xs
xsm
sm
md
lg

ในหลวง คือแสงสว่างและกำลังใจ ของลูกทุน ม.ท.ศ. ให้มีชีวิตใหม่พร้อมตอบแทนคุณแผ่นดินเกิดอย่างมั่นคง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักในคุณค่าและความสําคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีคุณภาพจึงทรงสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับประชาชนได้เรียนรู้สามารถนํามาใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว รวมถึงสามารถนำความรู้มาพัฒนาสังคมและประเทศชาติได้ ดังนั้น เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศสสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร จึงมีพระราชดำริให้ดำเนิน “โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ขึ้นเมื่อปี 2552 โดยให้ทรงนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศล มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทย

ต่อมาในปี2553 มีพระราชดำริให้จัดตั้ง “มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฏราชกุมาร (ม.ท.ศ.)” โดยทรงรับเป็นองค์ประธานกรรมการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนเด็กและเยาวชนไทยทั่วประเทศที่มีผลการเรียนดี ประพฤติดี มีคุณธรรม แต่ขาดโอกาสทางการศึกษาให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทัศนคติที่ถูกต้องดีงาม ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติบ่มเพาะความมีวินัย อันจะช่วยสร้างพื้นฐานชีวิตที่มั่นคงเข้มแข็งแก่เด็กและเยาวชนไทยผู้ที่ได้รับทุนพระราชทาน สามารถเติบโตเป็นคนดีมีคุณภาพนำความรู้กลับไปทำงานพัฒนาท้องถิ่นชุมชน มีสัมมาชีพมั่นคง เป็นพลเมืองที่ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ

ปัจจุบันมีนักเรียนที่ได้รับทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. แล้ว รวม 14 รุ่น ด้วยน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยในคุณภาพชีวิตของเยาวชนไทย เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ส่องทางสร้างความหวังและสร้างชีวิตใหม่ให้แก่นักเรียนทุนพระราชทานทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นที่ผ่านมาให้ลุกขึ้นสู้ชีวิตที่เกือบมืดดับไปแล้ว ให้กลับมามีแสงสว่างนำทางอีกครั้ง บางคนเคยสิ้นหวังในชีวิตจนเกือบคิดจบชีวิตที่มืดดับ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่จารึกอยู่ในหัวใจจึงทำให้ลุกขึ้นมาสู้กับชีวิตอีกครั้งจนทุกวันนี้กลายเป็นเรี่ยวแรงหลักดูแลครอบครัว หรือบางคนจากที่ชีวิตเคยหยุดฝันแต่เมื่อมีแสงแห่งน้ำพระราชหฤทัยส่องมา ความฝันที่เลือนลางก็กลับมาแจ่มชัดอีกครั้งหนึ่ง


ฟีฟี-นายอาร์ฟีฟี มามุ อายุ15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสายบุรี”แจ้งประชาคาร”จ.ปัตตานี นักเรียนทุน ม.ท.ศ.รุ่นที่ 14 กล่าวด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณว่า เขารู้จักทุนการศึกษาพระราชทาน ม.ท.ศ.จากรุ่นพี่ที่โรงเรียน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ที่โชคดีได้มีโอกาสรับทุนพระราชทานนี้ ซึ่งนอกจากจะ เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้อีกทางหนึ่งแล้ว ทุนการศึกษาพระราชทาน ยังจะเป็นใบเบิกทางนำสู่ความสำเร็จของเขาในอนาคตตามที่วาดหวังไว้

