xs
xsm
sm
md
lg

ชี้นโยบายหาเสียงค่าแรงขั้นต่ำ ขายฝัน-การตลาดชวนเชื่อ หวั่นกระทบห่วงโซ่เศรษฐกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



MGR Online - เวทีสัมมนาสาธารณะ “ค่าแรงขั้นต่ำ ขายฝันแรงงานไทย?” ฝ่ายนายจ้างวอนลูกจ้างเข้าใจบริบท ย้ำต้องพิจารณากัน 3 ฝ่าย เชื่อนโยบายหาเสียงชวนเชื่อทางการตลาด ทำได้จริงแต่กระทบห่วงโซ่อุปโภค-บริโภค ด้าน ปธ.สมานฉันท์แรงงานไทย ชี้แรงงานรับเงินขั้นต่ำแต่หลักประกันอนาคตไม่มี เสนอระบบโครงสร้างค่าจ้าง ส่วนที่ปรึกษา TDRI เชื่อ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำลดความเหลื่อมล้ำ ไม่กระทบการจ้างงาน แต่กระทบการเคลื่อนย้ายแรงงาน

วันนี้ (18 มี.ค.) ที่ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ อาคาร D สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ถนนวิภาวดีรังสิต ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลาง ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสก.) รุ่นที่ 11 สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย นำโดยนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ผู้อำนวยการหลักสูตร จัดการสัมมนาสาธารณะหัวข้อ “ค่าแรงขั้นต่ำ ขายฝันแรงงานไทย?” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดให้สาธารณชนได้รับฟังข้อมูลและข้อเสนอแนะต่อนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ในการหาเสียงเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ทั้งจากมุมมองของภาคแรงงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และนักวิชาการ

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า ในฐานะนายจ้าง เข้าใจว่าลูกจ้างต้องการค่าจ้างในอัตราที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อให้เพียงพอต่อค่าครองชีพ แต่ขอให้ลูกจ้างเข้าใจบริบทของประเทศไทย ที่การขายสินค้าบางกลุ่มยังขายได้ในมูลค่าที่ไม่สูงมากนัก ยืนยันว่าการคิดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของไทยจะผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการค่าจ้าง 3 ฝ่าย โดยพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ ความสามารถของนายจ้างที่จะจ่าย และความเป็นอยู่ของลูกจ้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลกับทุกฝ่ายตามหลักสากล

“ค่าจ้างขั้นต่ำเสมือนเป็นค่าจ้างแรกเข้าเป็นค่าจ้างตามกฎหมาย ที่นายจ้างต้องจ่ายให้กับลูกจ้างอย่างเท่าเทียม การจ้างงานของไทยในขณะนี้อยู่ในภาวะตึงตัว ตลาดเป็นของลูกจ้าง หรืออยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงานไปอีกอย่างน้อย 5 ปี โดยเฉพาะแรงงานในระดับกลางและระดับสูง เนื่องจากแรงงานยังไม่กลับเข้าสู่ระบบ หลังจากการระบาดของโควิด 19” นายธนิต กล่าว

• "ค่าแรงขั้นต่ำ" นโยบายชวนเชื่อทางการตลาด

ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองต่างๆ ใช้นโยบายประชานิยมในการหาเสียง ด้วยการชูประเด็นขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น นายธนิต กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าเป็นนโยบายชวนเชื่อทางการตลาด แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งทำได้จริง เพราะการขึ้นค่าจ้างเป็นเรื่องของนายจ้าง เป็นเรื่องของภาคเอกชนที่เป็นผู้จ่าย ไม่ได้ใช้งบประมาณของพรรคการเมือง หรืองบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด หากค่าจ้างที่สูงขึ้นเกินจากความเป็นจริง จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่ของการอุปโภคบริโภคทั้งหมด สุดท้ายภาระจะตกอยู่กับผู้บริโภค ทั้งนี้ ในฐานะนายจ้าง มองว่าค่าจ้างขั้นต่ำของไทยควรจะเป็นค่าจ้างที่ขึ้นเป็นอัตโนมัติตามอัตราเงินเฟ้อ และต้องไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง

