“สนธิ” ย้ำจัดรายการ มุ่งให้ปัญญาประชาชน ยึดมั่น “ความจริงมีหนึ่งเดียว” ตรวจสอบค้นคว้าข้อมูลก่อนพูด ต่างจาก “ชูวิทย์” ที่จับจุดอ่อนคนไทยเกลียดตำรวจ สร้างกระแสหาแสงให้ตัวเอง จนเกิดแฟนคลับที่พร้อมจะเชื่อทุกอย่าง แม้ถูกจับได้ว่าโกหกพกลม และมีคนอื่นสู้เพื่อสังคมมากมายแต่บรรดาติ่งก็มองไม่เห็น จี้ “เสี่ยอ่าง” รีบรับคำท้า “ปานเทพ” ดีเบตกัญชา อย่าเก่งแต่พูดอยู่คนเดียว “หนุ่ม กรรชัย” พร้อมให้ออก “โหนกระแส”
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 10 มี.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงแนวคิดในการจัดรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ SONDHI TALK ว่า เพราะต้องการเอาประสบการณ์ชีวิตของคนอายุ 70 กว่าปี ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความเป็น-ความตายมาทุกอย่าง ตลอดจนองค์ความรู้ของตัวเอง ที่ให้ความสนใจในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่หนุ่มมาถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นการให้ปัญญาคน
“ขอประทานโทษท่านผู้ชมครับ สังคมไทยเป็นสังคมที่ด้อยปัญญามาก ยิ่งผมเห็นคนที่ลุ่มหลง หลงใหล คลั่งไคล้คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แล้ว ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าความเชื่อของผมนี้่ไม่ผิดเลย
“การให้ปัญญาคนเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่การให้ปัญญาคน หัวใจสำคัญคือความจริงต้องมีหนึ่งเดียวเท่านั้น นี่คือการให้ปัญญาคน ถ้าให้ปัญญาคนด้วยการโกหกพกลม เหมือนคุณชูวิทย์ อันนั้นไม่ใช่ให้ปัญญาคน นั่นคือการให้ยาพิษกับสังคมไทย เพราะฉะนั้นแล้ว การให้ปัญญาคนต้องยืนหลักความจริงมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ต้องไม่พูดจากลับกลอก ไม่มีวาระซ่อนเร้น”
นายสนธิ กล่าวว่า ในแต่ละสัปดาห์ นอกจากส่วนตัวที่ต้องศึกษาหาข้อมูลแล้ว ยังมีทีมงานที่เข้มแข็งและเก่งในเรื่องการค้นหาข้อมูล นำเอาข้อมูลที่เตรียมไว้ขึ้นมาวางบนโต๊ะให้ดูกันว่า ถ้ามีอะไรเป็นข้อสงสัย ก็ต้องกลับไปค้นคว้าเพิ่มเติม หรือสอบถามเพิ่มเติม เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ออกรายการตอนที่ 1 ในปลายปี 2562 จนถึงวันนี้ แล้วจะเป็นอย่างนั้นต่อไป จนกว่าจะหยุดทำหรือว่าตนหมดลมหายใจไป
ทุกอย่างในประเทศไทยจะไปได้ด้วยการที่ประชาชนต้องมีปัญญาซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะความหลากหลายทางสถานภาพของประชาชนแต่ละคน ตลอดจนการรับรู้พื้นฐานทางการศึกษาไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จึงต้องเป็นรายการที่ใช้ภาษาพูดที่ชาวบ้านสามารถจะเข้าใจเรื่องที่สลับซับซ้อนได้ จากการอธิบายแบบภาษาชาวบ้าน แต่จะทำวิธีไหนก็ตาม หัวใจสำคัญที่อยู่กับรายการนี้ ก็คือ ความจริงต้องมีหนึ่งเดียวเท่านั้น