“ที่ผ่านมาผมเพียงแค่เคยได้ยินว่ามีทุนการศึกษาพระราชทานของในหลวง แต่ก็ไม่เคยมีความฝันว่าจะมีโอกาสได้รับทุนนี้ กระทั่งวันหนึ่งมีรุ่นพี่ที่เป็นนักเรียนทุน ม.ท.ศ.รุ่นที่ 12 มาแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับทุนการศึกษานี้ ผมก็เลยลองสมัครดูซึ่งกว่าจะผ่านการคัดเลือกได้นั้นผมต้องผ่านการทดสอบจากคณะกรรมการหลายรอบมาก แต่สุดท้ายผมก็ได้รับคัดเลือกให้ได้รับทุนการศึกษาพระราชทานรุ่นที่ 14 ซึ่งเป็นรุ่นปัจจุบัน วินาทีที่รู้ว่าได้รับทุนพระราชทานหัวใจเต็มไปด้วยความตื้นตันที่สุด อยากขอบคุณในหลวงที่ได้พระราชทานทุนให้กับผมเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จของผม ที่สำคัญผมมีพี่น้อง3 คนผมเป็นลูกคนกลางพี่คนโตเรียนจบปริญญาตรี ทางบ้านครอบครัวมีหนี้สินบ้างเป็นปกติ แต่กว่าพี่จะเรียนจบได้พ่อกับแม่ต้องใช้เงินเยอะมาก ดังนั้นการที่ผมได้รับทุนการศึกษาตรงนี้ก็จะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายตรงนี้เพื่อเก็บไว้ให้น้องคนเล็กได้ใช้เป็นทุนเรียนต่อไป”

ฟีฟี ย้อนถึงหนึ่งในบททดสอบที่คณะกรรมการทุนการศึกษาใช้สัมภาษณ์เขาในวันนั้น ซึ่งคำตอบของเขาในวันนั้นไม่เพียงแต่ทำให้เขาเป็นผู้ได้รับทุนการศึกษาเท่านั้น หากแต่ยังเป็นประกายความฝันที่ทำให้เขามีความตั้งใจอยากเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีคณะเภสัชศาสตร์ เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะได้นำความรู้ที่ได้เรียนมากลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองให้คนในชุมชนใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสม

“ห้องสัมภาษณ์รอบสุดท้าย คณะกรรมการถามว่าผมรู้จักพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 10 ไหม ซึ่งผมก็ตอบไปว่าหนึ่งในพระราชกรณียกิจที่ผมซาบซึ้งคือการสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลบ้านเกิด ผมเห็นตัวอย่างจากบุคคลในครอบครัว คือป้าสะใภ้เขามีปัญหาเนื้องอกที่มดลูกซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนเราก็ต้องไปแอดมิดที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัดที่มีอุปกรณ์พร้อม แต่พอมีโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี

ก็มีหมอเก่งๆมาประจำที่นี่ คุณป้าก็เลยได้ผ่าตัดและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจนหายนับเป็นพระมหากรุณาที่คุณอย่างหาที่สุดที่ได้ทรงสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เพื่อให้ผู้ป่วยที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลและทุรกันการในท้องที่ต่างๆทั่วประเทศให้ได้เข้ารับการรักษาอย่างเท่าเทียมกัน และนี้จึงเป็นประกายความฝันที่ทำให้ผมอยากเป็นเภสัชกรเพื่อที่จะนำความรู้เกี่ยวกับยามาแนะนำคนในชุมชนให้ใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม”

 


ขณะที่นัด-นางสาวปนัดดา สิทธิ นักเรียนทุน ม.ท.ศ.รุ่นที่ 5 ที่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่2 ในชีวิตที่เธอได้มีโอกาสมาเข้าเฝ้าฯกราบพระบาทสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แต่การมาเข้าเฝ้าฯในครั้งนี้ต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิงเพราะเธอต้องมาในรถวีลแชร์ไม่สามารถเดินได้เป็นปกติ เพราะในระหว่างที่เธอได้รับทุนการศึกษาพระราชทานกำลังศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาการบัญชี ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์พระนครศรีอยุธยา โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ SLE ที่อยู่ในร่างกายเธอมาตั้งแต่วัยเยาว์กลับมากำเริบและรุนแรงอย่างไม่คาดคิดจนทำให้เธอต้องกลายมาเป็นผู้ป่วยติดเตียง และกลายเป็นผู้พิการเดินไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิตครั้นความทุกข์สาหัสของปนัดดาทราบยังฝ่าพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ รับเธอไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ จนทำให้เธอมีชีวิตกลับมาสดใสได้อีกครั้งเหมือนในวันนี้