“เป้าหมายคือ นายจ้างลูกจ้างต้องอยู่ด้วยกันได้เหมือนปาท่องโก๋ ดังนั้นการขึ้นค่าจ้าง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ องค์กรไตรภาคี ที่ทำกันมาแล้วกว่า 30 ปี การเมืองอย่างเข้ามาแทรกแซงทำลายต้นทุนของชาติและประชาชน ประชาชนก็ต้องรู้เท่าทันว่า พรรคการเมืองต่างๆ ใช้การตลาด 100% เพื่อให้ได้เข้ามาในสภาฯ” นายธนิต กล่าว

นอกจากนี้ นายธนิต ยังกล่าวว่า ฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ เจนแซด (GEN Z) ที่กำลังหางานทำ สิ่งที่ต้องมี คือทักษะด้านภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์พื้นฐาน บุคลิกภาพที่ดี แต่งกายที่เหมาะสม มีการเตรียมข้อมูลก่อนการสัมภาษณ์ และสุดท้ายอย่าเลือกงาน เพราะแม้ว่าเงินเดือนจะน้อยในตอนต้น แต่ประสบการทำงานจะทำให้เราสามารถเพิ่มค่าตอบแทนในอนาคตได้

• ที่ปรึกษา TDRI เชื่อ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำลดความเหลื่อมล้ำ

ด้าน รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ที่ปรึกษาฝ่ายการวิจัยนโยบายทรัพยากรมนุษย์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยถึงผลกระทบของการดำเนินนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ว่า ปัจจุบันค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยอยู่ระหว่าง 308-330 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัด ต้องบอกว่ายังมีแรงงานที่ยังไม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่า 4 ล้านคน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน ซึ่งการใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ จำเป็นต้องมีการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่มีประสิทธิภาพสูง และควรครอบคลุมถึงการเลี้ยงดูคู่สมรสและบุตรด้วย

ทั้งนี้ ค่าจ้างขั้นต่ำไม่ใช่ค่าจ้างเริ่มต้นของแรงงานมีฝีมือในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ อาจทำให้เกิดปัญหาการปลดแรงงาน ดังนั้น การเพิ่มค่าจ้างแรงงานควรเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด แต่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน คือ ต้นทุนผู้ประกอบการที่สูงขึ้น อันเนื่องมาจากการรับภาระค่าแรง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่า หากเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานได้มากขึ้น ต้นทุนค่าแรงอาจไม่เพิ่มขึ้น 30-40% เท่ากับค่าแรงที่ปรับขึ้นและด้านการใช้จ่ายของประชาชน การเพิ่มค่าแรงอาจไม่ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้จริงผลกระทบต่อเงินเฟ้ออาจไม่สูงมาก

“การปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของค่าจ้างแรงงานได้มากพอสมควร และไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญทางสถิติต่อสัดส่วนการจ้างงาน และสัดส่วนการเข้าร่วมแรงงานของแรงงานทักษะต่ำ แต่เป็นภาพลวงตาจากการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างภาคการผลิต ผลกระทบการเคลื่อนย้ายที่น่ากังวลที่สุด อยู่ในกลุ่มแรงงานทักษะต่ำในวัยหนุ่มสาวอายุ 15-24 มากกว่า” รศ.ดร.ยงยุทธ กล่าว

รศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงพบว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำยังไม่เหมาะสม เช่น ไม่ทันกับค่าครองชีพ ไม่สอดคล้องกับผลิตภาพแรงงานที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดี เช่น แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทำให้แรงงานได้ประโยชน์ประมาณ 3.2 ล้านคน หรือประมาณ 30% ช่วยลดช่องว่างความเหลือมล้ำให้กับแรงงาน