ยิ่งในยุคโซเชียลมีเดียที่คนสามารถเข้าถึงหน้าเพจต่างๆ ได้ การทำความเข้าใจในข้อมูลเพจต่างๆ นั้น มันมีข้อจำกัด และยิ่งหากนำเสนอโดยคนที่หิวแสง หลงตัวเอง และต้องการให้คนมาอวยตัวเอง อยากเชิดชูตัวเองเป็นพระเอกของสังคมว่าต่อสู้เพื่อประชาชน ซึ่งร้อยทั้งร้อยก็จะจบลงด้วยการถูกจับได้ว่าโกหก เพียงแต่ว่าเมื่อไรเท่านั้นเองที่ถูกจับได้
“ชูวิทย์” จับจุดอ่อนคนไทยเกลียดตำรวจ สร้างกระแสหาแสงให้ตัวเอง
ในกระบวนการขั้นตอนต่างๆ นั้น คนที่ลุ่มหลง หลงใหล คลั่งไคล้กับคนหิวแสง ก็จะถูกอารมณ์ร่วมในการเกลียดชังในเรื่องราวต่างๆ ที่ตัวเองประสบอยู่ เช่น กรณีความประพฤติ ความชั่วร้าย ที่วงการตำรวจมีอยู่ในสังคมนี้ ประชาชนเกลียดตำรวจมาก
“เผอิญคุณชูวิทย์จับจุดอ่อนของสังคมได้ ก็เลยสร้างกระแสตัวเองขึ้นมา จากประเด็นการโจมตีตำรวจ เจาะเข้าไปในเรื่องราวของกลุ่มอาชญากรสีเทาและสีดำ ทุกคนดีใจก็เห็นชูวิทย์เป็นดาวรุ่ง ผมก็ดีใจ เป็นคนที่ทำเพื่อชาติบ้านเมือง เพียงเพราะว่าได้มีการพูดถึงกลุ่มที่คนประชาชนเกลียดชังอยู่แล้ว อารมณ์ร่วมก็เลยปรี๊ดขึ้นมาอย่างสูง ต่อจากนั้นแล้ว พอชูวิทย์พูดอะไรก็ตาม จะจริงหรือไม่จริง ก็จะยึดถือคำพูดของชูวิทย์เป็นสรณะ”
นายสนธิ กล่าวต่อ ว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องบางเรื่องถ้าหยุดคิดสักนิด ก็จะเห็นว่าบางเรื่องนั้นมันมีอะไรผิดปกติ แต่คนที่คิดอย่างนี้ได้ ต้องเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการว่า ความจริงนั้นต้องมีหนึ่งเดียวเท่านั้น อย่างเช่นการที่ตำรวจที่ประชาชนเกลียดชัง โดยนายชูวิทย์เป็นคนนำหัวขบวนขึ้นมา ถ้าใครคิดเป็น ก็จะรู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หายไปไหน ทำไมนายชูวิทย์ไม่ออกมาแจกแจงความผิดหรือความไม่รับผิดชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะฉะนั้นแล้ว นายชูวิทย์น่าจะต้องไปบีบคั้น พล.อ.ประยุทธ์ ว่าทำไมไม่จัดการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เด็ดขาด พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ผบ.ตร. คนนี้ เข้ามาแค่ปีเดียว กลายเป็นหนังหน้าไฟ
นายชูวิทย์เคยพูดว่า เคยตำหนิ พล.อ.ประยุทธ์ แต่หลังจากที่นายหิมาลัย ผิวพรรณ พานายชูวิทย์ไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ 2 ครั้ง วันที่ 9 มกราคม และวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ท่าทีของนายชูวิทย์ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เปลี่ยนไปเลย การออกมาเจาะเรื่องราวของตู้ห่าว โดยเฉพาะเมื่อไปพัวพันกับกรณีของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีรถทัวร์กว่า 400-500 คัน ของบริษัท M&M Transport Service จำกัด สุดท้ายเงียบหายไป น่าเสียดาย ถ้าไม่มีวาระซ่อนเร้น น่าจะลุยต่อไปเลย แต่พอไปเจอ พล.อ.ประยุทธ์ 2 ครั้ง ทีท่าก็เปลี่ยนไปหมด ไม่แตะ พล.อ.ประยุทธ์ อีกเลยแม้แต่นิดเดียว
