xs
xsm
sm
md
lg

“หอแว่น” ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสายตากว่า 70 ปี ปรับโครงสร้างบริหาร ชูมาตรฐาน BVAX สู่การบริการที่เป็นเลิศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อพูดถึง “หอแว่น” คงคุ้นหูและคุ้นเคยกับร้านแว่นตาที่มีบรรยากาศอบอุ่นสบายๆ และมีพนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสคอยต้อนรับให้บริการ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเรียกชื่อกันอย่างสั้นๆ ก็เป็นอันเข้าใจ แต่เมื่อย้อนกลับไปในวันที่แบรนด์ “หอแว่น Better Vision” เปิดสาขาแรกในศูนย์การค้าเพลินจิต ศูนย์การค้าแห่งแรกของประเทศไทยในตอนนั้น ผ่านวันเวลายาวนานมากกว่า 70 ปีที่หอแว่นได้รักษาชื่อเสียงและมาตรฐานของการเป็นผู้นำธุรกิจในด้านสายตาอย่างครบวงจร จนขยายเพิ่มไปมากกว่าหนึ่งร้อยสาขาแล้วในประเทศไทย และอีกสิบกว่าสาขาในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์

หลังสถานการณ์โควิด-19 ซาลง และเกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตมากขึ้น บริษัทในเครือของหอแว่นเองก็ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจเพื่อปรับตัวให้ทันกับกระแสปัจจุบันมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 โดยได้ ดร.ปิยะพงษ์ ธัญญศรีสังข์ เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการเป็นซีโอโอดูแลธุรกิจเครือเซ็นทรัลดีพาร์ทเมนต์สโตร์-โรบินสัน ภารกิจในวันนี้จึงมีเป้าหมายในการบริหารธุรกิจในเครือทั้งหมดให้สอดรับและส่งเสริมกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ธุรกิจในเครือหอแว่นนั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสายตาตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ซึ่งนอกจากจะมี บริษัท หอแว่น กรุ๊ป จำกัด ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกับ TOG หรือบริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทผลิตเลนส์มาตรฐานระดับโลก และส่งออกไปยังประเทศชั้นนำเป็นหลัก อาทิ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา สหรัฐอเมริกาแล้ว ยังมี บริษัท นำศิลป์ไทย จำกัด ผู้นำเข้าและเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องวัดสายตา กรอบแว่นตายี่ห้อดังและเลนส์ชั้นนำหลายยี่ห้อในประเทศไทย และ GLAZZIQ - Lifestyle Eyewear ที่เน้นความเป็น Omni-channel เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ต่อเนื่องระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล

ดร.ปิยะพงษ์ เล่าถึงแนวคิดในการบริหารว่า “Vision Ventures เป็นการรวมทั้งสามบริษัทคือ หอแว่น ( Retailer) นำศิลปไทย (Wholesaler) และ GLAZZIQ (Eyewear ecommerce) เข้าด้วยกัน โดยที่ทั้ง 3 บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจเดิมต่อไป เพียงแต่จะมีบางส่วนที่จะสามารถแชร์ทรัพยากรหรือบริการร่วมกันเพื่อเสริมกำลังในการขยายขนาดธุรกิจให้เติบโตขึ้นได้ ยกตัวอย่างการใช้ Omni channel เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป อย่างเช่น เมื่อลูกค้าของ GLAZZIQ เลือกกรอบแว่นที่ถูกใจแล้วอยากวัดสายตาด้วย สามารถเข้ามาที่ร้านหอแว่นได้ เรามองว่าเมื่อทั้งสามบริษัทรวมกันแล้วจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม”


ปรับโครงสร้างบริหารรวมศูนย์ เสริมแกร่งให้ธุรกิจ
ภาพรวมของตลาดแว่นตาหลังสถานการณ์โควิดนับได้ว่าเป็นตลาดที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าตลาดอื่น ส่วนหนึ่งเพราะเป็นสินค้ากลุ่มสุขภาพที่มีความต้องการ หลังร้านแว่นตาต้องปิดเป็นระยะเวลานานเพราะโควิด เมื่อกลับมาเปิดได้ตามปกติ จึงมีกลุ่มลูกค้าที่รอคอยอยู่จำนวนมากกลับมา

