xs
xsm
sm
md
lg

“ธนาสุทธิ์ วุฒิวิชัย” โฆษกเจ้าของเสียง "สิ้นสุดการรอคอย" ที่เป็นเอกลักษณ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชื่อได้เลยว่า หลายคนที่เคยฟังสปอตโฆษณาหนังแอ็คชั่นหรือหนังฟอร์มยักษ์เรื่องต่างๆ หรือแม้กระทั่งชิ้นงานอื่นๆ ก็คงคุ้นเคยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เป็นอย่างดี แบบตั้งใจหรือไม่ก็ตามที โดยเฉพาะประโยคเริ่มต้นที่ว่า ‘สิ้นสุดการรอคอย’ นั้น จะต้องมีการนึกถึงก่อนลำดับแรกๆ

จากจุดเริ่มต้นของการทำงานที่คิดเพียงแค่ว่าเป็นแค่งานเสริมเล็กๆ ขำๆ ที่ทำครั้งเดียวแล้วจบงานไป และมาแค่ช่วยคุณพ่อทำงานด้านโฆษณาเพียงเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าได้ทำให้ “ธนาสุทธิ์ วุฒิวิชัย” ได้สืบทอดเจตนารมณ์ ทางด้านโฆษณาจากผู้เป็นพ่อ ต่อยอดความเป็นนักคิดสร้างสรรค์คำโฆษณาของ สุชาติ วุฒิวิชัย ผ่านการเป็นนักโฆษกที่ได้ยอมรับกว่า 33 ปี จากน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา


 อยากให้คุณช่วยเล่าถึงช่วงชีวิตตัวเองตั้งแต่วัยเด็กจนถึงช่วงก่อนทำงานมาพอสังเขปครับ

ก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาครับ ชั้นประถมก็เรียนที่โรงเรียนศรีวิกรม์ อยู่ที่นั่นจนถึง ป.5 จนกระทั่งคุณพ่อก็ย้ายบ้านจากหัวหมาก ย้ายมาอยู่ที่แจ้งวัฒนะ เลยต้องย้ายโรงเรียนมาเรียนต่อที่โรงเรียนเซนต์จอห์น ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีเซ็นทรัลลาดพร้าวเลย (หัวเราะเบาๆ) แถวนั้นยังเป็นป่าเป็นทุ่งหญ้า ทางด่วนในเมืองไทยก็ยังไม่มี จนจบ มศ. 3 ทางบ้านก็ส่งผมไปเรียนต่อที่อเมริกา ไปเรียนต่อไฮสคูลที่นั่น จนถึงช่วงปริญญาตรีที่นิวยอร์ค ทางด้านบริหารธุรกิจทั่วไป อยู่ที่นั่นประมาณเกือบ 9 ปี เราก็กลับมาเมืองไทยในปี 1989 ก็มาช่วยงานคุณพ่อในบริษัทโฆษณา เป็นครีเอทีฟเฮาส์เล็กๆ ส่วนตัว

คือคุณพ่อในตอนนั้นก็ถือว่าเป็นท็อปของ creative Director ของบ้านเรา ในยุคของท่านนะครับ ท่านเลยให้มาช่วยงานในบริษัทส่วนตัว แล้วก็คอยผลักดันให้ผมอ่านสปอตโฆษณา เพราะตอนนั้นท่านก็ถือว่าเป็นโฆษกอ่านโฆษณาชั้นแนวหน้าด้วย ณ เวลานั้น

แล้วในช่วงที่เติบโตมา มีความฝันที่จะทำงานในด้านนี้ด้วยมั้บครับ

ตอนนั้นเราก็คิดนะครับว่ามีอาชีพนี้ด้วยเหรอ เพราะในสมัยก่อนอาชีพนี้ไม่มีเลยซึ่งคุณพ่อน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่เริ่มต้นของอาชีพโฆษก ให้เป็นที่แพร่หลายในบ้านเรา คืออาชีพโฆษกในการอ่านโฆษณาช่วงนั้นก็ถือว่าเป็นอาชีพปิด ไม่เหมือนกับยุคปัจจุบันที่เป็นอาชีพเปิด และกลายเป็นว่า หลายคนเป็นจำนวนมากอยากจะมาทำงานด้านนี้ เพราะว่าหนึ่งมันจะเป็นงานที่รายได้ดี สอง คิดว่าเป็นงานที่ไม่น่าจะยาก เพราะพูดภาษาไทยได้อ่านหนังสือออก และมีเนื้อเสียงที่ใช้ได้ซึ่งก็คิดว่าน่าจะทำได้ แต่ปรากฏว่าเป็นงานที่ปราบเซียนเหมือนกันนะครับ มันไม่ใช่เป็นงานที่หมู หรือง่ายอย่างที่คิดไว้เลย