“นอกจากนั้นแล้ว คนที่ชอบคุณชูวิทย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็จะไม่สนใจว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่น่าเสียใจและน่าเศร้า กลับยอมรับการโกหกของคุณชูวิทย์ ที่ถูกจับได้หลายต่อหลายกรณี โดยไม่ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมคนๆ หนึ่งที่ประชาชนลุ่มหลง หลงใหล ถึงพูดจากลับกลอกแบบนี้”
โดนจับโกหกซ้ำๆ แฟนคลับก็พร้อมจะเชื่อ
นายสนธิ กล่าวต่อ ว่า ยกตัวอย่าง กรณีรถไฟฟ้าสีส้มที่นายชูวิทย์สาบถสาบานไม่ได้รับงานใครมา แล้วบอกว่าส่งเอกสารร้องเรียนพร้อมกับข้อมูลต่างๆ ไปให้ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี แล้ว แต่ก็ถูกเปิดโปงว่าเอกสารที่ส่งไปเป็นเอกสารชุดเดียวกับที่บีทีเอสเคยส่งไปร้องเรียนแล้ว รายละเอียดหน้าต่อหน้า ภาพต่อภาพ มีอยู่ส่วนเดียวที่ไม่เหมือนกับที่บีทีเอสส่งไป ก็คือใบปะหน้าเท่านั้น ในที่สุดเมื่อเถียงไม่ออกนายชูวิทย์ก็บอกว่าใช่ รับงานมา มีอะไรหรือเปล่า แล้วก็ใช้วิธีเดิมๆ คือยกมือสาบานว่าไม่ได้รับเงินนะ ซึ่งจะรับหรือไม่รับ ก็มีนายคีรี นายชูวิทย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้างบนที่รู้
“แต่นี่มันเป็นตลกร้าย สะท้อนให้เห็นถึงความด้อยปัญญาของคนที่ลุ่มหลง มัวเมา หลงใหลในตัวคุณชูวิทย์อย่างมืดบอด ไม่ได้คิดเลยว่าในที่สุดแล้วเมื่อคุณชูวิทย์ออกมายอมรับทางหน้าเฟซบุ๊กตัวเองว่า ผมรับงานมา แล้วจะทำไม ด้วยวาทกรรมแบบนี้ทำให้คนหลงใหลคุณชูวิทย์ น้ำหูน้ำตาไหลพราก โดยลืมไปว่านี่คือการพูดจากลับกลอกตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าโกหกพกลม ตอหลดตอแหล
“มันเกิดอะไรขึ้นกับ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว" มันหายไปไหนแล้ว กลายเป็นว่าสังคมไทยส่วนหนึ่งก็ชอบที่คุณชูวิทย์โกหกพกลม”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า อีกเรื่องหนึ่งนายชูวิทย์พูดชัดเจนวันที่อยู่หน้าทำเนียบฯ บอกว่า มีการโอนเงิน 3 หมื่นล้านบาท เข้าบัญชีธนาคาร HSBC ที่สิงคโปร์ บอกว่ามีเบอร์บัญชีอยู่ แต่ต่อมาภายหลังนายชูวิทย์ถูกจี้หนัก ก็อาละวาดใหญ่ เล่นละคร โวยวาย แกล้งทำบ้า เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นที่จะต้องตอบคำถามนี้
“แต่ในที่สุด คุณชูวิทย์ก็ใช้ตรรกะที่หลอกเฉพาะคนโง่ๆ ได้ โดยพูดว่า โครงการยังไม่เสร็จ ยังไม่สามารถเข้า ครม. ได้ เพราะฉะนั้นเงินก็ยังไม่ได้โอน อ้าว! นี่มันตรรกะวิบัตินี่ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะรับได้ แต่คนที่มีสติ พร้อมที่จะใช้ความจริงที่มีหนึ่งเดียวเป็นหลักในการคิด ก็ย่อมรู้ว่าคุณชูวิทย์โกหกหลอกลวง ใช้ประโยชน์จากการที่ประชาชนเชื่อถือตัวเอง เพราะคนที่เชียร์คุณชูวิทย์นั้นก็เป็นเครื่องมือของคุณชูวิทย์”
นายสนธิ กล่าวต่อ ว่า อีกเรื่องหนึ่งคือ อดีตผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. นายชูวิทย์ก็ถล่มผู้พิพากษาคนนี้ กล่าวหาอย่างผิดๆ โดยไม่มีข้อมูล ข้อเท็จจริง เพื่อจะโยงผู้พิพากษาคนนี้ให้เข้ากับเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังถูกส่งเข้าไปใน ป.ป.ช. รวมทั้งโยงว่าเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบ ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับคู่กรณีของนายชูวิทย์ ก็เป็นิศิษย์เก่าสวนกุหลาบ คือนายเนวิน ชิดชอบ แล้วตั้งข้อหาว่าเป็น สวนกุหลาบคอนเนกชัน