“ธุรกิจแว่นตาอาจเป็นธุรกิจที่โดนดิสรัปน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แต่ในตอนนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณว่ามันก็มีโอกาสที่จะถูกดิสรัปแล้วเหมือนกัน ซึ่งมองการดิสรัปได้สองทาง คือเป็นความเสี่ยง หรือเป็นโอกาสที่ถ้าเราปรับตัวเข้ากับมันได้ ก็จะเติบโตได้

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจแว่นตาถูกดิสรัปก็คือลักษณะของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนิยมซื้อของออนไลน์มากกว่า แต่สำหรับแว่นตาแล้วก็ยังมีกระบวนการวัดสายตา ต้องไปร้านแว่น ให้ช่างที่ชำนาญเป็นคนวัดโฟกัสที่ถูกต้องและแนะนำการใช้งานให้ ดังนั้นสำหรับแว่นสายตาก็ยังขายออนไลน์ได้ไม่เต็มที่นัก ส่วนลูกค้าที่รู้ค่าสายตาของตัวเองอยู่แล้วและอยากได้แว่นสายตาหรือแว่นกันแดดก็จะสั่งซื้อออนไลน์ได้ อย่างเช่นลูกค้าแบรนด์ GLAZZIQ ของเรา”

เมื่อถามถึงการนิยมทำเลสิกในปัจจุบันว่าเป็นคู่แข่งหรือไม่ ดร.ปิยะพงษ์ตอบว่าความจริงแล้วคนที่แม้ทำเลสิกจะไม่ต้องสวมแว่นตาอยู่ตลอดอีกต่อไป แต่ก็ยังคงใช้แว่นสายตาในบางครั้งอยู่เหมือนเดิม และที่สำคัญส่วนใหญ่ยังจำเป็นต้องใช้แว่นกันแดดเพื่อถนอมดวงตาอยู่ดี

“ในอดีตเราจับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเมนต์ค่อนข้างกลางถึงบน แต่ในวันนี้เรามีการทดลองที่จะใช้ฟอร์แมตใหม่ๆ ที่จะสามารถจับกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้นได้ เพิ่มไลน์สินค้าที่มีราคาย่อมเยาลงเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และกำลังอยู่ในช่วงทดลองพัฒนาร้านอีกรูปแบบหนึ่งที่จะให้ประสบการณ์ที่ต่างจากร้านแว่นตาทั่วไปในปัจจุบัน แต่ส่วนที่เราจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยคือด้านคุณภาพและความเชี่ยวชาญของหอแว่น ที่เราได้พัฒนามาตรฐาน BVAX มานานเป็นสิบปีแล้วให้แก่ฝีมือช่าง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ในทุกครั้งที่มาวัดสายตากับหอแว่น”


ยึดมั่นในความเชี่ยวชาญ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัย
สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในการตัดแว่นก็คือ พฤติกรรมในการมองของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนมองด้วยการหันคอ แต่บางคนมองด้วยการเหลือบสายตา ความยากจึงอยู่ที่ช่างต้องทำให้โฟกัสเลนส์ให้ถูกต้อง ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ของช่างสูงมาก

“ด้วยปัญหานี้ หอแว่นจึงลงทุนด้านเทคโนโลยี โดยร่วมมือกับบริษัทผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสเปน ร่วมพัฒนาเครื่อง ตรวจสายตาที่ใช้เทคโนโลVR (Virtual Reality-Based Eye Measurement)) เพื่อช่วยในการตัดเลนส์ progressive สำหรับลูกค้าที่เริ่มมีสายตาสั้นและยาวผสมกัน หรือมีค่าสายตาเอียงมากๆ หรือมีค่าสายตาซับซ้อนและต้องใช้เลนส์แบบพิเศษที่สามารถมองได้ทั้งระยะใกล้และไกล เราพัฒนาจาก pain point ที่หลายคนใช้แล้วเวียนหัว ดังนั้นเครื่องนี้จะมีโปรแกรมทดสอบพฤติกรรมการมองผ่านแว่น VR แล้วสรุปข้อมูลในการผลิตเลนส์ custom ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ”