ซึ่งช่วงวัยเด็กของคุณเอง ก็ถือว่าได้คลุกคลีในการทำงานตรงนี้ไปด้วย

คือเราเห็นคุณพ่อทำงานด้านโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการตั้งชื่อหนังภาษาไทย วางแคมเปญโฆษณา หรือคิดสโลแกนโฆษณาต่างๆ ก็ได้เห็นการทำงานของท่านในวัยเด็กก่อนที่จะไปเรียนต่อเมืองนอก พอเรากลับมาก็ยังได้เห็นการทำงานของท่านในฐานะนักโฆษณา เป็น creative Director แต่จะไม่เห็นการทำงานของท่านในฐานะโฆษก ก็เป็นช่วงที่เรากลับมาจากเมืองนอกประมาณเกือบๆปี ที่คุณพ่อมาบอกกับเราว่ามาเริ่มฝึกดีกว่า แกเริ่มส่งงานที่ได้รับมา บอกว่าให้ลูกชายลองอ่านดู เพราะเนื้อเสียงของแกกับเรามีความใกล้เคียงกัน เราก็เลยมีอาชีพนี้จากตรงนั้น


ก่อนหน้านั้น มองอาชีพโฆษกว่ายังไงบ้างครับ

เรียกว่าไม่ได้มองเป็นอาชีพเลยดีกว่า คิดว่าเป็นงานทั่วๆไป ที่ไม่สามารถทำเป็นงานหลักได้ เป็นงานเป็นจ๊อบๆไป ในยุคต้นๆ ของการทำงานนะครับ แต่จนมาเริ่มเป็นที่รู้จักมีงานมากขึ้นในยุคนั้น ที่หลังจากนั้นมีงานมาตลอด มันก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นอาชีพได้ สามารถหารายได้ให้เรามี ปัจจัย 4 ได้ในที่สุดครับ อีกอย่าง เราเพิ่งจบจากอเมริกามาก็ไม่ประสาว่าจะมีงานแบบนี้ด้วย อย่างช่วงที่ก่อนไปเรียนต่อที่อเมริกาเราก็ได้เห็นคุณพ่อนั่งอ่านสปอทโฆษณา แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำแยกเป็นอีกหนึ่งจ๊อบได้ เพิ่งมาทราบหลังจากที่เราทำไปได้สักพักหนึ่ง

มองในมุมหนึ่ง ถือว่าสืบทอดเจตนารมณ์ของคุณพ่อด้วย

ถือว่าเป็นความโชคดีก็ถือว่าเป็นการสืบทอด เพราะว่า หนึ่ง เนื้อเสียงของคุณพ่อใกล้เคียงกับเรา แต่ช่วงที่เริ่มต้นอ่าน เรายังหาสไตล์ของตัวเองไม่เจอ เราก็เลียนแบบคุณพ่อไป จนกระทั่งเราทำงานตรงนี้ไปได้ประมาณ 2 ปีถึงจะเริ่มจากจุดได้ว่าสไตล์ตัวเองจะเป็นประมาณนี้ แล้วคุณพ่อก็จะเป็นอีกประมาณนึงเพราะตอนที่กลับมาใหม่ๆ ยังหาตัวตนไม่เจอ ถึงขนาดที่ยังเลียนแบบการแต่งตัวของคุณพ่อเลย คือท่านจะมีชุดเดียว คือเป็นเสื้อขาว มีกระเป๋า และเป็นเสื้อคอกลม และเป็นกางเกงขาว ผมก็เลยแต่งตัวเป็นแบบท่านบ้าง ตอนแรกก็ยืมแกใส่แต่เวลาต่อมาก็ถึงขั้นตัดเองเลย คือแต่งตัวอยู่อย่างนั้นพักใหญ่เลย จนเวลาต่อมาที่จับจุดของตัวเองว่าชุดขาวนี่มันคล้ายกับเจได แต่ลักษณะผมมันคล้ายดาร์ธ เวเดอร์ เลยกลายเป็นอีกฝั่งนึง คือช่วงปลาย 90 จนถึงต้น 2000 ผม ผมจะคล้ายๆ Men in Black อันนี้ก็เปรียบเทียบแบบขำๆ นะครับ (หัวเราะเบาๆ)

