xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” จัดเต็มให้ “ชูวิทย์” อย่ามาทะลึ่ง! ใช้สันดานมโน-รับงาน ลั่นตัดขาดพี่น้อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” ประกาศตัดขาด “ชูวิทย์” หลังเตือนด้วยหวังดีเพราะถือเป็นรุ่นน้อง แต่กลับล้ำเส้น พูดแขวะแบบหน้าตัวเมีย ไม่กล้าเอ่ยชื่อตรงๆ ซ้ำโกหกบิดเบือนหลายเรื่อง ชี้ “เสี่ยอ่าง” มีธงชัดเจนมุ่งกระทืบ “ภูมิใจไทย” รับงาน BTS โจมตีรถไฟฟ้าสีส้ม เป็นเครื่องมือการเมืองให้ทั้ง “ทักษิณ” และพรรค รทสช. ระบุมีนายทุนทุ่มเงิน 3,000 ล้าน ติดต่อดึง ส.ส.ภูมิใจไทยไปเข้าเพื่อไทย แลกนั่งเก้าอี้คมนาคม



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 3 มี.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้พูดถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักธุรกิจและอดีตนักการเมือง เป็นการเฉพาะกรณีพิเศษ หลังจากนายชูวิทย์ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้มและนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย และได้กล่าวพาดพิงถึงนายสนธิในการแถลงข่าวที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยนายนายสนธิได้ตอบโต้ในแต่ละประเด็นดังนี้

เป็นสุนัขรับใช้ใคร?

คำแถลงของนายชูวิทย์(เมื่อวันที่ 1 มี.ค.)ท่อนที่ 1

“เมื่อผมพูดเรื่องกัญชาเสรี มันก็มีสุนัขรับใช้สุนัขรับใช้ที่ออกมาคอยกัด เป็นสุนัขรับใช้ของพรรคภูมิใจไทยผมให้เวลา ผมรณรงค์ ง่าย ๆ สั้น ๆ ว่าถ้าใครเห็นด้วยกับกัญชาเสรี ก็โหวตให้พรรคภูมิใจไทย ใครไม่เห็นด้วย ต่อต้าน ก็ไม่ต้องโหวตให้พรรคภูมิใจไทย นั่นเป็นการรณรงค์ของประชาชนอย่างผม แล้วไม่ทราบว่ามันไปหนักหัวกบาลใคร ถึงต้องออกมาแว้ง ออกมากัด หรือแม้กระทั่งต้องให้ผมไปพูดเฉพาะธุรกิจสีเทา พูดเรื่องตำรวจดีกว่า ตัวเองเป็นผู้เฒ่าเล่าเรื่อง รู้เรื่องหมดทุกเรื่อง

“ผมเรียนให้ทราบอย่างนี้นะครับ ผมจะพูดเรื่องกัญชาเสรี ถ้าคุณจะใช้กัญชาทางการแพทย์ ผมไม่ได้ขัด แต่ทุกวันนี้คุณเอาไปพี้กัน ใช่ไหมล่ะครับ ที่เอาไปมวน เอาไปพี้ ในเมื่อบุหรี่คุณว่าอันตราย แล้วคุณพี้กัญชาได้ ไม่อันตรายอย่างนั้นหรือครับ แล้วพอผมรณรงค์ต่อต้านเรื่องกัญชาเสรี มันไปหนักผลประโยชน์ของใคร ถึงต้องมาต่อต้านผม ถึงต้องมาปกป้องพรรคภูมิใจไทย …”


นายสนธิได้ตอบโต้นายชูวิทย์ในประเด็นนี้ว่า นายชูวิทย์โง่มาก ที่ไม่ได้ติดตามเลยว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตนได้ทำอะไรบ้าง ตนไม่ได้เป็นสุนัขรับใช้พรรคภูมิใจไทย นายเนวิน ชิดชอบ หรือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล แต่ตนได้สู้มาหมดตั้งแต่สมัย 18 ปีที่แล้ว ที่สู้กับนายทักษิณ ชินวัตร สู้มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ 18 ปีที่แล้วยนายชูวิทย์อยู่ไหนไม่รู้ อาจจะยังหาประเด็นมโนไม่ได้

แต่มีข้อสังเกตว่านายชูวิทย์อาจจะเคยวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ แต่กับนายทักษิณ นายชูวิทย์ไม่เคยพูดเลยแม้แต่ข้อเดียว ไม่ว่าความเดือดร้อนของประเทศชาติที่เกิดจากนายทักษิณทำ ในการคอร์รัปชันอย่างมโหฬาร เครือญาติ วงศ์ตระกูล การจำนำข้าว การโกงข้าวในยุคนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

“ผมจะบอกให้ก็ได้ครับว่า ผมเป็นสุนัขรับใช้จริง ๆ ครับ ผมเป็นสุนัขรับใช้ของประชาชน เป็นสุนัขรับใช้สมุนไพรไทย ฟ้าทะลายโจร กัญชา และภูมิปัญญาไทยทั้งหลาย”

นายสนธิกล่าวอีกว่า ได้ต่อสู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาตะวันออก ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย น้ำมันมะพร้าว ฟ้าทะลายโจร มาจนถึงกัญชา เป็นเวลายี่สิบปี พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนที่พรรคภูมิใจไทยจะมาสู้เรื่องกัญชา ตนกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สู้เรื่องนี้มาก่อนพรรคการเมืองใดๆ ทั้งสิ้นในประเทศไทย


ดูอย่างฟ้าทะลายโจร ในช่วงการระบาดของเชื้อโควิด-19 มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินและรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เริ่มแจกฟ้าทะลายโจรมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 แจกไปยังทุกจังหวัด ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทุกชุมชน ทุกบ้าน ที่ต้องการและติดต่อขอมา แจกไปฟรี ๆ เลย โดยได้กัดฟันจ่ายเงินซื้อมาตั้งแต่ช่วงที่ฟ้าทะลายโจรราคาแพงมากเพราะเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างสูงในช่วงวิกฤติโรคระบาด จนตอนหลังราคาลดลงมาในช่วงที่สถานการณ์โรคระบาดคลี่คลายรวม ๆ แล้วถึงปัจจุบันเราแจกฟ้าทะลายโจรไปแล้วมากกว่า 50 ล้านแคปซูล โดยมูลนิธิได้ใช้เงินในมูลนิธิ และเงินของผู้ชมจากทั่วประเทศที่มีจิตกุศล

นายสนธิกล่าวอีกว่าฟ้าทะลายโจรก็คือเรื่องเดียวกันกับกัญชา ที่นายชูวิทย์ บอกว่าให้หมอจ่ายกัญชา ก็ขนาดฟ้าทะลายโจร แพทย์แผนปัจจุบันยังไม่ยอมจ่ายให้คนป่วย แล้วกัญชาก็มาอีหรอบเดียวกัน หมอไม่ยอมจ่าย ประชาชนก็เลยเข้าไม่ถึงกัญชาในการรักษาตัวเองเหมือนกัน

“คุณชูวิทย์ครับ คนที่เขาต้องพึ่งกัญชา น้ำมันกัญชา ที่อยู่ใต้ดินมีอยู่ประมาณ 3 ล้านคน นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ผมและอาจารย์ปานเทพ และเครือข่ายของผม สู้เรื่องนี้ คุณชูวิทย์ เราไม่ได้เพิ่งมาสู้ ไม่เหมือนคุณ ฉกฉวย จับประเด็นที่มันจะดังขึ้นมา แล้วหาแสงใส่ตัวคุณเอง เพื่อให้คุณดูเท่ แต่ข้อมูลที่คุณพูดมามันไม่ใช่ มันไม่จริง ตั้งแต่สมัยคุณยังไม่เคยออกมาเคลื่อนไหวเรื่องทุนจีนสีเทา กับพนันออนไลน์ พูดมาก่อนล่วงหน้า นี่คือข้อเท็จจริง"

“ชูวิทย์” ต่อต้านกัญชา ด่าไปขายไป

นายสนธิ กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคเดียวที่รับเอาเรื่องการปลดล็อกกัญชาไปเป็นนโยบาย ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่พวกตนเคลื่อนไหวเรื่องสมุนไพรมาก่อน ทั้งเรื่องกัญชา และฟ้าทะลายโจร ไม่ใช่ตนไปรับใช้พรรคภูมิใจไทย แต่นายชูวิทย์ออกมาด่ากัญชาแบบมีวาระซ่อนเร้น หลายคนก็งงเพราะครอบครัวนายชูวิทย์ก็หาประโยชน์จากกัญชา ด้วยการเปิดบาร์กัญชา