นอกจากเรื่องเลนส์ที่นับว่าสำคัญที่สุดแล้ว กรอบแว่นตาที่สวมใส่ได้อย่างสบายนั้นก็เพราะพอดีกับโครงหน้า ซึ่งแต่ละบุคคลย่อมมีปัจจัยที่แตกต่างกันอย่างมาก ทั้งความกว้างของใบหน้า ความโด่งของจมูก โหนกแก้ม ช่วงกว้างตั้งแต่หูจนถึงดวงตา ทำให้การเลือกกรอบแว่นที่เหมาะสมที่สุดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว

“กรอบแว่นตาแบรนด์ดังๆ จะมีให้เลือกว่าเป็น Asian Fit หรือ European Fit ด้วยสรีระของใบหน้าชาวเอเชียและชาวตะวันตกจะแตกต่างกัน โดยเฉพาะแว่นกันแดดที่ขายต่างประเทศ คนเอเชียส่วนใหญ่มักจะใส่ไม่พอดีกับใบหน้า โดยเฉพาะกรอบแว่นอาซิเตตที่ไม่มีแป้นตรงดั้งจมูกให้ปรับได้ ดังนั้นเราจึงร่วมพัฒนาและนำเข้าเครื่อง Invision 3D Printing Frame Customization ขึ้นมา เพื่อช่วยวัดขนาดของใบหน้าในมุมต่างๆ ก่อนเลือกกรอบแว่นที่สวมใส่สบายที่สุด”

โดยเครื่องจะแสดงผลโครงสร้างใบหน้าออกมาเป็นภาพ 3 มิติ ด้วยเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) แล้วนำค่าตัวเลขที่ได้มาออกแบบเป็นขนาดของกรอบแว่นที่พอดีกับทรงหน้า ลูกค้าจึงสามารถเลือกสไตล์แว่นที่มีค่าใกล้เคียงได้เหมาะสมโดยไม่ต้องลองแว่นจริง หรือจะเลือกพิมพ์กรอบแว่นแบบ 3D Printing ได้อีกด้วย โดยทางหอแว่นจะส่งแบบที่ได้ไปให้พาร์ตเนอร์บริษัทผลิตแว่นตาในประเทศสเปนพิมพ์ออกมา ใช้เวลาประมาณ 30 วัน ซึ่งตอนนี้มีเครื่องพร้อมให้บริการแล้วใน 2 สาขา คือสาขาสยามพารากอน และสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว 

โดยเฉพาะสาขาสยามพารากอน ที่เพิ่งรีโนเวทร้านในคอนเซปต์ใหม่ สวยงามดึงดูดมากขึ้น นำดีไซน์โค้งของเลนส์มาใช้ออกแบบชั้นโชว์แว่นตา พร้อมผนังติดตั้งจอภาพแอลอีดี ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าได้ประทับใจ พร้อมเครื่องมือเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างครบครัน ส่งผลให้สาขามีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ และหอแว่นยังตั้งเป้าหมายต่อไปอีกว่าจะปรับปรุงอีก 20 สาขาภายในปีนี้

“นอกจากนั้นเรายังส่งเสริมให้พนักงานในแต่ละสาขาได้เรียนภาษาต่างประเทศเพิ่ม เพราะมีลูกค้าต่างชาติเพิ่มมากขึ้น โดยสาขาโรงพยาบาลกรุงเทพยังสามารถสื่อสารด้วยภาษาอาหรับ อีกทั้งปีนี้ยังมีแผนขยายสาขาของร้านหอแว่นเพิ่มขึ้นอีก 10 สาขา และเราวางแผนที่จะเตรียมเปิดร้านแว่นตาสำหรับตอบสนองเซ็กเมนต์ที่กว้างขึ้น โดยจะเข้าถึงในพื้นที่ชุมชน ตลาดและปั๊มน้ำมัน อีกกว่า 40 สาขาทั่วประเทศ”




