวอดที่เกาะไต้หวันให้พื้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไม่สงบแล้วเป็นการปิดล้อมจีนไปโดยปริยาย
เรื่องทั้งหมดนี้อเมริกาพยายามเขียนเสือให้วัวกลัวว่าจีนวางแผนจะบุกไต้หวันในเร็ววันนี้ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง CIAนายวิลเลียมเบิร์นพูดว่าจีนจะบุกไต้หวันประมาณปี 2570หรืออีกประมาณ 4ปีข้างหน้าส่วนนายแอนโทนีบลิงเคนก็ให้การสนับสนุนการทำนายทายทักของผู้อำนวยการ CIAและเขาพูดเองเลยว่าเขาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯที่ลงนามจำหน่ายอาวุธในไต้หวันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
แต่ในความเป็นจริงนั้นจีนไม่เคยประกาศตารางเวลาหรือกำหนดการในการบุกไต้หวันจีนเพียงแต่ยืนยันในหลักการ "รวมชาติอย่างสันติ"แต่มีข้อยกเว้นว่าจะไม่ยอมสละสิทธิ์ในการใช้กำลังถ้าหากมีความจำเป็น
ในการแถลงข่าวครั้งแรกของนายฉินกังรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของจีนนั้นนายฉินกังเรียกไต้หวันว่าเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตพร้อมกับเตือนไต้หวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งนางไช่อิงเหวินว่าอย่าประเมินศักยภาพของกองทัพจีนต่ำเกินไปเขาบอกด้วยว่าถ้าเกิดสงครามจริงอเมริกาเองนั่นล่ะจะเป็นคนทำลายไต้หวันก่อนที่กองทัพจีนจะบุกไต้หวัน
เมื่อดูมาถึงวันนี้แล้วจะเห็นได้ว่าท่าทีจีนแบ่งบทกันเล่นมีทั้งไม้แข็งไม้นวมคือยึดหลักการรวมชาติอย่างสันติแต่จะไม่สุมไฟสร้างความขัดแย้งเพื่อไม่ให้ชาติทางตะวันตกมุ่งจะขายอาวุธให้ไต้หวันรวมทั้งไม่ให้พรรคการเมืองในไต้หวันจุดกระแสภัยคุกคามจากจีนเพื่อหาประโยชน์ทางการเมืองโดยเฉพาะในช่วงก่อนการเลือกตั้ง
เพราะฉะนั้นในช่วงนี้จีนจะใช้ไม้อ่อนตลอดเวลาเพื่อต้อนรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนมีนาคมปีหน้าผลของการเลือกตั้งเป็นอย่างไรค่อยกำหนดยุทธวิธีและยุทธศาสตร์การเดินหน้ารวมไต้หวันอีกทีหนึ่ง
สัมพันธ์ “จีน-ไต้หวัน” ย่ำแย่ ทำงบกลาโหมยุค ไช่ อิงเหวิน พุ่งกระฉูด
การยุติความสัมพันธ์ของไต้หวันกับฮอนดูรัสทำให้ไต้หวันเหลือพันธมิตรแค่ 13ชาติส่วนจีนมี 181ชาติที่มีความสัมพันธ์ทางการทูต ในยุคของประธานาธิบดีไช่อิงเหวินไต้หวันสูญเสียพันธมิตรมากถึง 8ประเทศที่ยุติความสัมพันธ์กับไต้หวัน
กระทรวงการต่างประเทศของไต้หวันประกาศใช้ข้ออ้างว่าการที่ฮอนดูรัสตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันเพราะว่ามันเป็นการทูตแห่งเงินตราโดยกล่าวหาว่าฮอนดูรัสรีดไถเงินไต้หวันมากเกินไป
ความเป็นจริงที่ย้อนแย้งก็คือว่าในยุคนางไช่อิงเหวินไต้หวันสูญเสียชาติพันธมิตรไปมากมายแต่ใช้งบประมาณด้านการต่างประเทศงบกลาโหมงบสืบราชการลับเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