• "สาวิทย์" แนะใช้ระบบโครงสร้างค่าจ้าง

ขณะที่นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า ค่าแรงขั้นต่ำเป็นที่ถกเถียงกันมานาน ตนพยายามเสนอค่าจ้างที่เป็นธรรม แต่สถานการณ์วันนี้ ค่าจ้างปัจจุบันตั้งแต่ 333-354 บาท ถือว่าอยู่ได้หรือไม่ ปัญหาคือคนส่วนใหญ่รับค่าจ้างขั้นต่ำ แต่หลักประกันในการทำงานไม่มี เพราะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจะสอดรับหรือไม่ จึงไม่สามารถวางแผนอนาคตได้ สิ่งที่ทำได้วันนี้คือต้องกู้เงิน ต้องเป็นหนี้ จึงต้องทำงานใช้หนี้ คนงานส่วนใหญ่อยู่ได้ต้องทำงานมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง ซึ่งมีผลต่อสุขภาพ และประกันสังคมก็ไม่ตอบสนองด้านแรงงาน เพราะฉะนั้นโดยภาพรวมด้านแรงงานอยู่ในสภาวะที่ลำบาก เมื่อคนส่วนใหญ่อยู่ในสภาพชีวิตเช่นนี้ อนาคตของประเทศจะไปอย่างไร

ทั้งนี้ ตนเห็นว่าให้เลิกพูดเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ แต่เสนอให้เป็นระบบโครงสร้างค่าจ้าง ทุกปีจะต้องมีเงินเดือนขึ้น ซึ่งต้องดูที่ดัชนีค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อ เพื่อพิจารณาว่าจะปรับขึ้นค่าจ้างเท่าไหร่ อีกประการหนึ่ง คือ สิทธิในการรวมกลุ่มรวมตัว เพราะการขึ้นค่าจ้างเป็นนโยบายหาเสียงทางการเมือง ที่เข้าไปแทรกแซงกลไกเจรจาต่อรอง แต่คนงานไม่มีสิทธิ์ในการรวมตัว วันนี้มีผู้ใช้แรงงานราว 40 ล้านคน แต่การรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงานมีเพียง 6 แสนคน กลไกในการเจรจาต่อรองจึงไม่เกิดขึ้น จึงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องหาทางออกว่า ระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องค่าจ้างแรงงานควรจะเป็นเท่าไหร่

• หนุนแรงงานรวมตัวสร้างศักยภาพต่อรอง

นายสาวิทย์ กล่าวว่า มีงานวิจัยว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิต อีกทั้งประสิทธิภาพการทำงานออกมาดี แต่สำหรับประเทศไทยพบว่าแม้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น แต่ค่าแรงขั้นต่ำกลับปรับขึ้นเพียง 5-8% เท่านั้น คุณภาพชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร การชูนโยบายหาเสียงค่าแรงขั้นต่ำ ย้อนกลับไปในอดีต สิ่งที่พรรคการเมืองหาเสียงนั้นความเป็นจริงไปถึงหรือไม่ ตนเสนอให้จัดทำโครงสร้างค่าจ้างในสถานประกอบการ และมีโครงสร้างการจ้าง เพื่อให้แรงงานมองเห็นอนาคต เพราะทุกคนอยู่อย่างหวาดระแวง อีกทั้งยังติดกับดักรายได้ปานกลาง แต่ไม่เคยแก้ไขปัญหานั้น และไม่คิดถึงเรื่องการบริโภคภายในประเทศ

ตัวเลขค่าจ้างให้เก็บเอาไว้ก่อน แต่ให้เริ่มจากความเป็นจริงว่า ค่าแรง 354 บาทอยู่ได้หรือไม่ แรงงานทั้งในและนอกระบบทุกคนต้องเท่าเทียมกัน และแรงงานนอกระบบต้องมีหลักประกันอย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่หลุดจากการเจรจาต่อรองเพราะกฎหมายไม่คุ้มครอง ดังนั้นการสนับสนุนให้เกิดการรวมตัวกันเพื่อสร้างศักยภาพต่อรอง จะเป็นการต่อรองเรื่องค่าจ้างโดยอัตโนมัติ ดังนั้น การเมืองที่จะมากำหนดเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ จึงต้องทบทวนและคิดใหม่ โดยทำลักษณะโครงสร้างค่าจ้างให้ชัด คำถามที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การเลือกตั้งเราต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกตั้งว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำทำได้จริงหรือเป็นแค่เพียงฝันไปเรื่อย ตนเห็นว่าขายฝัน เพราะตัวเลขไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงต้องถกเถียงเรื่องภาวะเศรษฐกิจและสังคมให้จบ และกำหนดตัวเลขออกมาให้ครอบคลุมทั้งแรงงานในและนอกระบบ