พอเข้าสู่อาชีพนี้อย่างจริงจัง แน่นอนว่าก็ต้องฝึกหนักตามไปด้วย

ใช่ครับ ฝึกหนักเลย คือเรามีการฝึกฝนอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งอ่านป้ายโฆษณาซึ่งในทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ แล้วนอกจากงานโฆษณาแล้วเนี่ย มันก็ยังมีงานในลักษณะอื่นๆ อย่างช่วงที่เราทำงานไปได้สักพักนึงมันก็จะมีงานลักษณะวิดีโอ presentation เยอะมาก จากทั้งองค์กรตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ทุกบริษัทจะต้องมี Corporate Video มีวีดีโอขององค์กรว่า “บริษัทจุดๆๆ ก่อตั้งขึ้น…” บรรยายเสียงประมาณว่าประธานบริษัทเป็นใคร ธุรกิจกิจการนี้ทำอะไร หรือมีการเติบโตขึ้นยังไง ทำ CSR ยังไง แล้วเราจะก้าวต่อไปยังไง ซึ่งในยุคนั้นเนี่ย การอ่านสปอทแบบนี้ถือว่าเยอะมาก แล้วก็ยาวหลายหน้า แถมสไตล์การอ่านก็มีความหลากหลาย ฉะนั้น ผมก็ต้องมีการฝึกการอ่านแบบนี้ด้วยซึ่งไม่ใช่ในลักษณะโฆษณาอย่างเดียว

อย่างที่เคยให้สัมภาษณ์ไปเรื่อยๆว่า อ่านเร็ว อ่านช้า เปลี่ยนอารมณ์ รูปแบบประโยคเดียวกัน จากเนื้อหาที่เป็นรับซาบซึ้งให้เป็นบู๊ล้างผลาญยังไง ซึ่งเป็นการฝึกตัวเองให้สามารถไร้ตัวตน อย่าไปยึดว่าตัวเราเป็นแบบนี้แล้วอ่านสไตล์นี้ตลอด เรียกว่าตัวผมของผม ตัดไปเลย คือเราทำงานก็มีคนเคยบอกเหมือนกันนะว่า พี่หนูทำงานเอาแต่ใจลูกค้า แต่ส่วนตัวผมกลับมองว่าเขาเป็นคนจ้างงานเรา เขาเป็นคนให้สตางค์เรา เราโชคดีขนาดไหนที่เขานึกถึงเราต้องใช้คำว่าเชิญเราไปอ่านหนังสือให้เขาฟัง แล้วอ่านแค่ไม่กี่บรรทัดและเขาให้เงินเยอะขนาดนี้ คุณยังจะไปมีอีโก้หรือตัวตน ยังจะไปอยากทำตามใจตัวเองทำไม คุณไม่นึกถึงเขาว่าเขาจ่ายสตางค์ขนาดนี้ คุณต้องตามใจเขาเถอะ คือมันอาจจะหลายแบบหลายอย่างก็ไม่เป็นไร แต่งานลักษณะนี้ถือว่าสบายมาก แค่อ่านหนังสือในห้องแอร์

หรือบางคนก็บอกว่า ผมอ่านในสไตล์นี้นะ จะให้มาอ่านแบบปัญญาอ่อน หรือฉีกแนว ซึ่งถือว่าไม่ใช่ คือส่วนตัวผมนะ ผมเริ่มอาชีพจากการอ่านหนังรักเยอะมากซึ่งทุกวันนี้ ก็มีคนถามอยู่เหมือนกันว่าลุงหนูเคยอ่านหนังรักจริงเหรอ แล้วพอเวลาที่ได้ยินเสียงที่เราเคยอ่านชิ้นงานเก่าๆ เขาก็โอเคกัน ซึ่งทุกวันนี้บางคนก็อาจจะมองว่าตัวตนของเราคือการอ่านหนังแอ๊คชั่น แต่ถ้าเขาให้เราทำเสียงปัญญาอ่อนเราก็ถือว่าเราก็สนุกกับงานเหมือนกันนะ เราก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานที่แตกต่างและฉีกออกไป ก็อย่างที่บอกล่ะครับว่าตามใจลูกค้าเถอะ


การเป็นความไร้ตัวตนในการเป็นโฆษก มันก็คล้ายๆ กับ การเข้าถึงตัวละครแบบขั้นสุดด้วยมั้ยครับ