ในที่สุดข้อมูลก็ออกมาชัดเจนว่า ผู้พิพากษาคนนี้ได้รับการโปรดเกล้าฯ มาแล้วจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีการตรวจสอบทุกอย่างถูกต้องหมด สิ่งที่นายชูวิทย์กล่าวหาผู้พิพากษาคนนี้ก็กลายเป็นเรื่องโกหกอีกเรื่องหนึ่ง ที่นายชูวิทย์ไปด้อยค่าเขา หาว่าเขาข้ามหัวคนไป แล้วก็ดำรงตำแหน่งอธิบดีแค่ 6 เดือน ในที่สุดก็พิสูจน์ชัดเจนว่า ในวงการผู้พิพากษาแล้ว การเป็นหัวหน้าองค์คณะผู้พิพากษานั้น ตำแหน่งเทียบเท่ากับการเป็นอธิบดี
“แต่คุณชูวิทย์ รู้ว่าผิดทั้งผิด ไม่ยอมขอโทษ แม้กระทั่งเรืองกัญชา คุณชูวิทย์กระเหี้ยนกระหือมาก ไม่รู้มันเป็นอะไรถึงจงเกลียดจงชัง หรืออยากจะถล่มพรรคภูมิใจไทย เพียงพรรคเดียว อันนี้ผมไม่รู้นะ มันเป็นความอาฆาตแค้นกันตั้งแต่ชาติก่อนหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้”
นายสนธิ กล่าวว่า การเจาะเข้าไปหาประเด็นเรื่องการคอร์รัปชันก็เป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำ แต่การพูดจาดำเนินการเจาะเข้าประเด็นด้วยวิธีที่มันสะท้อนให้สงสัยว่าทำไมถึงกราดเกรี้ยวและอาฆาตแค้นมาก พรรคเพื่อไทยก็มีโอกาสถูก กกต.ยุบพรรค เพราะมีการครอบงำจากคนนอก คือนายทักษิณ ชินวัตร พรรคพลังประชารัฐก็มีโอกาสถูกยุบพรรคเพราะตู้ห่าว รวมไทยสร้างชาติก็มีโอกาสถูกยุบพรรค แต่นายชูวิทย์กลับตาบอด หูดับ สนใจจะกระทืบแต่พรรคภูมิใจไทย
“ผมไม่ได้ยุ่งกับเขานะ พรรคภูมิใจไทย ปล่อยเขาไป ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตว่ามันอะไรกันแน่ ตรงนี้สิ ที่ประชาชนที่มีสติและมีปัญญาอยู่บ้าง ก็คงจะดูออกว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันผิดปกติเหลือเกิน” นายสนธิ กล่าว
คนทำดีกมีอีกเยอะ แต่ติ่ง “ชูวิทย์” ไม่รู้จัก
นายสนธิ กล่าวอีกว่า อยากให้คนที่เชียร์นายชูวิทย์ว่าเป็นสุดยอดเป็นคนดี แฉคนชั่ว ทำเพื่อบ้านเมือง เชื่อนายชูวิทย์ทุกอย่าง แต่อยากให้คิดสักนิดว่า ประเทศไทยตั้งแต่สมัยนายชูวิทย์ยังมั่วสุมอยู่กับการทำธุรกิจค้ามนุษย์ มีคนที่ทำงานเพื่อชาติหลายคน เช่น น.ส.รสนา โตสิตระกูล น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ที่ต่อสู้ไม่ให้มีการแปรรูปสายส่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทั้งๆ ที่รัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตร กำลังจะดำเนินการเรื่องนี้อยู่ จนในที่สุดศาลปกครองมีมติออกมาบอกว่า ไม่สามารถที่จะทำได้ในการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ นี่ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของประชาชนหรือเปล่า