BVAX Academy DNA ของหอแว่นอยู่ในพนักงานทุกคนที่มีความภูมิใจในความเชี่ยวชาญด้านสายตา และการลงทุนเรื่องคุณภาพของพนักงานเป็นเรื่องที่บริษัทให้ความสำคัญ เพราะองค์ประกอบของการตัดแว่นตาสักอันนั้นต้องเกี่ยวข้องกับศาสตร์หลายอย่าง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสายตา (Optician) ของหอแว่นจึงต้องผ่านการเรียนเรื่องการตรวจวัดสายตาด้วยเทคโนโลยี การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ประกอบแว่นให้ถูกต้อง มีความแม่นยำ และมีการบริการที่เหมาะสม ภายใต้มาตรฐาน BVAX Academy ที่หอแว่นนิยามว่าเป็นศาสตร์ความรู้ที่เกี่ยวกับการวัดสายตาตัดประกอบและบริการลูกค้า ซึ่งนอกจากจะมีความรู้ในด้านทฤษฎีแล้วยังต้องมีประสบการณ์ที่มากพอ โดยจะมีทีมที่จะคอยตรวจสอบมาตรฐานการทำงานของพนักงานอยู่เสมอด้วย 

“เราไม่ได้ทำเพื่อแข่งขัน แต่เรามีความภูมิใจและเชื่อว่าเรามีความชำนาญด้วยประสบการณ์มากกว่า 70 ปี มีความสามารถและเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องสายตาจริง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจว่าถ้าเดินเข้ามาที่ร้านหอแว่นแล้วสามารถตอบสนองทุกความต้องการได้ครบจบในครั้งเดียว และเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในความชำนาญและส่งเสริมความมั่นใจในการคัดเลือกสินค้าคุณภาพ หอแว่นจึงมี BVAX Warranty รับประกันเลนส์ถึง 1 ปี สามารถเปลี่ยนได้หากใส่แล้วไม่สบายตา รับประกัน Lens coatings สูงสุด 3 ปี หรือหากกรอบแว่นเกิดปัญหาจากการผลิต สามารถซ่อมหรือเปลี่ยนได้ทันทีในระยะเวลา 1 ปี"

ก้าวสู่เป้าหมายผู้นำในทุกด้านของสายตา
หอแว่นมีความตั้งใจที่จะสื่อสารและเน้นย้ำในความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสายตาทั้งหมด โดยจุดแข็งสำคัญของหอแว่นคือ ลูกค้าเป็นผู้ใช้สินค้าจริงและยังบอกกันปากต่อปาก ลูกค้าหอแว่นจึงมีความรู้สึกเหนียวแน่นและไว้วางใจในแบรนด์ ทำให้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาธุรกิจยังเติบโตได้ถึง 5-10% แต่ในวันนี้หลังวางแผนรวมการบริหารเข้าไว้ด้วยกันแล้ว ยังวางแผนการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยการสื่อสารแบรนด์นอกจากเปิดโฆษณาตัวใหม่แล้ว ยังจะเริ่มลงในสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น

“โครงสร้างการบริหารของบริษัท Vision Ventures เชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเน้นเรื่องของการเป็นผู้นำในทุกด้านของสายตา ความรู้และความเชี่ยวชาญของพนักงานหอแว่น (BVAX Master) ที่ผ่านการทดสอบมาตรฐาน BVAX และการที่เรานำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ เพื่อช่วยส่งเสริมให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังมีการทำงานใกล้ชิดร่วมกับบริษัทผลิตเลนส์ระดับโลก เพื่อดีไซน์กรอบและเลนส์ที่เหมาะสมกับลูกค้า และเราอยากจะทดลองกับตลาดเซ็กเมนต์ใหม่เพิ่มขึ้น และเริ่มที่จะสื่อสารไปถึงลูกค้าให้มากขึ้นแล้วว่าเรามีบริการที่ดีขึ้นอะไรบ้าง พร้อมที่จะให้ลูกค้าเข้ามาลอง”

เป้าหมายที่วางไว้ใน 3-5 ปีข้างหน้าของ Vision Ventures ต้องการจะเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจแว่นตาของประเทศไทย สร้างความรับรู้ให้คนรู้จักในด้านความชำนาญ การมีสินค้าและบริการที่ดี ทั้งในประเทศและเติบโตในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ไม่ว่าในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์

เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นได้ว่าต่อจากนี้หากพูดถึง “หอแว่น” เมื่อใด ลูกค้าสบายใจได้ว่าจะได้รับบริการที่มีความเชี่ยวชาญ และคุณภาพสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาสายตาของทุกคนได้อย่างแน่นอน







p
กำลังโหลดความคิดเห็น