คือต้องเรียนว่าทุกชิ้นงานที่ผมทำนั้นหยดหัวใจลงไปกับงาน สมมุติว่าถ้าผมต้องอ่านงานโฆษณาผ้าอ้อมเด็ก ต้องมีการถามลูกค้าว่าต้องการชิ้นงานแบบไหน จะ Present อะไรให้กับโฆษก หรือให้กับผู้มุ่งหวังที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้นๆ พอทราบความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ในการทำชิ้นงาน ผมก็จะตอบสนองให้กับลูกค้าที่จ้างผมก่อน จากนั้นก็จะนึกถึงคนซื้อสินค้านั้นว่า ถ้าเขาได้ยินเสียงที่ผมลงเสียงไปนั้น เขาจะอยากได้อยากซื้อสินค้าตัวนั้นหรือเปล่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมนึกถึงตลอดเวลา ซึ่งมันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำและรับผิดชอบ บางคนอาจจะมองว่าเราเรื่องเยอะ แต่เราคิดว่ามันคือความตระหนักในเรื่องนี้มากกว่า

จากการทำงานตรงนี้มากว่า 33 ปี อยากให้พี่หนูช่วยสรุปถึงการทำงานในแต่ละช่วง มาพอสังเขปหน่อยครับ

ตั้งแต่ทำงานมาตั้งแต่ช่วงยุค 90 จนกระทั่งช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ใหม่ๆ ถือว่าเป็นจุดที่เปลี่ยนแปลงในการทำงานมากที่สุด คือครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมเลย เป็นโลกใบใหม่ที่ถือว่าเปลี่ยนแปลงเลยแล้วโดยส่วนตัวเราก็เป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีอยู่แล้ว มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาจจะเรียกได้ว่าผมเป็นคนแรกๆที่ติดอินเทอร์เน็ตในเมืองไทยก็ได้นะ ตั้งแต่ยุค KSC เลย คือเราติดตั้งอินเตอร์เน็ตในตอนนั้นแบบไม่จำกัดชั่วโมงเลย เรียกแต่ว่าเราชอบการมีอยู่ของอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่นั้นเลย ผมเริ่มใช้ทวิตเตอร์มาตั้งแต่ตอนที่ทวิตเตอร์เปิดใช้งานใหม่ๆ รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นๆมาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งในตอนนั้นก็มีเพื่อนๆมาดูถูกเราเหมือนกันว่า มันเป็นของเด็ก นายมาเล่นของพวกนี้ในวัยนี้ทำไม แล้วตอนที่มีบัญชี Twitter ใหม่ๆในตอนนั้นคนติดตามเราก็มากถึงประมาณ 50,000 เลยนะ แล้วตอนนั้นคุณสุทธิชัย หยุ่นก็มีคนติดตามแค่หลักพันเอง จนกระทั่งต่อมาก็มียอดติดตามทวิตเตอร์ผมเป็นหลักฐานเลย จนกระทั่ง Twitter โดนแฮกและกู้คืนมาได้แต่ก็โดนแบนอีก

จนกระทั่งมาในยุคของการแพร่ระบาดของโควิด งานก็เริ่มไม่มี ทุกอย่างโดนล็อคดาวน์หมด งานหายไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นโดนห้ามเกือบหมดทุกอย่าง ผมก็เลยมาเล่น tiktok เมื่อตอน 2 ปีก่อน ก็ยังไม่วายโดนคนด่าว่านี่มันเป็นของเด็กอีกแล้ว แต่ปรากฏว่ายอดผู้ติดตามใน tiktok ของผมมีอยู่ประมาณ 1.2 ล้าน แต่หลังสุดก็ไม่ได้ Active เท่าไหร่ แต่พอมาได้เล่นติ๊กต๊อกแล้วก็ถือว่าโชคดี ทำให้คนรู้จักมากขึ้น แล้วก็ความโชคดีของการมีช่วงโควิด คือทำให้ผมได้กลับมาเล่นเกม เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมถูกล้างสมองมาก่อนว่า ถ้าคุณจะเป็น CEO ของบริษัท คุณจะเป็นนิวสตีฟ จ็อบส์ หรือ นิวบิล เกตต์ คุณต้องห้ามเล่นเกม คุณต้องใช้เวลา productive ให้ได้มากที่สุด Gaming มันจะทำให้คุณผลาญเวลาชีวิต ซึ่งถ้าเกิดเหตุนี้ ในการที่จะมาบริหารองค์กร คือหลังจากที่มีโควิดแล้วไอเดียตรงนี้ก็ทิ้งไปซึ่งโชคดีเราได้เครื่องเล่น PlayStation 4 มา ก็เลยได้กลับมาเล่นเกมเหมือนกับตอนที่เราอยู่อเมริกา ตั้งแต่ยุคอาตาริเลย