“เราเคยเป็น โรคแพ้ภูมิตัวเองแล้วเมื่อตอนอายุ 12 และรักษาก็หายไปแล้วแต่มันมากำเริบช่วง2ปีสุดท้ายก่อนจะจบปริญญาตรีตอนนั้นเครียดพักผ่อนน้อยอ่านหนังสือดึกทุกคืน ตอนนั้นก็ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ตอนนั้นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึง2 ปีต้องหยุดพักการเรียนเครียดยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่เมื่อคณะกรรมการทุนการศึกษาพระราชทานทราบถึงอาการป่วยจึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลในหลวง พระองค์จึงทรงรับหนูไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ย่าจึงไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลจึงนับเป็นความโชคดีอย่างหาที่สุดมิได้”

แม้จะได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านตามใจปราถนาแล้วก็ตาม แต่เธอต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถทำอะไรได้เลยเป็นเวลานานนับเดือน ความเข็มแข็งที่มีในชีวิตก็เริ่มเลือนลางลงไปทุกวัน จนทำให้เธอกลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าสิ้นหวังในชีวิต เธอเคยคิดจะจบชีวิตตัวเองหนีปัญหาทุกอย่างในชีวิตไปหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งวันหนึ่งที่เธอกำลังตัดพ้อกับชีวิตย่าของเธอจึงพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงที่แขวนไว้บนฝาบ้านมาให้เธอดูแล้วบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คนที่เขาไม่เคยรู้จักไม่เคยอย่างในหลวง พระองค์ท่านยังช่วยให้เรามีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้และยังช่วยเหลือเราขนาดนี้ ถ้าท้อใจมองรูปในหลวงไว้นะ”

ประโยคนี้ของย่าเองที่ทำให้ปนัดดา ดึงสติของตัวเองกลับมาด้วยความเข็มแข็งและทำให้เธอรู้ว่าในชีวิตนี้ยังมีคนรักและคนห่วงใยเธออีกมากมาย พร้อมๆกับที่เธอตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่ว่า “เธอยังจะตายไม่ได้ต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณในหลวงที่ทรงช่วยชีวิตเธอไว้ก่อน”

“ตอนที่หมอเดินมาบอกว่าเดินไม่ได้แล้วต้องพิการตลอดชีวิตตอนนั้นคือร้องไห้อย่างเดียวเสียสติไปเลย กว่าที่จะกลับมาได้เหมือนทุกวันนี้ก็ต้องพบจิตแพทย์ตอนนั้นหนูได้แต่นอนมองพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง พยายามสร้างเป้าหมายในชีวิตอีกครั้ง สร้างกำลังใจในการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแม้มันจะไม่ง่ายแต่หนูก็พยายามทำตัวให้เริ่มคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตด้วยรถวีลแชร์ และตั้งเป้าหมายว่าจะต้องกลับมาเรียนอีกครั้งให้ได้ เพื่อที่จะได้เรียนให้จบแล้วกลับมาใช้ชีวิตให้ปกติที่สุดเพื่อตอบแทนบุญคุณของในหลวงที่ทรงให้ชีวิตใหม่กับหนู”ปนัดดาเล่าด้วยรอยยิ้มเปื้อนคราบน้ำตา

จากความตั้งใจและมุดหมายในชีวิตที่ต้องสำเร็จการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีให้จบ หลังจากที่เธอต้องพักการเรียนไป2ปี ด้วยความมุ่งมั่นเพียรพยายาม ปนัดดาสามารถจบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีในปีการศึกษา 2564 ด้วยเกรดนิยมอันดับ1 ด้วยคะแนนเฉลี่ยสะสม 3.83 นับเป็นความพยายามที่เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มอันสดว่า เพราะในหลวงจึงทำให้เธอมีรอยยิ้มและชีวิตที่สดใสกลับมาอีกครั้ง

