xs
xsm
sm
md
lg

"ทนายตั้ม" แฉ 2 นายพลตำรวพร้อมนายบ่อนถือถุงเงินให้ “ชูวิทย์” ยันต้องเอารองเลขาฯ ปปง.ออกจากราชการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ทนายตั้ม” ตั้งโต๊ะแถลง เดินหน้าแฉ “ชูวิทย์” ต่อ ไม่หวั่นคำขู่ฟ้องเรียกเงิน 100 ล้าน พร้อมเปิดชื่อ 2 นายตำรวจพร้อมนายบ่อนนำถุงเงิน 6 ล้านบาทของ “สารวัตรซัว” ไปมอบให้ที่โรงแรมเดวิส ยันต้องเอารองเลขาฯ ปปง.ออกจากราชการ

วันนี้ (27 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่สำนักงาน sittra law firm ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ แถลงเปิดโปง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ว่ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์จากอดีตข้าราชการตำรวจเพิ่มเติมว่า ตามที่ชูวิทย์กล่าวอ้างไปให้ถึงโรงแรม โดยชื่อแรกคือ พล.ต.ท.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ อดีตตำรวจ ส่วนคนที่ 2 ชื่อ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ เป็นรองเลขาธิการ ปปง.

นายษิทรากล่าวว่า นายชูวิทย์มีความสนิทสนมกับตำรวจทั้ง 2 นาย มีนายหนึ่งเคยเป็นผู้บังคับการภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนอีกนายดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ปปง.ซึ่งตัวเองก็รู้จักกันดี เพราะเป็นผู้ทำคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ และยังมีความสนิทสนมกับสารวัตรซัวชนิดที่ไปไหนมาไหนกันได้ อดีตตำรวจนายนี้เองเป็นผู้นำเงินสารวัตรซัวมามอบให้นายชูวิทย์ เพื่อปิดปากการแฉเรื่องลาลิซ่าอาบอบนวดด้วยตัวเอง ซึ่งในวันนั้น นอกจากตำรวจ 2 นาย ยังมีเจ้าของบ่อนพนันย่านพระราม 3 ที่มีตำรวจถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย โดยเรื่องนี้น่าเชื่อได้ว่าอดีตตำรวจทั้งสองนายนี้ได้รับอนุญาตจากสารวัตรซัวให้นำเงินมามอบแก่นายชูวิทย์ โดยรูปถุงเงินดังกล่าวนั้นเป็นการส่งงานให้กับเจ้าของเงินอีกครั้ง โดยผู้นำมาให้ต้องการแสดงให้เห็นว่าเงินถึงมือแล้ว

นายษิทราเผยอีกว่า ส่วนตัวยังมองว่าหากนำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เคยเป็นต้นสังกัดของอดีตตำรวจทั้งสองนาย การตรวจสอบก็คงไม่เกิดขึ้น แต่ขณะนี้กำลังเตรียมทำเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบในวันพรุ่งนี้ (28 มี.ค.) ยืนยันว่าเจตนาที่ออกมาแฉนั้นเพราะต้องการทำให้รองเลขาฯ ปปง.ออกจากราชการให้ได้ และจะให้ตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินสกุลดิจิทัลกว่า 50 ล้านบาท ที่โอนเข้าไปให้ลูกชายนายชูวิทย์ ซึ่งตัวเองพร้อมไปให้ข้อมูลด้วยตัวเอง

พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัวตามที่นายชูวิทย์กล่าวหา ก่อนจะโพสต์ภาพทำบุญและสาปแช่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะตัวเองไม่ยุ่งกับคนเหล่านี้ พร้อมสาบานหากตนรับเงินจากฝ่ายใดก็ตามมาโจมตีนายชูวิทย์ ขอให้ตัวเองล่มสลายและมีอันเป็นไป ส่วนพรรคการเมืองที่นายชูวิทย์โจมตีอยู่นั้นก็ยังฟ้องร้องตัวเองเช่นกัน ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง แต่สาเหตุที่ตัวเองนำเรื่องราวมาเปิดเผยด้วยวิธีนี้ไม่ไปพูดคุยกับนายชูวิทย์ก่อน มองว่าหากนำหลักฐานต่างๆ ไปนั่งพูดคุยกันโดยตรง นายชูวิทย์ก็คงไม่ยอมรับ ตนเพียงแค่อยากให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำเท่านั้น ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ขอแนะนำว่าหากไม่มีหน่วยงานใดรับเงินบริจาคสีเทาดังกล่าว ขอให้ไปคืนกับอดีตสองตำรวจที่นำมาให้