สุดสัปดาห์ที่แล้วหลังจากนายชูวิทย์ออกมาโจมตีในกรณีปลดล็อกกัญชาทางการแพทย์ โดยโพสต์ข้อความ 2 โพสต์ติด ๆ กัน คือ กัญชา พี้เพื่อชาติ! และ กัญชา เหรียญสองด้าน สนองกิเลสพรรคภูมิใจไทย แต่หลังจากนั้นก็มีคนออกมาเปิดเผยโดย เข้าไปโพสต์แสดงความเห็นในเฟซบุ๊กนายชูวิทย์ระบุข้อความว่า "ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ขอให้กิจการรุ่งเรือง เฮงๆๆ นะคับ" พร้อมแนบภาพร้าน Chuweed Bar ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายกัญชาเพื่อสันทนาการภายในโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก (The Davis Bangkok) ซอยสุขุวิท 24 ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวนายชูวิทย์ด้วย


นอกจากนี้ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ -เฟซบุ๊กเพจ Channel Weez Thailandได้โพสต์ภาพ และรายละเอียด Chuweed Bar ของครอบครัวนายชูวิทย์ระบุว่า

“กัญชาพรึ่บ! บาร์สมุนไพรสุดฟิน ในโรงแรมของชูวิทย์

“พาชมบาร์กัญชาสุดเอ็กคลูซีฟ ย่านไฮโซสุขุมวิท Chuweed Bar และ Mansara Holistic Herb Bar เสิร์ฟคอร์สกัญชาเพื่อสุขภาพ เติมความสุขแบบสุดพิเศษ แรงบันดาลใจจากเสี่ยชูวิทย์ ช่อดอกกัญชา ขนมกัญชา บ้อง เครื่องดื่มสายเขียว และผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เป็นบริการที่มีไว้ต้อนรับลูกค้า ซึ่งเคยมีการโฆษณาจัดโปรโมชั่นเครื่องดื่มพ่วงกัญชา เสิร์ฟไวน์พร้อมพันรำและขนมกัญชา สายเขียวมาที่นี่เพลินแน่นอน …"

ส่วนนายต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์ (ต้น) ลูกชายของนายชูวิทย์ ก็โพสต์โปรโมตสินค้าเกี่ยวกับกัญชาอย่างโจ๋งครึ่ม พร้อมติดแฮชแท็กระบุว่า รร.เดวิส บางกอก นั้นเป็น #cannabiswellnesshotel


เมื่อสืบค้นข้อมูลย้อนหลังพบว่า บาร์กัญชา Chuweed Bar ภายในโรงแรม เดอะ เดวิส บางกอก ของครอบครัวนายชูวิทย์นั้นมีการเปิดให้บริการเชิงสันทนาการ มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 หรือกว่าครึ่งปีแล้ว

สำหรับ โรงแรมเดอะเดวิส บางกอก โฮเตล ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว มีจำนวนห้องพัก 240 ห้อง ครอบครัวนายชูวิทย์เป็นเจ้าของโรงแรม ลูกหลานถือหุ้นกันหมด

หลังจากนายชูวิทย์โดนจับได้ว่า “ปากว่าตาขยิบ - ทำตัวย้อนแย้ง” รับงานออกมาด่ากัญชา - ดิสเครดิตกัญชา แบบมั่ว ๆ เพื่อหวังผลทางการเมือง เพราะเกลียด อนุทิน ชาญวีรกุล เกลียดเนวิน ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รู้ว่าโดนจับโป๊ะได้ก็เล่นละคร แสดงอาการบ้าคลั่ง แสดงท่าทีฉุนเฉียวต่อหน้าสื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจ ว่าจะมากลั่นแกล้งตนใช่หรือไม่ หลังจากที่ตนพูดเรื่องกัญชา ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมา แต่พอตนพูดเรื่องกัญชาก็มาทันที พร้อมถามกลับด้วยเสียงดังว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล สั่งให้มา ใช่หรือไม่ โดยมี นายเนวิน ชิดชอบ อยู่เบื้องหลัง พร้อมกับหลุดด่าคำหยาบคายหลายครั้ง ใครได้ดูไลฟ์ของนายชูวิทย์ก็รู้ว่าถ่อยมาก ทั้งที่สามารถเอาข้อมูลมาตอบดต้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำหยาบคายก็ได้

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ได้ชี้หน้าเจ้าหน้าที่ พร้อมบอกว่า พวกมึงขี้ข้า และท้าทายว่า“มึงจะปิดโรงแรมกูเหรอ” “นึกว่ากูกลัวเหรอ คนอย่างกูไม่เคยกลัวใคร มึงจะถล่มกับกูไหม ไอ้ภูมิใจไทย”นอกจากนี้แล้วนายชูวิทย์ ยังแสดงความถ่อยเถื่อนหลายอย่าง แต่ตนไม่อยากพูดถึง


รับงาน “ทักษิณ” ดูด ส.ส.ภูมิใจไทยเข้าเพื่อไทย?

นายสนธิ กล่าวว่า สรุปแล้ว นายชูวิทย์รับงานใครมาที่มาเล่นงานพรรคภูมิใจไทย หลายคนบอกว่านายชูวิทย์รับงานพรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ตนเชื่อว่าไม่ใช่ นายชูวิทย์น่าจะรับงานพรรคของนายทักษิณ ชินวัตร มากกว่า เพราะได้ข่าวมาว่า มีนายทุนรายใหญ่รายหนึ่งติดต่อพรรคเพื่อไทย ติดต่อนายทักษิณที่สิงคโปร์ บอกว่าให้หาทางซื้อเสียงจากพรรคภูมิใจไทย 30-40 คน เขาจะให้เงิน 3,000 ล้านบาท และถ้าได้เป็นรัฐบาลเขาขอตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

บิดเบือนจุดยืน “สนธิ” ประเด็นกัญชา

นายสนธิกล่าวอีกว่า นายชูวิทย์ยังได้บิดเบือนเอาเรื่องจุดยืนต่อประเด็นกัญชาของตนเองไปแถลงต่อนักข่าวแบบไม่ครบ โดยในวันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ นายชูวิทย์ ได้ไปที่ทำเนียบรัฐบาล ได้นำเด็กไปแสดงการตัดต้นกัญชา โดยสรุปเนื้อหาคือ สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์เท่านั้น ต่อต้านกัญชาเสรี เพราะกัญชาเสรีทำให้เข้าถึงเด็กเยาวชนได้ง่าย


นายชูวิทย์ ได้ระบุตอนท้ายหลังแถลงข่าวว่าตนกับนายสนธิมีจุดยืนเดียวกัน โดยนายชูวิทย์​เลือกอ่านบางข้อความในไลน์ให้นักข่าวแบบไม่ครบว่า

“คุณสนธิขอทราบจุดยืนคุณชูวิทย์ดังต่อไปนี้ ให้เจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ต่อผุ้จำหน่ายกัญชาทั้งหมด โดยเฉพาะการลงโทษผู้จำหน่ายให้เด็กเยาวชน การเปิดร้านขายกัญชาโดยไม่ขออนุญาต และการลักลอบการนำเข้ากัญชาจากต่างประเทศ”

นายสนธิกล่าวว่า ถ้าอ่านอย่างนี้ก็ราวกับว่าตนเห็นด้วยกับนายชูวิทย์ที่ว่าตอนนี้ คือกัญชาเสรีเด็กเยาวชนเข้าถึงง่าย ตนกับนายชูวิทย์จึงมีจุดยืนตรงกัน

“ผมจึงเห็นธาตุแท้คุณชูวิทย์ว่าไม่แฟร์ในการพูดจากับผม ไม่ใช่เพราะคุณชูวิทย์เอาไปเปิดเผยในที่สาธารณะ ผมไม่ติดใจ แต่คุณชูวิทย์กลับเลือกบางท่อนของข้อความแบบไม่ครบในที่สาธารณะ ซึ่งผมเห็นว่าทำแบบนี้ ผมเรียกว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย และยังไม่มีความจริงใจ”นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ตนให้คนส่งไลน์ไปหานายชูวิทย์นั้น ได้ให้คนพิมพ์ข้อความเต็ม” ส่งไลน์ผ่านเลขาฯ นายชูวิทย์ดังนี้