“ตอนนี้หนูเรียนจบแล้วและได้ขึ้นทะเบียนเป็นคนพิการและทำงานเป็นลูกจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดหญิงและนันท์คอนสตรัคชั่น โดยรับงานมาทำที่บ้าน นอกนั้นหนูยังหารายได้เสริมจากงานขายของออนไลน์ โดยมาเป็นผู้มีรายได้หลักเลี้ยงดูย่า และสามารถช่วยเหลือตัวเองในการเคลื่อนย้ายตัวเองได้ในระดับหนึ่ง หนูจึงอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพลังใจให้กับคนอื่นๆ หนูร่างกายไม่ปกติยังสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ ดังนั้นเราอย่าไปท้อกับชีวิตเราเราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดใครได้และก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครคิดอย่างไรกับเรา ให้เราคิดว่าเขามองเราในแง่ดีขนาดนั่งรถเข็นเราก็ยังสามารถมาทำงานได้ไม่ได้คิดว่าเราน่าสงสารดังนั้นหนูจึงอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพลังใจให้กับคนอื่นๆ ให้มีความหวังและกำลังใจที่เข็มแข็งในการใช้ชีวิต”


เช่นเดียวกับ นายวีรนันท์ เปี่ยมมนัส ชาวจังหวัดอ่างทอง ผู้ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุนพระราชทานรุ่น 10 ประจำปีการศึกษา 2561 ที่โรงเรียนโพธิ์ทองพิทยาคม จ.อ่างทอง และได้รับทุนพระราชทานต่อเนื่องเข้าศึกษาต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ ซึ่งเมื่อปีการศึกษา 2564 ขณะที่เขากำลังเข้ารับการฝึกพัฒนาศักยภาพตามสัญญาการรับทุนฯ ม.ท.ศ. แพทย์ สนามได้ตรวจพบอาการปวดศรีษะร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูงมากและผันผวนซึ่งเป็นอาการผิดปกติอย่างมาก สำหรับเด็กวัยนี้ จึงส่งเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ผลการตรวจยืนยัน พบเส้นเลือดแดงใหญ่ตีบแคบ และอักเสบ แพทย์ได้รักษาอาการอักเสบของหลอดเลือด โดยให้ยาเคมีบาบัดควบคู่กับสเตียรอยด์ พบว่าการ ตอบสนองต่อเคมีบาบัดเป็นไปด้วยดี และวางแนวทางการรักษาต่อไปด้วยการผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจ

“อาการความดันโลหิตสูงแบบไม่ทราบสาเหตุผมเป็นมาตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษาปีที่2 แล้ว ตอนนั้นหมอที่อนามัยก็ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอและโรงพยาบาลประจำจังหวัดก็ยังวินิจฉัยหาสาเหตุโรคไม่ได้ รู้แค่ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงหมอก็ให้ยามาทานเรื่อยๆ กระทั่งปี 2564 ผมเป็นนักเรียนทุน ม.ท.ศ. แล้ว ไปร่วมกิจกรรมค่ายพัฒนาศักยภาพ แล้วมีอาการวิงเวียนศีรษะ ก็เลยไปที่ห้องพยาบาลตอนนั้นเราอยู่ พอวัดความดันสูงถึง 170-180 ซึ่งสูงมาก หมอก็เลยส่งไปที่โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ แล้วก็แอดมิทเพื่อหาสาเหตุของโรค โดยผลการตรวจยืนยัน พบเส้นเลือดแดงใหญ่ตีบแคบ และอักเสบ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้น้อยมากในเด็กผู้ชาย”

วีรนันท์ เล่าต่อว่าระหว่างที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นในแต่ละวันค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกวัน คนที่ทุกข์หนักที่สุดในช่วงนั้นนอกจากเขา ก็คือผู้เป็นบิดา ที่จะต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ลูกชาย ครั้นความทุกข์ร้อนนี้ทราบยังฝ่าพระบาท องค์ผู้ก่อตั้งทุนการศึกษาพระราชทานจึงทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และวันนั้นเองที่วีรนันท์ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เป็นบิดาอีกครั้ง

“หลังจากที่เราแอดมิดโรงพยาบาลก็จะมีเรื่องค่ารักษาพยาบาลค่าใช้จ่ายหลายด้าน ทางคณะกรรมการทุนการศึกษาฯจึงได้นำความกราบบังคมทูล และพระองค์จึงทรงรับผมเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ผมรู้สึกดีใจและตื้นตันใจที่สุด แต่คนที่สุดดีใจมากกว่าผมก็คือพ่อ เพราะไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลผมเกือบหนึ่งแสนบาทพ่อดีใจจุกจนพูดไม่ออกเลยครับ และก็เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อหลังจากวันที่ผมป่วยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ตอนนี้ผมก็ยังคงรับการตรวจติดตามอาการตามเวลาที่แพทย์นัดอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะพร้อมเข้ารับการผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจ ต่อไป”