แสดงว่าการเป็นคนที่ตามเทคโนโลยีมาตลอด แต่คนรอบข้างในแต่ละช่วงเวลานั้นไม่เข้าใจ มันเหมือนกับเป็นดาบสองคมด้วยไหมครับว่าจากเหตุที่ว่ามาเมื่อกี้รวมไปถึงสามารถนำเทคโนโลยีที่เราอินเทรนด์มาประยุกต์ใช้กับการทำงานด้วย

เรียนตามตรงเลยว่าผมไม่สนใจ คือเข้าใจว่าคุณคิดแบบนี้ แต่นั่นก็เป็นความคิดของคุณ เราไม่เถียง ไม่โต้ตอบ ผมก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเกมของผมไป ก้มหน้าก้มตาเล่นสังคมออนไลน์ไป อยากตอนนี้ก็มีเกมเมอร์บางคนบอกว่าอายุ 50 กว่าแล้วยังจะเล่นเกมอีกเหรอ เราก็บอกว่าก็มันมีความสุข แล้วคนที่ติดตามเราก็จะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 กว่าเขาก็เรียกผมว่าลุงหนู ซึ่งถ้าเวลาผ่านไป 5 ปี น้องๆกลุ่มนี้ก็จะเป็นฐานลูกค้าใหม่ของผม เพราะว่าเขาเห็นผมมาตั้งแต่ที่พวกเขายังเด็ก ซึ่งเขาชินเสียงของผมมาตั้งแต่ตอนนั้น และได้คุยกับผม ซึ่งถ้าเขาอยากจะทำงานด้าน สปอตโฆษณาเขาก็อาจจะคิดถึงผมก็ได้ นี่แหละ ผมวางฐานลูกค้าไว้ (หัวเราะ)

ในการบันทึกเสียงในแต่ยุคสมัย มันก็ต้องมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วการที่เราเป็นคนที่ตามเทคโนโลยีอยู่เรื่อยๆ มันค่อนข้างที่จะทำให้ได้เปรียบด้วยไหม

อย่างสมัยก่อน โฆษกมีจำนวนแค่หลักสิบคน ที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมนี้นะครับ แต่ปัจจุบันนี้มีถึงหลักพันคน แต่ว่าคนที่ทำงานต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคนั้นก็เป็น 100 คน ก็เลยกลายเป็นว่าทุกคนเกิดการแข่งขันสูง ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของลูกค้าที่สามารถเลือกได้หลากหลาย สามารถเลือกได้ว่าเป็นแบบไหน สิ่งนี้คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในช่วง 5-6 ปีให้หลัง

ด้วยความที่คุณเป็นสัญลักษณ์ของการให้เสียงแบบอลังการ เคยมีประสบการณ์ใช้เสียงในลักษณะที่แปลกและแตกต่างออกไปไหมครับ

เยอะแยะเลยครับ ซึ่งผมจะมีความรู้สึกที่ดีใจมาก คืออย่างที่เล่าไปว่าเราเริ่มต้นจากการให้เสียงหนังรักโรแมนติก ไม่ได้ตะโกนตะเบ็งยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ ซึ่งถ้าได้กลับมาอ่านงานในลักษณะนี้อีกครั้ง ก็รู้สึกดีใจนะครับ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่นะครับ เป็นลักษณะตลกโปกฮา ปัญญาอ่อนก็มี ซึ่งก็ต้องทำให้ได้ครับ ซึ่งถ้าทำไม่ได้เราก็ต้องทำให้ได้ครับ นอกจากเราทำสุดๆแล้วแล้วลูกค้าไม่ชอบจริงๆ อันนั้นก็ถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว แต่ในระยะหลังไม่ค่อยมีลักษณะอย่างนี้ เว้นซะแต่ว่าจะให้ทำเสียงผู้หญิง ซึ่งมันทำไม่ได้อยู่แล้ว


ด้วยความที่คุณเป็นลูกของทีมการตลาดโรงหนังเครือเอเพ็กซ์ อยากให้ช่วยเล่าถึงประสบการณ์การเอากิมมิคการตลาดมาประยุกต์ใช้กับงานในปัจจุบัน รวมถึงอยากให้เล่าเคสการตลาดของคุณพ่อที่พี่หนูประทับใจว่ามีแคมเปญของหนังเรื่องไหนบ้าง