“คุณสนธิขอทราบจุดยืนของคุณชูวิทย์ดังต่อไปนี้

1.ให้ประชาชนที่เดือดร้อนใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์​ และเพื่อสุขภาพอย่างผิดกฎหมาย เพราะแพทย์ส่วนใหญ่เสียผลประโยชน์ไม่จ่ายกัญชา สามารถเข้าถึงกัญชาเพื่อพึ่งพาตนเองได้ โดยจะต้องไม่กลับไปเป็นยาเสพติดอีก

2.ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ต่อผู้จำหน่ายกัญชาทั้งหมด โดยเฉพาะการลงโทษผู้จำหน่ายให้เด็ก เยาวชน การเปิดร้านขายโดยไม่ขออนุญาต และการลักลอบการนำเข้ากัญชาจากต่างประเทศ

3.ให้สนับสนุนผลักดันกฎหมายกัญชา กัญชง เพื่อใช้ประโยชน์และการควบคุมอย่างเป็นระบบ

ถ้าคุณชูวิทย์เห็นด้วยใน 3 หลักการนี้ ถือว่าเป็นแนวร่วมพันธมิตรกัน และเราจะทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้

ถ้าคุณชูวิทย์ไม่เห็นด้วยขอแจ้งให้ทราบว่าเรามีจุดยืนต่างกัน ให้ถือว่าเราต่างคนต่างทำหน้าที่ และคุณสนธิก็จำเป็นต้องปกป้องในหลักการนี้อย่างเต็มที่ โดยจะเริ่มตอบโต้คุณชูวิทย์ในวันศุกร์นี้”

แต่ปรากฏว่า เลขาฯ นายชูวิทย์ โพสต์ข้อความกลับมาว่า“เห็นด้วยอย่างยิ่งโดยเฉพาะข้อ 2 จากนายครับ”

นายสนธิ กล่าวว่า หลังจากนั้นนายชูวิทย์ก็ได้โทรพูดคุยกับตนสรุปว่าเห็นด้วยกับทั้ง 3 ข้อนี้ ตนก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่ภาคประชาชนควรจะร่วมมือกันแบบนี้ และช่วยกันทำงาน


แต่ในบ่ายวันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล นายชูวิทย์ไปแถลงข่าวอีกอย่าง ยืนยันว่าไม่ต้องการให้กัญชาเสรีเพราะเด็กเยาวชนจะเข้าถึงได้โดยง่าย เห็นด้วยกับทางการแพทย์ต้องมีใบสั่งยากัญชาจากแพทย์เท่านั้น และแถลงว่ากฎกระทรวงที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้อยู่นั้นคลุมเครือไม่ชัดเจน ทำไมปลดล็อกโดยไม่มีพระราชบัญญัติก่อน พรรคภูมิใจไทยมีความอำมหิตโหดเหี้ยม เห็นชัดว่าเป้าหมายหลักของนายชูวิทย์คือกระทืบพรรคภูมิใจไทย โดยที่ลืมตัวไปว่าโรงแรมตัวเองก็ขายกัญชา ซ้ำยังเป็นกัญชานำเข้าจากต่างประเทศด้วย จากนั้นเอาเด็กมาเป็นเครื่องมือทำพิธีตัดต้นกัญชาต่อหน้าสื่อมวลชน ต้านกัญชาเสรีไม่ให้เด็กเยาวชนเข้าถึงง่าย

หลังจากนั้นนายชูวิทย์ประกาศเป็นศัตรูกับพรรคภูมิใจไทย และก็ประกาศจะรณรงค์ไม่ให้คนเลือกพรรคภูมิใจไทยจนถึงวันเลือกตั้ง และอ้างว่าไม่ได้ต่อต้านกัญชา แต่ต้านกัญชาเสรีที่ทำให้เด็กเยาวชนเข้าถึงง่าย

ต่อต้านภูมิใจไทยโดยทำลายความจริงของกัญชา

นายสนธิกล่าวย้ำว่าว่าจุดยืนของนายชูวิทย์ไม่เหมือนกับตนเพราะนายชูวิทย์มีวาระต่อต้านพรรคภูมิใจไทย โดยใช้การทำลายความจริงของกัญชา เอาเด็กเป็นตัวประกันเหมือนหมอที่ต่อต้านกัญชาไม่จ่ายกัญชา แต่จะเอาอำนาจการจ่ายกัญชาเอาไว้กับแพทย์เหล่านี้เพื่อดองแล้วจ่ายยาอื่นๆ ที่มีค่าคอมมิชชั่น และรอวันรับยากัญชาที่มีสิทธิบัตรยาต่างชาติในราคาแพง ๆ และมีค่าคอมมิชชั่น

“คุณรู้หรือเปล่าคุณชูวิทย์ กฎระเบียบกระทรวงสาธารณสุขเรื่องการควบคุมกัญชานั้นมีความชัดเจน ผมอ่านกี่รอบก็ไม่คลุมเครือ คนที่คลุมเครือคือคุณ เพราะคุณตั้งใจจะหาเรื่องเขา

“ผมทราบดี คุณไม่สนใจ และไม่สนใจที่จะรู้หรอกว่าผมสู้เรื่องสมุนไพรไทยมานานแค่ไหนแล้ว เกือบ 20 ปี ก่อนที่พรรคการเมืองใด ๆ ไม่ว่าพรรคไหน จะเข้ามาหาเสียงในเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ

“ผมเป็นทาสสมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย ต่อมาพรรคภูมิใจไทยผลักดันเรื่องกัญชา แม้เขาจะหวังผลทางการเมือง แต่ประโยชน์มันเกิดกับผู้ป่วย ประชาชนที่ใช้กัญชาทางการแพทย์เป็นล้าน ๆ คน ทุกอย่างย่อมมีปัญหา มีอุปสรรคบ้าง แต่ก็ต้องใช้เวลาในการทำให้มันเข้าที่เข้าทาง”
นายสนธิ กล่าว

ท้าเอ่ยชื่อ “สื่อจรรยาไถ”

คำพูดของนายชูวิทย์(เมื่อ 1 มี.ค.)ท่อนที่ 2
“ถ้าผมแตะพรรคภูมิใจไทยอยู่แป๊บเดียว พรรคภูมิใจไทยจัดการเรื่องกัญชา จัดการเรื่องรถไฟสายสีส้ม ก็ในเมื่อมันผลประโยชน์เยอะ พอผมแตะปุ๊บ ก็มีคนมาออกตัวทันทีว่าผมเป็นสุนัขรับใช้ ผมรับงานมา คุณคิดหรือว่าไอ้คนพูดมันรวยกว่าผม ไอ้คนพูดเนี่ย มันไม่มีจรรยาบรรณ มันมีแต่จรรยาไถ อยากจะเปิดศึกกับผม ... เพราะผมพร้อมตายหมู่ เอาไหมล่ะ


“แล้วผมพูดเรื่องตู้ห่าวหรือเปล่า คุณให้เวลาผมไหมผมก็ตัวคนเดียว ผมพูดเรื่องตู้ห่าว ผมพูดเรื่องธุรกิจสีเทา ผมพูดเรื่องด่าน แล้วทำไม... ผมต้องเรียงลำดับการพูดพร้อมกันหมดเลยหรืออย่างไร ก็เพราะนายโอ๋มันท้าผมไง ก็เพราะว่านายโอ๋มันพูดหรือเปล่าว่าผมโง่ สติไม่ดี เอ้อ ก็ใช่ไหมล่ะ อนุทินมันท้าผม บอกว่าผมไม่กล้าไปบุรีรัมย์ ผมจะบอกให้นะ ผมจะไปนั่งในบ้านนายเนวินเลย บ้านไอ้ศักดิ์สยามด้วย”


ประเด็นนี้นายสนธิ กล่าวว่า ที่นายชูวิทย์พูดว่า มันไม่มีจรรยาบรรณ มันมีแต่จรรยาไถ อยากจะเปิดศึก นายชูวิทย์หมายถึงใคร แน่จริงให้เอ่ยชื่อมา อย่าขี้ขลาดตาขาว อย่าใช้วิธีนี้กับตน มันไม่ได้ผล