สำหรับประเด็นที่นายชูวิทย์ฟ้องร้องเอาผิดตนเองฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายคดีละ 100 ล้านบาทนั้น นายษิทรายืนยันพร้อมจะพิสูจน์ตามขั้นตอนกฎหมาย หากแพ้คดีก็ต้องฟ้องร้องให้ตนล้มละลายเพราะไม่มีเงินขนาดนั้น ส่วนตัวเองก็นับถือทนายอนันตชัย ไชยเดช ทนายความของนายชูวิทย์ ในฐานะรุ่นพี่ ไม่มีความกังวลใดเพราะตนไม่เคยแพ้คดีหมิ่นประมาท

นอกจากนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าตัวเองจับมือกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอดนั้น นายษิทรายอมรับว่าเพิ่งรู้จักกับนายเอกภพไม่นาน ก่อนนัดหมายไปรับประทานข้าวร่วมกันกับคนมีชื่อเสียง จนมีภาพไปปรากฏตามสื่อโซเชียลต่างๆ ยืนยันไม่เคยนำเรื่องดังกล่าวไปพูดคุยกับนายเอกภพ เพราะเกรงจะถูกนำไปเปิดเผยก่อน

นายษิทรากล่าวถึงกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ แจ้งความสองอดีตตำรวจดังกล่าวว่า ตัวเองขอชื่นชมที่กล้าออกมาเปิดเผยข้อมูล และขอขอบคุณ ซึ่งอาจเป็นครั้งเดียวหรือครั้งสุดท้าย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยยอมรับการทำงานของนายอัจฉริยะ เพราะเคยมีคดีฟ้องร้องกันอยู่

สำหรับกรณีจเรตำรวจเรียกไปให้ข้อมูลเรื่องนายพล จ.ซึ่งเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัวนั้น ที่ผ่านมาคณะกรรมการเคยนัดเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมาแล้วขอเลื่อนเนื่องจากคณะกรรมการอยู่ไม่ครบ หลังจากนั้นก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย ทั้งที่ตนพร้อมตลอดเวลา จนทุกวันนี้ยังไม่สามารถเข้าชี้แจงได้ ล่าสุดนายษิทราได้ต่อสายโทรศัพท์ขณะที่สื่อมวลชนกำลังสัมภาษณ์เพื่อขอให้นัดวันที่จะไปให้ข้อมูลอีกครั้ง

ในช่วงท้ายของการแถลงแฉชูวิทย์ ทนายตั้มบอกว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยบอกว่า 3 คนที่ตนเองจะไม่ปะทะด้วยคือ 1. นายสนธิ ลิ้มทองกุล 2. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส 3. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พร้อมกับฝากถึงนายชูวิทย์ว่า หากนายชูวิทย์ฟ้องเรียก 100 ล้านบาท ตนคงไม่มีให้คงต้องฟ้องล้มละลายเท่านั้น และยังคิดอยู่ว่าจะฟ้องกลับชูวิทย์หรือไม่เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด

นายษิทราฝากไปถึงนายชูวิทย์ว่า “ขอพี่ชูวิทย์อย่าฟ้องผมเลย ผมเป็นแค่ทนายเล็กๆ เอาตามหลักฐานนี้แหละเพราะผมโดนฟ้องมาตลอด ผมจะเอาเงินมาจ่ายจากไหน ถ้าผมทำอาบอบนวดอาจมีเงินให้ก็ได้ สำนักงานกฎหมายรายได้อย่างเก่งก็ 1-2 ล้าน ผมมีไม่ถึงหรอก”








กำลังโหลดความคิดเห็น