ในยุคที่หม่าอิงจิ่วเป็นประธานาธิบดีไต้หวันรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตไว้ได้บทบาทในเวทีต่างประเทศก็มีมากขึ้นไต้หวันได้เคยเป็นผู้สังเกตการณ์ในสมัชชาอนามัยโลกได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)งบประมาณด้านการต่างประเทศและกลาโหมกลับลดลงในยุคหม่าอิงจิ่ว
สมัยของหม่าอิงจิ่วงบประมาณต่างประเทศเขาใช้อยู่ 24,000ล้านเหรียญไต้หวันแต่รัฐบาลไช่อิงเหวินใช้งบประมาณต่างประเทศกว่า 3หมื่นล้านเหรียญไต้หวันส่วนงบกลาโหมเพิ่มขึ้นในยุคของนางไช่อิงเหวิน2 เท่าตัวงบสืบราชการลับก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
รัฐบาลของนางไช่อิงเหวินและชาติตะวันตกอ้างว่าจีนหว่านเงินซื้อชาติพันธมิตรของไต้หวันเพื่อบีบพื้นที่ไต้หวันบนเวทีโลกให้แคบลงเรื่อยๆแต่หมากล้อมของจีนลึกลับซับซ้อนกว่านั้นมาก
ชาติที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันล้วนแต่เป็นประเทศในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ในหมู่เกาะแปซิฟิกประเทศเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอเมริกาและออสเตรเลียการทำให้ประเทศเหล่านี้มารับรองจีนไม่ใช่แค่ทำให้ไต้หวันเสียหน้าหรือเสียพันธมิตรแต่เป็นการลดทอนอิทธิพลของอเมริกาและออสเตรเลีย
ตัวอย่างฮอนดูรัสที่เพิ่งจะยกเลิกความสัมพันธ์กับไต้หวันแล้วมาอยู่ภายใต้จีนหนึ่งเดียวก็คือจีนแผ่นดินใหญ่
ฮอนดูรัสถูกอเมริกาแทรกแซงจนมีรัฐประหารความวุ่นวายแก๊งมาเฟียจนพัฒนาเศรษฐกิจไม่ได้ขายได้แค่เมล็ดกาแฟกล้วยอาหารทะเลสิ่งที่ฮอนดูรัสต้องการไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลือสร้างโรงพยาบาลสร้างเขื่อนแต่คือการพัฒนาเศรษฐกิจโดยเชื่อมโยงกับประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2ของโลก
ประเทศแบบเดียวกับฮอนดูรัสยังมีอีกมากมายประเทศเหล่านี้ถูกมหาอำนาจตะวันตกแทรกแซงและสูบทรัพยากรมาตลอดการที่มายืนเคียงข้างจีนไม่ใช่เพราะการทูตเงินตราอย่างที่รัฐบาลนางไช่อิงเหวินกล่าวหาแต่เป็นการเดินออกจากการครอบงำทางตะวันตกเข้าสู่เส้นทางการพัฒนา
“จีนและไต้หวันเคยทำข้อตกลงร่วมกันเรียกว่าฉันทามติปี 1992เป็นหลักการพื้นฐานที่มีความสัมพันธ์แบบ "แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง"ความขัดแย้งที่คุกรุ่นขึ้นเพราะนางไช่อิงเหวินไม่ยอมรับฉันทามติ 1992และชักศึกเข้าบ้านให้ต่างชาติมาแทรกแซงบีบให้จีนต้องมีท่าทีแข็งกร้าว
“จีนยืนยันมาตลอดว่าเรื่องของจีน-ไต้หวันเป็นเรื่องในบ้านเหมือนพี่น้องที่ทะเลาะกันแล้วแยกบ้านออกไปซึ่งต้องหาทางคุยกันเองระหว่างคนจีนด้วยกันไม่ใช่ให้คนนอกอย่างอเมริกาหรือตะวันตกหรือญี่ปุ่นมายุแยงตะแคงรั่วและหาผลประโยชน์จากความขัดแย้ง” นายสนธิกล่าว