“คนอื่นกลัวคุณ แต่ผมไม่เคยกลัวคุณแม้แต่นิดเดียว เพราะผมรู้ขี้รู้ไส้คุณมานานแล้ว แต่ผมเห็นความสัมพันธ์ที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน วันนี้เราตัดขาดกันไปเลย ไม่ต้องมี คุณเปิดมา ผมอยากตายหมู่เหมือนกัน ผมจะดูว่าผมจะตายร่วมกับคุณ หรือคุณจะตายอยู่คนเดียว” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวต่อถึงประวัติความเป็นมาของตนกับนายชูวิทย์ว่า แม้เราจะเป็นนักเรียนรุ่นพี่รุ่นน้อง รร.อัสสัมชัญ ศรีราชา นายชูวิทย์เรียนต่อธรรมศาสตร์ แล้วก็ไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา ส่วนตนไปเรียนต่อที่ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ระดับชั้นปริญญาตรี ปริญญาโท


แต่เมื่อเข้าสู่เส้นทางวิชาชีพ การทำงาน ก็เดินไปคนละเส้นทาง ตนทำงานสื่อสารมวลชนมาต่อเนื่อง 50 กว่าปี ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปทำอาชีพอื่น วันนี้อายุย่าง 76 ปีแล้ว ส่วนนายชูวิทย์ 68 ปี ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ที่ผู้คนออกมายกย่องเป็นฮีโร่ เป็นจอมแฉ แต่ทุกคนรู้ดี นายชูวิทย์เองก็รู้ตัวดีว่าเคยทำอะไรมาก่อน เป็นเจ้าของอาบอบนวด ซึ่งหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทำธุรกิจค้ากาม-ค้ามนุษย์มาก่อน จนมีทรัพย์สินที่อวดนักอวดหนาว่าร่ำรวยกว่าคนโน้นคนนี้

เตือนอย่าลืมอดีต "บิ๊กทหาร" หนุนทำอาบอบนวด

“คุณอย่าลืมอดีตสิ ผมไม่เคยลืมอดีต แต่ผมเริ่มชีวิตของผม ไม่ได้อยู่ในน้ำครำเหมือนคุณ วันนี้คุณอ้างว่าคุณล้างมือแล้ว โน่นนี่นั่น คุณยอมรับไหมว่าคุณเคยอยู่ในอาชีพค้ามนุษย์มาก่อน ผมก็รู้ด้วยว่าแต่ก่อนคุณเคยทำตึกแถวจัดสรรอยู่ที่สมุทรปราการแล้วคุณเจ๊ง แล้วคุณไปได้ทหารใหญ่คนหนึ่งมาร่วมหุ้นกับคุณ เพื่อให้คุณซื้อกิจการอาบอบนวด

“มิหนำซ้ำคุณคุยกับทหารใหญ่คนนี้แล้ว คุณแอบอัดเทปเขาไว้ด้วย ชื่อทหารใหญ่คนนี้ผมรู้ คนที่อัดเทปให้ ผมก็รู้ และเทปที่คุณเคยอัดชื่อทหารใหญ่คนนี้เขาพูดอะไร ผมก็มีอยู่ในมือ แต่ผมขี้เกียจมาทะเลาะเรื่องแบบนี้กับคุณ แต่ถ้าคุณต้องการทะเลาะกับผม ผมจะเปิดเผยหมดว่าชื่อทหารใหญ่คนนั้นคือใคร แล้วเขาก็สนับสนุนคุณมาตลอด ชื่อทหารใหญ่คนนี้ทำให้วงการตำรวจไม่กล้าไปยุ่งกับอาบอบนวดของคุณสมัยก่อน นี่คือเบื้องหลัง ผมไม่อยากจะพูด”


นายสนธิ กล่าวอีกว่า เงินที่มาของความร่ำรวยของนายชูวิทย์คือธุรกิจสีดำ สีเทา จากการค้ามนุษย์อย่างที่ว่า ต่อมาพอมีเรื่องมีราวก็สร้างภาพว่าตัวเองล้างมือในอ่างทองคำ กระโดดลงมาเล่นการเมืองตั้งพรรคต้นตระกูลไทย แต่ไปไม่รอดต้องไปสังกัดพรรคชาติไทยของ นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็น ส.ส. ก็ไปหักหลังเขา แล้วลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งจริง ๆ แล้วทุกคนก็รู้ว่านายชูวิทย์แสวงหาอำนาจเพื่อเอามาปกป้องตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง

ตีกิน “รถไฟฟ้าสีส้ม” เงินทอน 3 หมื่นล้านไร้หลักฐาน

ก่อนหน้านี้ที่นายชูวิทย์ออกมาเรื่องการพนันออนไลน์ ยอมรับว่ารู้จริงเรื่องอาบอบนวด เรื่องทุนสีเทา เรื่องตู้ห่าว แต่จู่ๆ ก็มารับงานชาวบ้านเขา รับงานเอกชนอย่าง BTS เพื่อฟาดคนที่ประมูลสายสีส้มได้ ซึ่งนายชูวิทย์ปฏิเสธว่าไม่ได้รับงานมา แต่เอกสารที่นายชูวิทย์ส่งไปให้นายกฯ ให้ตรวจสอบการประมูลนั้นเป็นเอกสารเดียวกับที่ทาง BTS เคยส่งไปให้นายกฯ แล้ว
มิหนำซ้ำในเอกสารที่ส่งให้นายกฯ ก็ไม่ได้ระบุว่ามีหลักฐานการจ่ายเงินค่าคอร์รัปชั่น 30,000 ล้านบาท ทั้งที่นายชูวิทย์พูดเองว่าหลักฐานมีชัดเจน มีการจ่ายเงิน 30,000 ล้านบาทส่งไปที่สิงคโปร์ ธนาคาร HSBC และบอกว่ามีเลขที่บัญชี แต่เอกสารที่ส่งให้นายกฯ ไม่เห็นมีเลขที่บัญชีเลย

“คุณตีกินแบบง่ายๆ อย่างนี้เลยใช่มั้ย คนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ข้อเท็จจริง ก็คิดว่ามีจริง มีหลักฐาน ส่งมาสิคุณชูวิทย์ ผมท้าคุณ คุณอย่าเที่ยวสาดโคลนใส่คนโดยที่ไม่มีหลักฐาน ถ้าคุณหลุดเรื่องนี้ไปได้ อีกหน่อยคุณด่าใครก็ได้ อ้างว่ามีการยัดเงิน มีหลักฐาน แต่ความจริงไม่มีอะไรเลย คุณแก้ตรงนี้ให้ได้ ผมจับโกหกคุณนี่ข้อที่สองแล้ว ข้อแรกคุณตกลงกับผมอย่างหนึ่งแต่ไปพุดอีกอย่างหนึ่ง”


นายสนธิ กล่าวต่อว่า เอกสารที่นายชูวิทย์ส่งให้นายกฯ นั้น เหมือนกับที่ BTS ส่งให้นายกฯ ทุกหน้า อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่รับงาน BTS แล้วจะรับงานใครมา

“ผมไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง ว่าคุณนี่ได้รับการแนะนำให้รู้จักคุณคีรี กาญจนพาสน์ โดยผ่านคุณฉาย บุนนาค เพราะคุณคีรีเขาเป็นเจ้าของ เนชั่นทีวี ช่อง22 คุณคีรีเขาไม่พอใจมากที่สายสีส้มคุณคีรีประมูลไม่ได้”

“ชูวิทย์” อย่าหน้าตัวเมีย พูดมาว่าใครไถใคร

นายสนธิ กล่าวต่อว่า นายชูวิทย์อย่านึกว่าเก่งอยู่คนเดียว รู้เรื่องอยู่คนเดียว แฉเป็นอยู่คนเดียว พูดอะไรใครก็เชื่อ แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครอยากทะเลาะด้วย เพราะเขาเห็นว่านายชูวิทย์บ้าไปแล้ว แต่เมื่อนายชูวิทย์ล้ำเส้นตนมากเกินไปทั้ง ๆ ที่ตนเตือนด้วยความหวังดี แต่นายชูวิทย์ออกมาอาละวาด ฟาดงวงฟาดงา ขู่ว่าถ้าแฉมาจะตายหมู่