หรือกรณี ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ น.ส.รสนา และอีกหลายคนที่ต่อสู้เรื่องพลังงานราคาแพง เพราะทุนพลังงานรังแกประชาชน คนพวกนี้สู้มาร่วมสิบปีแล้ว เขาไม่ใช่เพิ่งสู้ แต่ไม่มีใครเชิดชูและเทิดทูนเขา เพราะว่าเขาสู้กับสิ่งซึ่งประชาชนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่นายชูวิทย์สู้กับตำรวจซึ่งประชาชนเกลียด
“แต่ผมถามกลับว่า คนที่ผมเอ่ยชื่อ แม้กระทั่งอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกไม่ได้สู้เฉพาะเรื่องนี้ แกสู้หลายเรื่องเหลือเกิน แกสู้เรื่องสมุนไพรไทยพร้อมกับผม เรื่องฟ้าทะลายโจร และแกทำเรื่องกัญชามาตั้งแต่ต้น กัญชาสักต้นก็ไม่ได้ปลูก ผมก็ไม่มีปลูก ไม่เหมือนคุณ คุณออกมาด่ากัญชา แต่คุณก็ให้ลูกคุณเปิดแหล่งนันทนาการกัญชา คุณเป็นห่วงเด็ก แต่คุณไม่เป็นห่วงเด็กที่จะมาใช้บริการของร้านนันทนาการของลูกชายคุณ
“คุณชูวิทย์ครับ ท่านผู้ชมครับ คนที่ผมเอ่ยชื่อไปเมื่อกี้นี้ เขาไม่ใช่คนดีเหรอ เขาไม่ได้คิดถึงชาติบ้านเมืองเหรอ คนพวกนี้สู้เพื่อค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันรถ เรื่องการปฏิวัติโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน”
จี้รับคำท้า “ปานเทพ” ดีเบตกัญชา “หนุ่ม กรรชัย” พร้อมให้ออก “โหนกระแส”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายปานเทพได้ท้าดีเบตเรื่องกัญชากับนายชูวิทย์ไว้แล้วเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน นายชูวิทย์ที่คัดค้านกัญชามาตลอด เอาเด็กและเยาวชนเป็นตัวประกัน ควรจะรีบรับคำท้า เอาข้อมูลมากาง ประเด็นต่อประเด็น หน้าต่อหน้า จะได้รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
“อาจารย์ปานเทพเขาเหมาะที่จะสู้กับคุณอย่างเต็มที่ เพราะว่าเขาไม่ได้ปากว่าตาขยิบเหมือนคุณ เขาไม่ได้ปลูกแม้กระทั่งกัญชา 1 ต้น ไม่มีธุรกิจอะไรเกี่ยวข้องกับกัญชาเลยแม้แต่นิดเดียว เขามีแต่จิตที่บริสุทธิ์ ความรู้ทางวิชาการ ที่จะให้กัญชานั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย
“คุณชูวิทย์ ฟังให้ดีๆ นะครับ อาจารย์ปานเทพบอกผมแล้ว พร้อมจะขึ้นทุกเวที ผมได้ติดต่อไปทางคุณหนุ่ม กรรชัย รายการ "โหนกระแส" คุณหนุ่มบอกว่า โอ้ ดีมากเลยคุณอา ผมพร้อมเสมอ แล้วคุณชูวิทย์จะมาเหรอ คุณชูวิทย์ครับ ขอให้คุณรับคำท้า และคุณสาบานก่อนเข้ารายการว่าคุณจะไม่โกหกกลับกลอกออกอากาศก็พอ เหมือนกับที่คุณโกหกในเรื่องของเงินทอน 3 หมื่นล้าน รถไฟสายสีส้ม
“ผมไม่อยากให้คุณชูวิทย์ปฏิเสธคำท้าทายของอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ปานเทพตัวเล็กๆ สุภาพ นักวิชาการ ทำงานเรื่องกัญชา คุณชูวิทย์อย่าไปโยนนวมให้อาจารย์ปานเทพนะครับ แกไม่ชกอะไรกับคุณหรอก แกสู้คุณไม่ได้หรอก และอีกอย่าง แกไม่ได้มีนิสัยเป็นเกี๋ยวกุ๊ย แกไม่ชอบเบี่ยงเบนประเด็นอะไร คุณชูวิทย์ครับ สาธุ! รับคำท้าเถอะ อย่าเก่งแต่พูดอยู่คนเดียว แล้วแฟนพันธุ์แท้ของคุณชูวิทย์ช่วยเชียร์ลูกพี่คุณหน่อยสิ ช่วยเชียร์เขาหน่อย” นายสนธิ กล่าว