• จี้ภาครัฐดูแลครอบคลุมถึงแรงงานนอกระบบ

ส่วนนางสุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง กรรมการสมาคมเครือข่ายแรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงงานนอกระบบ คือ แรงงานที่ไม่ได้อยู่ในภาคการจ้างงานที่เป็นทางการ ปี 2565 คนมีงานทำทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานนอกระบบ 20.2 ล้านคน ซึ่งค่าจ้างขั้นต่ำไม่คุ้มครอง ที่เห็นได้ชัดคือ ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 กลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบ ต้องลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวและปรับตัวอย่างมาก เนื่องจากไม่มีรายได้ประจำ ไม่สามารถที่จะฝันเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำได้ อีกทั้งบางอาชีพของแรงงานนอกระบบขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ถ้าการท่องเที่ยวยังไม่กลับมาก็ยากที่จะฟื้น แม้สถานการณ์โควิด 19 จะคลี่คลาย แต่หลายอาชีพที่เป็นแรงงานนอกระบบก็ยังไม่ได้กลับมาทั้งหมด

“คำถามว่า ค่าแรงขั้นต่ำขายฝันแรงงานไทยหรือไม่ เราอยู่นอกระบบของการคิดค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ว่าจะประกาศอะไร จะเป็นฝันของใครไม่รู้ แต่ไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือ การคุ้มครองค่าจ้างขั้นต่ำ ค่าจ้างที่เป็นธรรม ต้องคุ้มครองถึงแรงงานนอกระบบกลุ่มที่มีผู้จ้างงานหรือนายจ้างด้วย และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องประกันรายได้กลุ่มคนเหล่านี้ ต้องมีมาตรการส่งเสริมให้มีรายได้ให้เท่าเทียมกับค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานในระบบ” นางสุนทรี กล่าว

• แจงพลิกโฉมตลาดแรงงานให้ทันโลกดิจิทัล

นางนภสร ทุ่งสุกใส ที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานมีนโยบายที่จะพลิกโฉมตลาดแรงงานไทยในปีนี้ (2566) เช่น พัฒนาภาคแรงงานต้องสอดรับกับโลกยุคดิจิทัล สนับสนุนการพัฒนาทุนมนุษย์ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานนอกระบบ คำนึงถึงความต้องการของสถานประกอบการในประเทศและแรงงาน ได้รับการส่งเสริมด้านรายได้ แรงงานได้รับความคุ้มครองได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมาย มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความสุขอย่างยั่งยืน

“หากมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ แน่นอนว่าส่งผลให้อุตสาหกรรมกระจุกตัวอยู่ในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะในเขตปริมณฑล เพราะไม่มีแรงจูงใจที่จะกระจายการผลิตไปยังจังหวัดที่อยู่ห่างออกไป หากมีปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ก้าวกระโดดสูงเกินไป นอกจากนี้ ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ส่งผลให้ราคาสินค้าของไทยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และผู้ประกอบการอาจต้องปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิต ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่า หากปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันทุกจังหวัดและปรับแบบก้าวกระโดด ที่สำคัญ อาจจะมีผลกระทบต่อต้นทุนของธุรกิจท้องถิ่นหรือกิจการขนาดเล็ก ส่งผลให้ต้องลดจำนวนคนงานลงหรือปิดกิจการ ส่วนแรงงานจะมีรายจ่ายหรือภาระค่าครองชีพสูงขึ้น มีอำนาจซื้อน้อยลง และมีความสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง ทำให้รายได้ที่มีหรือเงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับการยังชีพ” นางนภสร กล่าว


















กำลังโหลดความคิดเห็น