“ตามสบาย ชูวิทย์แฉมาเลย ถ้าคุณไม่แฉ คุณหน้าตัวเมียนะ แต่ถ้าคุณแฉ คุณต้องแฉให้ถูก ถ้าคุณแฉผิด เจอกันในศาลแน่นอน

“เมื่ออยากจะเป็นศัตรูกันผมจะจัดให้ เพราะข้อกล่าวหาที่คุณอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ มา บอกว่าไอ้สื่อสุนัขรับใช้ สื่อไม่มีจรรยาบรรณ สื่อจรรยาไถ คุณพูดถึงใคร คุณชูวิทย์ ถ้าคุณไม่ใช่หน้าตัวเมียเอ่ยชื่อมาสิ ว่าเป็นผม คุณอย่าพลิกลิ้นไปเรื่อยๆ นี่ผมท้าคุณแล้วนะ ต่อหน้าประชาชนที่ดูรายการผม และท้าต่อหน้าชาวบ้าน นักข่าวทั้งหลาย


“คุณไปไหนมาไหน ทำไมผมจะไม่รู้ คุณจ้างนักข่าวอาชญากรรมหลายหนังสือพิมพ์มาเป็นแนวหน้าคุณ แล้วก็เคลียร์พื้นที่ให้คุณ แล้วนักข่าวอาชญากรรมพวกนี้มันเรียกคุณว่า “นาย” เขาคงไม่ได้ทำงานให้คุณฟรีหรอก"


นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายชูวิทย์อย่าท้า อย่าช้า รีบแฉมา ว่าตนเคยไถใคร ชื่ออะไร มีหลักฐานอะไร เอาพยานมา จัดมาให้เต็มที่

“ปกติแล้ว ผมเป็นคนที่ขี้เกียจค้าความกับคนรู้จัก กับรุ่นน้องผม แต่ถ้าจำเป็นผมก็จะค้าความด้วย อย่านึกว่าคุณบ้าเป็นแต่คุณคนเดียว ผมก็บ้าเป็นเหมือนกันนะ ผมก็ไปสุดซอยเหมือนกัน กับคุณนี่ ผมสาบานจะไปให้สุดซอยเลย ถ้าคุณยังมาทะลึ่งกับผมอีก

“แล้วมีอะไรคุณตอบโต้ผมมาได้เต็มที่ แต่จำไว้เลยว่าจากนี้ไปผมจะเกาะติดคุณทุกเม็ด ทุกคำพูดที่ผมพูดที่คุณพูดมา ไม่ว่าเป็นไลฟ์สด ผมจะเกาะติดว่าคุณโกหกอะไรบ้างในทุกคำพูดนั้น ไม่ต้องห่วงว่าเราจะเป็นศัตรูกัน ก็เป็นจนวันตาย คุณชูวิทย์”

“ชูวิทย์” เปลี่ยนเรื่องจากรถไฟฟ้าสายสีส้มเพราะอะไร?

ส่วนเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้ม นายสนธิกล่าวว่า หลังจากที่ตนได้เตือนนายชูวิทย์แล้ว นายชูวิทย์ก็หาว่าตนเป็นสุนัขรับใช้ จึงอยากจะชี้ให้เห็นว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร โดยลำดับเรื่องราวอย่างนี้ เผื่อนายชูวิทย์จะจำได้

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 นายชูวิทย์ แถลงข่าวหน้าทำเนียบรัฐบาล โจมตีการประมูลรถไฟฟ้าสายส้ม ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)ของกระทรวงคมนาคม

ต่อมา รฟม.ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ในวันเดียวกัน โดยได้ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวมีหลายขั้นตอน จึงมีการฟ้องร้องกันในชั้นศาลปกครอง และบางคดีก็อยู่ระหว่างการรอคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ซึ่งต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

แต่ในขั้นตอนการประมูล นั้นทาง รฟม.ได้แถลงในประเด็นเรื่องการคัดเลือกเอกชนครั้งใหม่มีการล็อกสเปกศาลปกครองเห็นว่ามีการเปิดกว้างให้เอกชนเข้าร่วมในการคัดเลือกมากขึ้น จึงได้ยกเลิกร้องคุ้มครองชั่วคราว

ส่วน คดีฟ้องร้องในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ว่ามีการเอื้อประโยชน์เอกชนรายใดศาลฯ พิพากษายกฟ้อง


ส่วนกรณีเงินทอน 3 หมื่นล้านบาทที่นายชูวิทย์อ้างว่าได้เข้าบัญชีธนาคาร HSBC ทาง รฟม.ได้เรียกร้องให้นายชูวิทย์แสดงหลักฐาน เพราะนายชูวิทย์อ้างว่ามีเลขที่บัญชี

ต่อมา วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ แถลงข่าวตอบโต้เพิ่มเติมว่า
“การกล่าวหาว่า โครงการนี้ทุจริตมีวงเงินมากมายถึง 30,000 ล้านบาท ต้องถามกลับไปว่าเป็นไปได้หรือ เงินมากมายขนาดนี้ เพราะว่ากันว่าเงิน 1 ล้านบาทหนัก 1 กิโลกรัม แล้ว 30,000 ล้านบาท จะขนาดไหน แล้วจะเอาไปไว้ที่ไหน และโครงการไหนที่จะทำแบบนี้ได้ ผมว่าเป็นลักษณะของคนที่นอนไม่ค่อยหลับหรือไม่ นอกจากนอนไม่ค่อยหลับแล้วตื่นมาอาจจะไม่ได้ล้างหน้าด้วย ทำให้สติท่านไม่ค่อยดี”


ข้อความนี้ทำให้นายชูวิทย์โกรธ และบอกกับตนทางโทรศัพท์ว่าแค้นนายศักดิ์สยาม เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูกหยาม จนอาจลืมมองไปว่าตอนนายชูวิทย์โจมตีเรื่องเงิน 30,000 ล้านก็เป็นข้อหาที่รุนแรงมากเช่นกัน

ต่อมา วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 นายชูวิทย์มาพร้อมกับน้ำยาบ้วนปาก ล้างหน้าแปรงฟัน แต่ไม่ยื่นเอกสารใด ๆ ให้นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการ รมว.คมนาคม และนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (รฟม.)

นายชูวิทย์อ้างว่าที่ไม่ให้เอกสารเพราะกระทรวงคมนาคม เป็นที่มาของปัญหาจะยื่นเอกสารให้ได้อย่างไร จึงไม่ได้ยื่นเอกสารให้ แต่ได้ยื่นน้ำยาบ้วนปากฝากให้นายศักดิ์สยามแทน และคราวนี้ก็โจมตี นายเนวิน ชิดชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ไปด้วย


นายชูวิทย์โจมตีว่ามีการล็อกสเปก โดยอ้างว่า“บริษัท ช.การช่างฯ จับคู่กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม ส่วนบริษัท อิตาเลียนไทยฯ จับคู่กับบริษัทเดินรถจากประเทศเกาหลีใต้ แต่บริษัท อิตาเลียนไทยฯ ก็ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากผู้บริหารเป็นบุคคลต้องโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกา(คดีเสือดำ) จึงไม่สามารถเข้าร่วมประมูลตามเงื่อนไขของ รฟม.ได้ จึงทำให้บริษัทผู้รับเหมาเหลือเพียงรายเดียวคือ บริษัท ช.การช่าง”

โดยนายชูวิทย์แถลงข่าวว่ามีการล็อกสเปกที่ว่าต้องมีผลงานรางหรืออุโมงค์ในประเทศไทยที่เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งนายชูวิทย์ระบุว่าในประเทศไทยมีแค่ 2 บริษัท คือ อิตาเลียนไทย และ ช.การช่าง เท่านั้น

แต่หลังจากนายชูวิทย์แถลงข่าวเสร็จทางกระทรวงคมนาคมก็แถลงข่าวจากกระทรวงคมนาคมเพิ่มเติมทันที โดยนางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการ รมว.คมนาคม ได้ชี้แจงว่า

“ตั้งใจมารับหนังสือและหลักฐานต่างๆ จากนายชูวิทย์ แต่นายชูวิทย์ไม่นำมายื่นให้ อย่างไรก็ตามหากนายชูวิทย์มีหลักฐานการโอนเงินทอน 3 หมื่นล้านบาทที่ประเทศสิงคโปร์ หรือมีหลักฐานตามที่นายชูวิทย์เคยให้ข้อมูลต่อสื่อไป เราพร้อมที่จะรับและเปิดเผยต่อหน้าสื่อมวลชนทั้งหมด แต่เมื่อนายชูวิทย์ไม่มีหลักฐานมา หรือมีแต่ไม่ยื่น ก็ให้เวลานายชูวิทย์”