ในช่วงปลายยุค 1970 ที่ค่ายหนังใหญ่ระดับโลกไม่สามารถนำหนังเข้ามาฉายในเมืองไทยได้ เนื่องจากบ้านเรามีการขึ้นกำแพงภาษี ทำให้หนังฮอลลีวูดในบ้านเราช่วงนั้นไม่มีฉายเลย ในตอนนั้นคุณพ่อก็จะดูแลค่ายหนังทุกค่าย ก็เลยต้องไปซื้อหนังที่โนเนมหรือมาจากบริษัทเล็กๆ หรือนำหนังจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่ฝั่งฮอลลีวู้ด ซึ่งก็จะมีหนังเรื่องหนึ่งซึ่งฉายแค่โรงหนังเมโทร ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ชื่อหนังคือบุ๋มสวาท ซึ่งมาจากโซนยุโรป ฟังชื่อไทยตอนแรกคิดว่าเป็นหนังโป๊ใช่ไหมครับ แต่ปรากฏว่าหนังเรื่องนั้นเป็นหนังตลกซึ่งไม่มีติดเรทเลย เท่าที่จำได้คุณพ่อพาไปหน้าโรง คือคนแห่ทะลักลงเลย เพื่อไปซื้อตั๋วดูหนังเรื่องนี้ อันนี้คือที่จำได้ตอนสมัยเด็กๆนะครับ

แสดงว่าในหลักแนวคิดการทำงานของคุณลุงสุชาติ ก็เหมือนกับเป็นการส่งต่อทางด้านการสร้างสรรค์งานด้านครีเอทีฟ ในการเป็นโฆษกของคุณเองด้วยไหม

ใช่ครับ เพราะว่า หนึ่งก็มาจากดีเอ็นเอ สอง ก็คืออิทธิพลเพราะว่าเห็นแกทำงานมาตั้งแต่เด็ก ทั้งในเรื่องการทำงาน การสร้างครอบครัว จากตอนที่ผมเด็กมากๆในช่วงอนุบาล จนแก่เริ่มมีชื่อเสียง ครอบครัวก็พูดง่ายๆว่าเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น สามารถส่งผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศได้ พอผมเรียนจบกลับมาแกก็ยังเป็นมือวางต้นๆในฐานะนักโฆษณา ถ้าให้ชื่นชมในฐานะฮีโร่ก็คงต้องเป็นคุณพ่อล่ะครับ บางคนอาจจะมองว่าน้ำเน่านะแต่ในมุมของผมก็รู้สึกว่าแกเป็นคนที่เก่งจริงๆ ในเรื่องของสายงานด้านนี้

ทราบมาว่าคุณเคยจัดพอดแคสท์ กับลูกสาวด้วย อยากทราบสิ่งที่เรียนรู้ในเรื่องของ Generation Gap กับ การจัดรายการในลักษณะนี้หน่อยครับ

ถ้าถามเรื่องพอดแคสบ้านเรา ผมไม่แน่ใจว่าคนฟังจะเยอะหรือเปล่าในเวลานี้ คือในช่วง 4 ปีก่อน สิ่งนี้มันเป็นอินเทรนเพราะว่าดู hips ไง มันดูใหม่อาจจะมีการจัด podcast ซึ่งเมืองนอกเขามีมาตั้งนานแล้ว แต่ในมุมผมคิดว่ามันอาจจะกลับมาเป็นนิชใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะว่าถ้าคนยังมีการฟัง podcast อยู่ ก็คือกลุ่มที่ชอบจริงๆ ไม่ได้ฟังตามกระแส เหมือนกับช่วงคลับเฮ้าส์ ตอนที่มาใหม่ๆโอ้โหมีการเชิญมากมายแต่ตอนนี้มันเหมือนกับเป็นการเฟดไปแล้ว แต่ถามว่ายังมีกลุ่มไหมก็ยังมีกลุ่มอยู่ ยังมีคนที่ติดตามที่จะเล่นเหมือนกับทวิตเตอร์ที่ยังมีคนกลุ่มของเขาเล่นอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่รุ่นผมก็อาจจะไม่ค่อยเข้าทวิตเตอร์ เพราะจะเวียนศีรษะและเป็นกลุ่มสมัยนี้ไป แต่ส่วนตัวผมก็รู้สึกว่าสนุกดีเพราะจะได้รู้ว่าเด็กๆเจนนี้เขาคิดยังไงกัน