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ไม่มีความเดือดร้อนใดของพสกนิกรอยู่นอกสายพระเนตรพระกรรณ จึงทำให้ วีรนันท์ ตั้งปณิธานกับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่า ชีวิตนี้เขายังจะตายไม่ได้ต้องได้ตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ และตอบแทนแผ่นดินเกิดก่อน

“ผมต้องขอบพระคุณพระองค์ท่านที่ให้โอกาสมากขนาดนี้ ทุนการศึกษาพระราชทานไม่เพียงแค่เป็นประตูที่ทำให้เรามีอนาคตที่ดีได้เท่านั้นหากแต่ยังช่วยชุบชีวิตให้ผมรอดตายจากโรคร้ายแรงได้ซึ่งเหมือนเป็นการให้ชีวิตใหม่กับผม ดังนั้นผมขอสัญญาว่าผมจะตั้งใจเรียนให้จบมหาวิทยาลัยแล้วมาเป็นครูเพื่อสอนให้นักเรียนเป็นคนดีมีทัศนคติที่ดีเป็นนักเรียนที่มีคุณภาพเป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไป ขอเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยพัฒนาประเทศต่อไป” 


ปิดท้ายที่ มิ้งค์-นางสาวฐิติชญา ลุนแดง นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนวาปีปทุม จ.มหาสารคาม นักเรียนทุน ม.ท.ศ.รุ่น14 เล่าด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจว่า ทุนการศึกษาพระราชทานนี้ถือเป็นเกียรติแก่ตัวเธอและครอบครัวของเธออย่างมากและจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสานต่อความฝันที่อยากเป็นคุณหมอให้เริ่มมีตัวตนขึ้นมาอีกครั้ง

“ตอนนั้นอยู่กับแม่แล้วคุณครูโทรมาบอกว่าเราได้รับทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. เราก็ตื้นตันใจดีใจที่สุด ถือเป็นเกียรติของครอบครัวเรามาก จะได้สานฝันให้หนูได้เป็นหมอสมกับความตั้งใจ เพราะลำพังฐานะทางบ้านเราก็คงไม่มีเงินที่จะเรียนหมอได้ ดังนั้นทุนการศึกษาพระราชทานนี้ จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้หนูได้เรียนหมอเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากให้เขาหายจากทุกข์ แค่นี้หนูก็มีความสุขแล้วค่ะ”

มิ้งค์ วางแผนอนาคตของตัวเองหลังจากที่ได้รับทุนการศึกษาพระราชทาน ไว้ว่า เธอจะตั้งใจศึกษามัธยมปลายอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะทำคะแนนสอบเข้าศึกษาต่อคณะแพทย์ศาสตร์ตามที่วาดฝันไว้ เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้ส่วนรวม อันเป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน

“อยากจะขอบคุณพระองค์ท่านที่ทรงเล็งเห็นศักยภาพเด็กคนหนึ่ง เพื่อสานฝันต่อให้ประสบความสำเร็จ วันนี้ได้รับทุนเรียนจนจบปริญญา พอจบ ม.6 แล้วหนู จะไปศึกษาทางด้านคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่กำลังคิดอยู่ว่าจะเป็นหมอข้อกระดูกหรือด้านดวงตาเพราะมีคุณยายทั้งสองก็จะป่วยเกี่ยวกับข้อกระดูก และดวงตา ทำให้ท่านมองไม่เห็นวันหนึ่งหนูได้รับรางวัลพระราชทานและเอาไปให้คุณยายดูคุณยายก็พูดว่ายายคงจะไม่มีโอกาสได้มองเห็นลูกหลานของตัวเอง มันจึงทำให้เราอยากเป็นหมอด้านจักษุ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่สายตามองไม่เห็นให้เขาได้กลับมามองเห็นโลกได้อีกครั้ง”

นับเป็นความโชคดีของพสกนิกรชาวไทยอย่างแท้จริงที่อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ที่ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาของเยาวชนไทย อันเป็นรากแก้วและกำลังสำคัญที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศชาติให้เจริญมั่นคงสืบไป