นี่คือแถลงการณ์ที่ รฟม.แจ้งไป และให้เวลานายชูวิทย์ 15 วัน นายชูวิทย์รู้หรือไม่ หลังจากครบ 15 วัน ถ้ายังไม่มีเอกสารส่งไป อะไรจะเกิดขึ้น ขอให้เตรียมรับเอาไว้ให้ดีๆ เพราะนายชูวิทย์รุกชาวบ้านเขาตลอด คราวนี้เขาจะใช้กฎหมายรุกคืนบ้าง

ในขณะเดียวกันนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(รฟม.) ได้แถลงข่าวยืนยันอีกครั้งว่า โครงการนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดแล้ว ซึ่งมีผู้ฟ้องคดี โดย รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ เป็นผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งขณะนี้ รฟม.ยังรอคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอยู่ ยังไม่มีการเดินหน้าโครงการต่อแต่อย่างใด

ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ประมูลไม่ได้ล็อกสเปก และไม่ได้มีบริษัทก่อสร้างเพียงแค่ 2 บริษัทเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ ซึ่ง รฟม.เปิดกว้างทั้งบริษัทในไทย และต่างชาติที่มีผลงานการก่อสร้างอุโมงค์ และงานรางที่สำเร็จแล้วในไทย ไม่ใช่แค่บริษัทในไทยเท่านั้นตามที่นายชูวิทย์ว่า

ทั้งนี้ปัจจุบันมีประมาณ 10 บริษัทที่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ ได้แก่ บริษัท อิตาเลียนไทยฯ บริษัท ช.การช่างฯ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการจำกัด (มหาชน) หรือ NWR บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ UN บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด Bilfinger Berger, Tokyu, Kumagai, Obayashi และ Nishimatsu

“ตรงนี้เป็นสาระสำคัญเพราะระหว่างล็อกสเปก 2 ราย กับผู้ที่มีผลงานมากถึง 10 รายนี้ ผมไม่รู้ว่าใครป้อนข้อมูลให้คุณชูวิทย์แบบนี้ ผมจึงกล่าวเตือนผ่านรายการในวันศุกร์ที่แล้วไปด้วยความปรารถนาดี” นายสนธิ กล่าว


ต่อมาเมื่อ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ทาง รฟม.และกระทรวงคมนาคม ได้ทำหนังสือถึงนายชูวิทย์อย่างเป็นทางสั่งการ ให้เอาบัญชีเงินทอน 30,000 ล้านบาท และขอหลักฐานนี้ว่ายื่นให้กับหน่วยงานใดหรือยังทั้ง ป.ป.ช. ฯลฯ ภายใน 15 วัน

เพราะเอกสารที่นายชูวิทย์ยื่นที่ทำเนียบรัฐบาลมันถูกเปิดเผยออกมาว่า เอกสารแนบเหมือนงานยื่นหนังสือของเอกชนรายหนึ่งก่อนหน้านี้คือ BTS ทั้งดุ้น ทำให้คนมองว่าเหมือนรับงานเอกชนค่ายหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนักการเมืองและสื่อมวลชน และเป็นผู้ถือหุ้นเนชั่นทีวี ช่อง 22

“คุณชูวิทย์อาจจะมีเหตุผลหลักฐานโอนเงิน 30,000 ล้านบาท ว่าที่ไม่ให้กระทรวงคมนาคม เพราะเป็นผู้กระทำความผิดเอง แต่ เท่าที่ผมได้รับทราบข้อมูล ก็คือ เอกสารคุณชูวิทย์ ยื่นให้นายกรัฐมนตรีก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับเงิน 30,000 ล้านบาท ที่คุณอ้างว่าโอนกันในต่างประเทศ มีชื่อบัญชี ธนาคาร HSBC”

อย่าหลงตัวเองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โชว์กระดาษเปล่าคนก็เชื่อ

นายสนธิ กล่าวว่า ประเด็นคือถ้านายชูวิทย์บอกว่ามี ก็ต้องเอาหลักฐานมาแสดง ไม่ใช่พูดบลัฟกันไปบลัฟกันมา กล่าวหาเขา แต่ไม่มีหลักฐาน

“ผมจะเตือนคุณชูวิทย์ให้ ตอนนี้คุณอย่านึกว่าคุณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรคนก็เชื่อ พูดปากเปล่า โชว์กระดาษเปล่า ประชาชน คนทั่วไปก็นึกว่าเรื่องจริง ... ทั้ง ๆ ที่บางเรื่องอาจจะไม่จริง

“การที่คุณชูวิทย์ ทำอย่างนี้ได้ แล้วคนก็เชื่อ สื่อก็เล่นตาม จะกลายเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งต่อสังคมไทย อันตรายต่อบ้านเมือง เพราะเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่ร่ำลือ เล่าลือกันมา อาจะมีข้อเท็จจริงบ้าง 50%, 60%, 70% หรือ 100% ก็แล้วแต่เรื่อง

“แต่คุณจะกล่าวหาใคร เล่นเขาให้ถึงตายในทางกฎหมายคุณต้องมีหลักฐานประกอบ ไม่ใช่ออกมาด่าเขา แสดงละคร คุณเล่นละครเก่งจริงๆ จะไปทำเนียบก็ต้องถือธง ดิสเครดิตเขาโดยไม่มีหลักฐานแล้วก็เดินหนีไป เอาไม้หน้าสามตีแล้วก้เดินหนีไปเลย"


“ผมย้ำอีกทีว่า ผมก็อยากเห็นหลักฐานเงินทอน 30,000 ล้านบาท ที่คุณว่าเหมือนกัน เพราะถ้ามีจริง ผมก็จะสนับสนุนคุณเต็มที่ แต่ถ้าไม่มี คุณกล้ารับผิดชอบไหม” นายสนธิกล่าว

นอกจากนี้การที่นายชูวิทย์ออกมาแถลง โดยเอาเรื่อง“คดีสายสีส้ม” ในศาลปกครองสูงสุดมาแถลงล่วงหน้า ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษามาเมื่อ วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ก็ต้องถามว่านายชูวิทย์รู้มาได้อย่างไร มีเอกชนเจ้าไหน เอาข้อมูลปล่อยมาให้ เป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่?

คดีนี้ ที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสิน ศาลใช้องค์คณะใหญ่ 50 คน แล้ว 20 คนที่เป็นเสียงส่วนน้อย ที่เหลือเป็นเสียงส่วนใหญ่ บอกว่า รฟม.สามารถที่จะแก้ TOR ได้ นายชูวิทย์รู้หรือเปล่า

หลังจากเรื่องรถไฟสายสีส้ม ไปกัญชา นายชูวิทย์ก็ไปเรื่องที่ดินที่เขากระโดงของการรถไฟแห่งประเทศไทย ทั้งที่คดีที่ดินเขากระโดง ศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว หลายปีแล้ว นายชูวิทย์จะมาเล่นงานใคร ในเมื่อศาลฎีกาตัดสินแล้วก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการที่จะเรียกที่ดินเขากระโดงคืนเท่านั้นเอง นายชูวิทย์จะไปเล่นงานอะไรเขา คดีความจบสิ้นลงไปแล้ว


ซี้ซั้วพูด นอนห้องแอร์-สูบบุหรี่ในเรือนจำ

คำพูดของนายชูวิทย์ (เมื่อวันที่ 1 มี.ค.)ท่อนที่ 3

“ ผมอยู่ในคุก ผมอยู่กับไอ้ ... ผมอยู่ห้องไม่ใช่ VIP ผมอยู่ลำบาก แต่ใครที่มันอยู่ VIP ที่มันอยู่ห้องแอร์ ดูทีวีได้ สูบบุหรี่ได้ เดี๋ยวผมจะบอกว่าใคร และใครที่บอกผมด้วย สอนผมด้วยว่า เฮ้ย! ชูวิทย์ มึงพูดอะไร พูดแล้วหัดเอาประโยชน์เข้าตัวหน่อย และสาบานต่อหน้าพระนะว่าไม่ได้พูด