ส่วนถ้าถามเรื่อง Generation Gap โดยส่วนตัวผมจะไม่มีแก๊ปนะ ผมจะเป็นคนที่ร่วมสมัยคือต่อให้เป็นยังไงก็แล้วแต่ ผมก็ชอบนะ ผมจะไม่เป็นแบบว่า พอมีอะไรใหม่ๆแล้วจะปิดกั้นแต่ผมมองว่า ก็ดี มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะสังคมออนไลน์ก็มีอะไรใหม่ๆมาตลอด ผมก็รับสิ่งใหม่ๆมาตลอดและก็รู้สึกสนุกกับมันไม่ปฏิเสธ กับสิ่งอะไรใหม่ๆที่เข้ามาและมีความสุข และยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ เพราะมันเป็นเรื่องสัจธรรมที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้คุณเคยเป็นที่หนึ่งแล้วต่อไปคุณเป็นที่โหล มันก็เป็นเรื่องปกติ ถ้ากลับกันมันก็แบบเดียวกัน วันนี้ถ้าคุณทำแบบนี้แล้วคนอื่นทำตามบ้าง แล้วได้ดีกว่าคุณ มันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะ Google เขาก็ถนัดอยู่แล้ว คือไม่ต้องคิดอะไร Copy ตาม Apple เพราะ Google ก็ไม่ได้เป็นคนคิด Google มาก่อนด้วยนะ เขาบอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรก แต่ฉันจะนำมาพัฒนาให้ดีกว่า แกมี iOS ฉันก็จะมี Android คือโดยส่วนตัวผมก็คิดว่าอย่าไปยึดติดกับการเปลี่ยนแปลง


แน่นอนว่าพอเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ซึ่งก็มีความเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย มองในการเป็นโฆษกในปัจจุบันยังไงบ้างครับ


ก็ต้องเข้าใจและยอมรับ ว่าความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนไป ตอนนี้อาจจะชอบความเป็นลีลาและสไตล์แบบนี้ เราก็ต้องเข้าใจและยอมรับครับ ว่าโลกปัจจุบันนี้เขาชอบเสียงแบบนี้ ก็ไม่เป็นไร ผมก็มีความสุขกับการทำ Social กับการใช้ชีวิตเล่นเกม ทำคลิปให้ Enjoy ไป อย่าไปเครียดเพราะเครียดแล้วอายุสั้นเดี๋ยวป่วย เดี๋ยวเป็นมะเร็ง (ยิ้ม) อย่างบางงานที่เขาโทรมาบอกว่าคืนคิวนะคะ เราก็เฉยๆ เราก็ขอบคุณทางเขานะครับที่ส่งเสียงเราไปให้ลูกค้าเลือก ถึงแม้ว่าจะตกรอบออดิชั่น ก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยในห้องเสียง ตามสตูดิโอต่างๆก็ยังนึกถึงเรา จริงๆก็ถือว่าโชคดี มองในมุมหนึ่งถือว่าเราก็มีความกระตือรือร้นตลอดเวลาแต่ถ้าวันไหนที่เขาไม่มีการเช็คคิวเลยเราล่ะ อันนี้คือเศร้าเหงาเลยนะ

ในส่วนตัวของคุณเอง การเป็นโฆษกมันสะท้อนและทำหน้าที่อะไรบ้างครับ

อย่างที่เรียนครับว่าการทำหน้าที่โฆษกหมายถึงการทำงานให้เสร็จและสมบูรณ์ ความหมายก็คือ หนึ่ง ต้องให้ลูกค้าที่จ้างเรา ตรงใจและถูกใจ เพราะกว่าจะมาถึงเรา ลูกค้าที่จ้างเรามีกระบวนการทำหนังโฆษณาชิ้นนี้ มาพักนึงแล้ว กว่าสคริปจะออกมาสมมุติว่าเป็นสคริปต์วิทยุ ก็ต้องผ่านการกลั่นกรอง ถ้าเป็นหนังโฆษณาไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์หรือว่าทีวี ก็ต้องมีการเตรียมการเยอะแยะมากมาย ในการทำผลงานออกมาก่อนที่ทางเราจะเดินเข้าไปบันทึกเสียง ไม่กี่ประโยคใส่ลงไปในแต่ละชิ้นงาน เรามีหน้าที่ที่จะทำงานให้สมบูรณ์ดั่งใจที่ทางลูกค้าต้องการ ให้ลูกค้าที่จ้างเราถูกใจก่อน แล้วหลังจากนั้นผมก็คิดต่อเลยว่า ลูกค้าที่จะมาซื้อสินค้าของลูกค้า เขาจะมาซื้อสินค้าชิ้นนั้นหรือเปล่า นี่คือมุมส่วนตัวและหลักการในการทำงานในทุกวันนี้

