เพลิงไหม้อาคารที่ทำการ สำนักงานตำรวจ บก.น.5 ยานสาทร เสียหายทั้งหลัง รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ได้รับความเสียหาย 7 คัน เคราะห์ดีไม่มีผู้พักอาศัยอยู่ภายใน เร่งตรวจสอบมีเอกสารสำคัญเสียหายหรือไม่ "ชัชชาติ" รุดดูที่เกิดเหตุ คาดไฟฟ้าลัดวงจร
วันที่ 4 มีนาคม 2566 เวลา 04.26 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 เป็นอาคาร 3 ชั้น ในซอยสาทร 8 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก เจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางรัก ระดมฉีดน้ำสกัดไฟ
ที่เกิดเหตุ พบแสงเพลิงกำลังลุกไหม้อาคารสูง 3 ชั้น เต็มพื้นที่ทุกชั้น เปลวไฟสูงกว่า 10 เมตร มีเสียงระเบิดดังออกมาเป็นระยะ เจ้าหน้าที่ต้องปิดการจราจรบริเวณสี่แยกนรินทร ผ่านหน้าจุดเกิดเหตุเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร พร้อมระดมเจ้าหน้าที่พร้อมสายฉีดน้ำกว่า 50 หัวฉีด เข้าควบคุมเพลิงที่กำลังลุกไหม้อย่างรุนแรงกว่า 1 ชั่วโมง เพลิงจึงสงบ
จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่มีผู้ติดค้าง หรือพักอาศัยอยู่ภายใน รวมถึงมีรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จอดไว้รอบอาคาร ได้รับความเสียหาย 7 คัน
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับรายงานเหตุการณ์ขณะกำลังจะไปออกกำลังกาย ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ พร้อมระบุว่า จากการสอบถามตำรวจเวรยามรักษาการณ์หน้าอาคาร ทราบว่าก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงระเบิดคล้ายไฟฟ้าลัดวงจรที่ชั้นล่างของตัวอาคาร จากนั้นเห็นไฟกำลังลุกไหม้กองเอกสาร จึงรีบนำถังดับเพลิงวิ่งเข้าไปฉีด แต่ไม่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงให้เข้ามาช่วยเหลือ
สำหรับอาคารดังกล่าวผ่านการใช้งานมาแล้วกว่า 42 ปี เคยเป็นที่ทำการของกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ บก.ปอศ. ซี่งต่อมาได้ย้ายไปที่อาคารกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน และให้กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 เข้ามาใช้งานต่อ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2565 โดยใช้เป็นที่เก็บเอกสารทางธุรการและเอกสารทางราชการ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่ามีเอกสารในคดีสำคัญถูกเก็บไว้ด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คดีที่สำคัญ พนักงานสอบสวนก็จะมีการเก็บไฟล์สำรองเอาไว้
สำหรับคดีสำคัญๆ ในพื้นที่ บก.น.5 ซึ่งอาจมีการรวบรวมเอกสารหลักฐานมาเก็บไว้ที่อาคารดังกล่าว เช่น คดีอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองกระทำชำเราและอนาจาร ในพื้นที่ สน.ลุมพินี, คดีบ่อนการพนันในพื้นที่ สน.คลองตัน รวมถึงคดีต่างๆ อีกหลายคดี
เบื้องต้นตำรวจประสานเจ้าหน้าที่กรมโยธาและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ และประสานตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุ คาดว่าจะต้องประเมินการรื้อถอนอาคาร เนื่องจากได้รับความเสียหายทั้งหมด และหลังจากนี้ จะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้อีกครั้ง