“(นักข่าวถาม) ... ก็นั่นไงล่ะ ก็คุณเอาคำพูดใครมาล่ะ เอาคำพูดสนธิมาหรือเปล่า ใช่ไหมล่ะ แล้วคุณรู้หรือยังล่ะว่าใครที่มันเข้าข้าง เป็นสุนัขรับใช้พรรคภูมิใจไทย”


ประเด็นนี้นายสนธิตอบโต้ว่า นายชูวิทย์ อย่าซี้ซั้วพูดขึ้นมาลอย ๆ ตนติดคุกอยู่ ตอนนั้นนายชูวิทย์ก็ติดคุกอยู่ นายชูวิทย์เข้าไปอยูที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่วิ่งเต้นตีนขวิดเพื่อให้ได้ไปอยู่โรงพยาบาล เพื่อจะได้นอนที่ดีๆ สบายๆ แล้วไปทำหน้าที่ตรวจความดันของนักโทษ

“ถ้าคุณหมายถึงผมนี่ คุณเอ่ยชื่อหน่อยได้ไหมว่าผมนอนห้องแอร์ สูบบุหรี่ได้ แน่จริงเอ่ยชื่อมาสิ ผมจะเอาคุณขึ้นศาลเลย ผมจะเอาอธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นพยาน เขาจะต้องยืนยัน รวมทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่ผมนอนพักอยู่ว่า ไม่มีหรอก ห้องขังผู้ต้องหาทั่วประเทศไทยไม่มีห้องไหนติดแอร์ และไม่มีห้องไหนให้สูบบุหรี่ได้

“คุณอย่าหน้าตัวเมีย คุณพูดมาสิว่าเป็นผม แล้วคุณรอรับหมายศาลได้ทันทีเลยคุณชูวิทย์ ผมบอกคุณล่วงหน้าว่าผมพร้อมจะเรียกอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ หรือเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเพื่อซักค้านให้ชัดเจนว่ามีไหมที่นักโทษนอนในห้องที่ติดแอร์ เขาจะบอกชัดเจนว่าไม่มีที่ไหนในราชทัณฑ์ที่นอนห้องติดแอร์ แล้วยังบอกว่าผมสูบบุหรี่ในห้องอีก

“คุณรู้ตัวไหมว่า คุณนี่เลอะเทอะมาก คุณอย่ามาทะลึ่งกับผม”

อย่าใช้สันดานมโน

คำพูดของนายชูวิทย์ (เมื่อวันที่ 1 มี.ค.)ท่อนที่ 4

“ ทำไมหล่ะคนอย่างผมต้องให้ใครมาบอกผมเหรอ คนอย่างผม คุณคิดว่าใครจะสั่งผม ทำไมเหรอ อนุทินเอาเงินไปปิดปากใคร ปิดปากสื่อประเภทไหน สื่อประเภทไม่มีบรรยาบรรณ สื่อประเภทจรรยาไถ

“มันถึงมีสุนัขรับใช้ออกมาไง แล้วสุนัขตัวนี้มันแก่แล้วด้วย คุณไปนึกเอาเองแล้วกัน คุณเป็นสื่อน่ะ คุณอย่ามาถามหรือว่าตามสื่อประเภทอื่นๆ ถ้าคุณเป็นสื่อที่มีตัวตน ถ้าคุณเป็นฐานันดรสี่ คุณต้องค้นหาความจริง ว่าความจริงมันอยู่ที่ไหน”


นายสนธิ กล่าวว่า นายชูวิทย์ทำไมสื่อให้ไปค้นหา ก็ในเมื่อนายชูวิทย์รู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ในใจมีธงอยู่แล้ว ก็พูดเลย จะไปไหว้วานให้สื่อพูดถึงคนอื่นได้อย่างไร ตัวเองจะได้หลุดคดีใช่หรือไม่

“คุณแน่จริงคุณพูดมาสิ ชูวิทย์ อย่าใช้สันดานมโนของคุณ ที่คุณมีชื่อเสียง ได้แสงมาจนทุกวันนี้ เพราะคุณมโน คุณไม่เคยพูดความจริงเท่าไหร่นัก”

หลักฐานส่อ “ชูวิทย์” รับงาน

คำพูดของนายชูวิทย์ (เมื่อวันที่ 1 มี.ค.) ท่อนที่ 5

“ทำไมเหรอ ทำไมต้องให้มึงพูดแต่เรื่อง ไอ้ห่า ทุกเรื่อง แล้วทำไมผมต้องพูดแต่เรื่องตำรวจ แล้วทำไมผมต้องพูดแต่เรื่องธุรกิจสีเทา ทำไมผมจะพูดเรื่องรถไฟสายสีส้มบ้างไม่ได้เหรอ ทำไมผมจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องกัญชาบ้างไม่ได้เหรอ ทำไมต้องตีเส้น เพราะอะไร เพราะผลประโยชน์ไง”


ประเด็นนี้ นายสนธิกล่าว จนวันนี้ตนยังยืนยันว่า เรื่องรถไฟสายสีส้มนายชูวิทย์รับงานมา เพราะเหตุการณ์ สิ่งแวดล้อม หลักฐานที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นหนักสือที่ยื่นไป คือหนังสือของ BTS ที่ยื่นไปแล้ว จึงเชื่อว่ารับงานมาแน่นอน และความที่ตนเห็นว่านายชูวิทย์เป็นรุ่นน้อง จึงเตือนว่าเรื่องรถไฟสายสีส้มถ้าไม่รู้รายละเอียดอย่าพูด ไม่งั้นจะเสีย เพราะเขาสู้กันในศาลหลายขั้นหลายตอน และศาลได้ตัดสินแล้ว

คนหลายคน รวมถึงตนก็สงสัยเป็นอย่างยิ่ง ว่าทั้งสองเรื่องทั้งคือ เรื่องเขากระโดง และกัญชา เกิดขึ้นมาแล้วหลายปีดีดัก แต่ทำไมนายชูวิทย์ กลับเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้ ก่อนการเลือกตั้ง แถมยังโจมตีเรื่องนี้ไปที่ตัวบุคคลใด บุคคลหนึ่ง พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง


นอกจากนี้ยังมีความย้อนแย้งอีกในกรณีที่ลูกชาย-ครอบครัวนายชูวิทย์ แสวงหาประโยชน์การการขายกัญชา หรือที่นายชูวิทย์อ้างว่าเป็นที่ให้เช่าร้านเพื่อขายกัญชาเพื่อการนันทนาการ แต่กลับตั้งอยู่อย่างโดดเด่นภายในโรงแรมตัวเองด้วย

“คุณชูวิทย์จะรับงานจาก เสธ.หิ หรือทำด้วยความเต็มใจหรือไม่ ผมไม่ทราบ?แต่ผมสังเกตว่า นับตั้งแต่คุณชูวิทย์พบกับ เสธ.หิ และ นายกรัฐมนตรีครั้งนั้น ทั้งที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และทีเสธ.หิ ออกมารับที่ทำเนียบ น้ำเสียงและท่าทีคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ผมเห็นคุณชูวิทย์ด่ากราดไปทั่ว ถล่มไปทุกพรรค ทุกกลุ่ม แต่กลับไม่ตรวจสอบอยู่ 2 พรรค คือพรรคเพื่อไทย และรวมไทยสร้างชาติ จริงหรือเปล่า"


“คุณก็รู้ว่าหลานชายท่านนายกฯ มีสายสัมพันธ์ กับ คดีตู้ห่าว แต่ผมไม่เคยเห็นคุณพูดแม้แต่คำเดียว แม้กระทั่งที่ทำการของพรรครวมไทยสร้างชาติ เจ้าของตึกก็เป็นคนที่กำลังมีคดีความอยู่กับเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วตำรวจที่ไปจับดำเนินคดีเจ้าของตึกโดนย้ายกระเด็นกระจายไปหมดทั้งที่ตั้งใจทำงาน ทีอย่างนี้คุณไม่ทำบ้าง ทำไมไม่พูดหละ ชูวิทย์"