หรือในบางครั้งที่เราอาจจะคิดว่าเราไม่มีอีโก้ แต่จริงๆแล้วอาจจะแรงก็ได้นะ ผมก็เคยหลุดไปเหมือนกัน ในเรื่องการแสดงความคิดเห็น แต่พอได้สติมาปุ๊บเฮ้ยต้องรีบเคาะกลับมาแล้วก็ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะมันอาจจะเผลอหลุดไป คือ comment ความรู้สึกส่วนตัวไปทั้งๆที่มันไม่ควร และลูกค้าก็มายังไม่ได้ถาม ก็เลยอยากจะฝากเหมือนกันว่าบางครั้งแม้ว่าเราอาจจะคิดว่าไม่มีอีโก้ แต่ก็ต้องมีความระวังเพราะมันอาจจะทำร้ายเราตลอดเวลา

การเป็นโฆษกนอกจากที่จะให้ในเรื่องหน้าที่การงานแล้ว ยังได้ให้อะไรบ้างครับ

ความสุขในการเจอผู้คนต่างๆครับ เราได้เพื่อนใหม่ๆตลอดเวลา แล้วในการเจอแต่ละครั้งผมจะไม่เรียกคู่สนทนาว่าคุณ น้อง ถ้าเรียกตามสรรพนามเหล่านั้นผมว่ามันแปลกๆนะ อันนี้คือส่วนตัวผมนะ คือหลายคนก็อายุรุ่นลูกแล้วถามว่าไปเรียกเขาว่าพี่ทำไม ผมบอกว่ามันเป็นสรรพนามที่เป็นการให้เกียรติกันอีกแบบนึง จะเรียกว่าน้ามันก็ไม่ได้มันแก่ไป คือบางครั้งถ้าเรียกพี่บางคนก็อาจจะคิดในใจว่าใครเป็นญาติมึง เพราะว่าอนาคตข้างหน้าแต่ละฝ่ายอายุเพิ่มขึ้นแต่เราก็ยังเป็นเพื่อนและรู้จักกัน วันนั้นอาจจะมีการคุยกันว่าเราอาจจะเคยพบกันในสถานที่แห่งหนึ่งก็ได้

เหมือนกับหลายๆคนที่ผมเคยเจอมาก่อนหน้านี้แล้วพอเวลาผ่านไปก็กลับมาเจอกันอีกครั้งแล้วก็คุยถึงวันนั้นนอกจากเพื่อนของลูกสาวที่จะไม่เรียกสรรพนาม แต่ถ้าเป็นรุ่นอายุ 10 กว่าผมก็จะเรียกว่าหลานเพราะเราคือลุงหนู อีกทั้งเราได้สิ่งเรียนรู้ใหม่ๆตลอดเวลา ได้เรียนรู้รูปแบบงานชิ้นใหม่ สมมุติว่าเป็นสินค้าตัวใหม่เราก็จะได้รู้จักผลิตภัณฑ์นี้ไปด้วย และได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ตรงนี้ผมถือว่าเป็นกำไรนะ ส่วนเรื่องการงานก็คิดว่าจะพยายามไม่จำเจ และต้องเน้นที่ว่าไม่ทำตามใจตัวเอง

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : นันทิภาคย์ กิตติคุณปกรณ์


@thanasut ตัวอย่าง AntManAndTheWasp อ่านโดย ลุงหนู ธนาสุทธิ์ #voiceover #trailer #marvel ♬ original sound - Thanasut Vudthivichai


@thanasut ลุงหนูอ่านตัวอย่างหนัง AVATAR: THE WAY OF WATER วิถีแห่งสายน้ำ #movie #trailer #voiceover ♬ Becoming one of "The People" Becoming one with Neytiri - James Horner


@thanasut ใช่ครับ ลุงหนูคือคนอ่านตัวอย่างหนัง Thor: Love and Thunder ธอร์ ด้วยรักและอัสนี ตัวจริง! #thor #trailer #voiceover #thai ♬ Thor: Love and Thunder Teaser Trailer Music - Sweet Child O' Mine (Thor: Love and Thunder Soundtrack) - Sh4d0wStrider



กำลังโหลดความคิดเห็น