“นอกจากนี้แล้ว กลุ่มพวกพนันออนไลน์หลายคน คุณก็ฟาดฟันเขา แต่คุณก็ไม่ได้ฟาดฟันอย่างจริงจังเท่าไหร่ คุณพูดถึงไอ้ฟลุ๊ค แต่คนที่ขุดเจาะเรื่องไอ้ฟลุ๊คมา จนกระทั่งเอาไอ้ฟลุ๊คมาเปิดตัวคือผม คุณแค่เอาข้อมูลมาแล้วก็มาแปะ แล้วมาพูดไอ้ฟลุ๊คโน้นไอ้ฟลุ๊คนี้ เพื่อให้คุณได้แสง แต่คนทำงานจริงคือผม”


เตือน “ชูวิทย์” เตรียมตัวให้พร้อม วีรกรรมเพียบ

นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่นายชูวิทย์ออกมาออกมาแฉเรื่อง“เครือข่ายตู้ห่าว”มีคนเข้ามาพบแล้วเล่าให้ฟังว่า มีคนเรียกรับเงินหลักร้อยล้าน แต่ตนได้ตอบไปว่าไม่เชื่อ นายชูวิทย์ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น ตนปกป้องนายชูวิทย์มาครั้งหนึ่งแล้ว

“วีรกรรมชีวิตของคุณผมยังมีอีกเยอะ มีคนมาเล่าให้ผมหลายสาย คุณชูวิทย์ คุณรู้หรือเปล่าชีวิตคุณโตมาจนถึงวั 68 คุณเหยียบตีนคนมาตั้งเท่าไร คุณเหยียบหัวคนมาเท่าไร คนพวกนี้เขาเก็บตัวเงียบ อาจจะเป็นเพราะเขากลัวคุณ แต่ผมไม่กลัวคุณ แล้วคุณคิดว่าเมื่อผมออกรายการนี้ไปแล้ว คนพวกนี้จะไม่ป้อนข้อมูลต่างๆ ที่เป็นวีรกรรมของคุณมาให้ผมบ้างหรือ คุณรอต่อไปก็แล้วกัน"


“ถ้าคุณอยากมีเรื่องกับผม คุณเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม ไปเข้าฟิตเนสเล่นกล้ามอีกรอบก็ได้ แต่อย่ามาเล่นละครกับผมนะ อย่ามาเล่นมุกเล่นละครว่ามีคนโดนอุ้ม แล้วไปนอนอยู่ข้างถนน แสดงทีท่าเกรี้ยวกราด ไปท้าชกคนโน้นท้าชกคนนี้ คุณชูวิทย์ เผื่อคุณจะไม่ทราบฉายาผม ผมเป็นคนที่ไม่โวยวาย คนก็เลยไม่ค่อยรู้จักผม แต่คนรู้จักผมดี คือ "คนเผาแบงก์ห้าร้อยเพื่อหาเหรียญสลึง" คุณจะแดกดันผมก็แดกดันไป แต่ถ้าคุณจะเจอผม แล้ววันนี้เราตัดขาดกันแล้ว เจอกันแน่นอน เจอกันแน่นอน”

นายสนธิ กล่าวว่า นายชูวิทย์ประกาศตัวออกจากวงการอ่าง วงการธุรกิจน้ำกาม เดินเข้าสู่วงการการเมือง มีเงินมีทองที่หามาได้จากอาบอบนวด มุ่งหน้าปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง


นายสนธิ กล่าวต่อว่า แต่ตนเองชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขายทรัพย์สินทั้งหมด ขายบ้าน ขายโรงแรมที่อยู่ที่หลวงพระบางที่ลาว ขายทุกอย่าง เป็นหนี้เป็นสิน เอาเงินฝากของภรรยามาช่วยอุดหนุนการชุมนุมเพื่อต่อต้านความชั่วร้าย เอาคนออกมาสู้ระบอบทักษิณ ลิ่วล้อทักษิณเล่นงานทุกวิถีทาง ทั้งอำนาจรัฐ ตำรวจ ทหาร กระบวนการทุกอย่าง ตนผ่านมาแล้ว


ท้าเอ่ยชื่อมาเลย แฉมาเลย

“ถ้าคุณคิดว่าผมมีอะไร มีข้อมูลอะไร เปิดเผยมาเลย คุณพูดเต็มที่ ส่วนผมจะติดตามคุณทุกครั้งว่าคุณทำอะไร พูดอะไร แล้วคุณแน่จริง คุณเอ่ยชื่อผมมาสิ ผมเอ่ยชื่อคุณมาแล้วนะ คุณไม่ต้องเกรงใจ อะไรที่ผมพูดแล้วไม่จริง คุณฟ้องผมได้ แต่ถ้าคุณเอ่ยชื่อผม คุณกับผมเจอกันในศาลแน่นอน”

นายสนธิ กล่าวว่า ตนติดคุกมา 3 คดี คดีแรก คือ ผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ เป็นคดีเก่าตั้งแต่ปี 2540 ข้อหาไม่ได้ปฏิบัติตามเกณฑ์ ก.ล.ต. ตนสารภาพผิด ไม่ได้หนี โทษจำคุก 20 ปี แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษหลังจากติดอยู่ 2 ปี 11 เดือน 27 วัน

คดีที่สอง ติดคุกอยู่ 8 เดือน พร้อมแกนนำพันธมิตรฯ ข้อหาบุกทำเนียบฯ ถึงขั้นศาลฎีกา คดีที่สาม คดีหมิ่นประมาท พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ซึ่งสู้ถึงศาลฎีกา แล้วศาลฎีกาพิพากษาให้ผมติดคุก 15 วัน


“ผมมีแค่นี้่ คุณไม่ต้องไปค้นหรอก เผื่อเดี๋ยวคุณจะค้นมา ผมบอกให้คุณล่วงหน้าเลย แล้วบอกข้อหาทุกอย่างด้วย ผมไม่เคยปิด ผมไม่อยากจะพูดว่าผมนี่ของจริง ส่วนคุณน่ะทองเก๊ ผมไม่อับอายอะไรทั้งสิ้น คุณอยากขุดก็ขุด แต่ขุดให้ถูกต้องนะ ถ้าไม่ถูกต้อง คุณกับผมขึ้นศาลด้วยกัน คุณอย่าโกรธผม ถ้าผมจะขุดคุณบ้าง วีรกรรมในอดีตของคุณไม่ใช่ธรรมดา

“คนจำนวนหนึ่งชอบฟังคุณชูวิทย์พูด แล้วเชื่อคุณ ผมจะบอกให้ คนไทยที่ชอบเรื่องดรามา ชอบการแสดงละคร แล้วคุณนี่แสดงละครเก่งฉิบหายเลย สนุกสนานแล้วเลิกกัน ตกอยู่ในวังวนของกระแสที่เขาปั่นขึ้นมา พอเสร็จแล้วก็เงียบไป ซึ่งช่วยไม่ได้ สังคมไทย คนไทยมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นบาปกรรมของประเทศไทย

“ส่วนผมนะ คุณชูวิทย์ ถ้าผมเล่นเรื่องไหน ผมเล่นสุดซอย เล่นจนเห็นผล อย่างเรื่องเสี่ยโป้ บอส อยู่วิทยา หลงจู๊สมชาย ผู้กำกับโจ้ หรือเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ และผมกำลังจะเล่นคุณอย่างสุดซอยเช่นกัน” นายสนธิกล่าว


เรื่องเว็บพนันออนไลน์ล่าสุด ความเคลื่อนไหวของคดี รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า อัยการสูงสุด น.ส.นารี ตัณฑเสถียร มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเป็นข่าวตามสื่อมวลชน และผู้ที่มาร้องเรียน เกี่ยวกับคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่ประชาชนให้ความสนใจ อาจมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุด มีคณะทำงาน 5 คณะ สองคดีที่เปิดโปงโดยผมผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ไปแล้ว คือคดีนายแทนไท ณรงค์กูล กับพวก และอีกคดีหนึ่งคือคดี Mawinbet.com ของ “ไอ้ฟลุ๊ค” นายเกียรติศักดิ์ เจริญสุข

“คุณชูวิทย์ครับ นี่คือผลงานของผม ผมพูดเรื่องอะไร ผมสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะว่าผมพูดความจริง คุณชูวิทย์” นายสนธิกล่าว


เรื่องเกี่ยวเนื่อง
-ย้อนรอยคดีรื้อบาร์เบียร์ เมื่อ “เสี่ยอ่าง” ลืมคำ จาก “สวนชูวิทย์” กลายเป็นมิกซ์ยูสหมื่นล้าน


กำลังโหลดความคิดเห็น