xs
xsm
sm
md
lg

หมอสาววัย 27 ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดที่โตเร็วและพบยาก แม้ไม่ดื่มหรือสูบบุหรี่ เผยทำเข้าใจคนไข้มากขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แพทย์หญิงวัย 27 ปี ผู้ซึ่งไม่ดื่มหรือสูบบุหรี่ โพสต์แชร์ประสบการณ์ป่วย “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” ชนิดหนึ่งที่ดุและโตเร็ว ใน 1 ปีจะมี 6,000 คนทั่วโลกที่ถูกวินิจฉัยด้วยโรคนี้ ทำให้เข้าใจคนไข้มากขึ้น แม้ว่าตอนนี้โรคจะสงบแล้ว กลับมาทำงานเหมือนเดิม แต่สถานะคนไข้ยังต้องติดตัว ต้องตรวจติดตามเป็นระยะ

เมื่อวันที่ 26 ก.พ. เพจ พักก้อน โดย “หมอลูกหมู” วัย 27 ปี ได้โพสต์เล่าประสบการณ์ของตนเองหลังป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งที่ดุและโตเร็ว ใน 1 ปีจะมี 6,000 คนทั่วโลกที่ถูกวินิจฉัยด้วยโรคนี้ โดยได้ระบุข้อความว่า

"วันนี้อยากมาเล่าเรื่องในมุมของหมอที่จับพลัดจับผลูเป็นคนไข้แบบงงๆ ให้ได้อ่านกัน “เดิมทีแล้วสำหรับเรามะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือ Lymphoma ก็เป็นแค่บทหนึ่งในตำราเรียนที่จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นคำวินิจฉัยหนึ่งของคนไข้ที่อยู่ในความดูแล (ซึ่งแผนการรักษาก็มาจาก Hematologist หรืออายุรแพทย์โรคเลือดซะส่วนใหญ่)

การเขียนออเดอร์ neutropenic diet, งดผลไม้เปลือกบาง ก็เป็นแค่ความเคยชินที่ทำให้สำหรับผู้ป่วยที่มารับเคมีบำบัด จนวันหนึ่งคุณมะเร็งก็เข้ามาอยู่ในชีวิตเรา อยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7 วัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน หายใจไปพร้อมกัน

หลายคนอาจจะสงสัยว่าในฐานะหมอ พอเราป่วยซะเองจะมีความคิดความรู้สึกต่างจากคนไข้ทั่วไปยังไงกันนะ?

สำหรับตัวเราเอง ไม่ต่างเลยค่ะ 555 ออกจะกังวลมากกว่าคนไข้ทั่วไปด้วยซ้ำ ตลอดเวลา 6 เดือนที่ป่วยและรับยาเคมีบำบัดเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเราเห็นมาตลอดว่าถ้าคนไข้มะเร็งได้ยาเคมีบำบัดแล้วมีการติดเชื้อแทรกซ้อน อาการจะรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป เพราะฉะนั้นเวลาจะกินอะไร หรือจะทำกิจกรรมอะไร เรามักจะคิดภาพตัวเองนอนซมให้ยาฆ่าเชื้อใน ICU อยู่บ่อยๆ

ตอนยังทำงานอยู่เราก็ไม่ต่างกับหมอหลายคนที่อยู่เวรห้องฉุกเฉิน แล้วเจอคนไข้ที่มาด้วยภาวะที่ไม่ได้ฉุกเฉินจริง ในช่วง 6 เดือนนั้น คนไข้ที่มีคำนำหน้าว่าแพทย์หญิงคนนี้ได้เข้าห้องฉุกเฉิน 2 ครั้ง และไม่ใช่ภาวะฉุกเฉินที่อันตรายถึงแก่ชีวิตทั้งสองครั้ง

ครั้งแรกที่บ้านพาไปส่งเพราะเพลียมาก หน้ามืด วัดความดันได้ 60/30 (พอไปวัดที่ ER ปกติซะเฉยๆ) ส่วนอีกครั้งคือท้องเสีย ปวดท้อง pain score 10/10 พอไปตรวจจริงก็ปกติดี เป็นแค่อาการลำไส้แปรปรวน และทั้งสองครั้งที่ไปห้องฉุกเฉินนั้นไม่มีเจตนาอื่นใด นอกจากกลัวตายเท่านั้นแหละ

“การเป็นคนไข้ซะเองทำให้เราเข้าใจคนไข้มากขึ้น”

เข้าใจคนไข้ที่มาห้องฉุกเฉินตอนตีสาม เพราะท้องเสีย ปวดท้อง แค่โรคลำไส้อักเสบธรรมดาที่ไม่ฆ่าใคร แต่มันสามารถปวด pain score 10/10 ได้จริงๆ ไม่มีใครอยากเข้าห้องฉุกเฉินหรอกถ้าไม่กลัวตาย (ยกเว้นมาขอยาเดิมหรือขอใบรับรองแพทย์ตอนดึกๆ อันนั้นก็ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม

เข้าใจว่าผู้ป่วยมะเร็งทุกคนต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งและต้องการกำลังใจจากคนรอบข้างขนาดไหน การต่อสู้กับผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด การต้องระวังตัวเองตลอดเวลาไม่ให้ป่วย แต่ละวันมันไม่เคยง่ายเลย

เข้าใจว่าทุกคำสั่งการรักษาที่เขียนไปมันส่งผลกระทบต่อชีวิตคนไข้จริงๆ หลายๆ อย่างมันง่ายกับคนเขียน แต่ลำบากคนทำ เคยไม่เข้าใจว่าทำไมคนไข้เบาหวานที่คุมน้ำตาลไม่ได้ถึงไม่ยอมฉีดยาอินซูลิน จนถึงวันที่ตัวเองโดนฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว (เข้าใต้ผิวหนังคล้ายอินซูลิน) ยังรู้สึกว่ามันเจ็บ และมันลำบากจริงๆ แหละ

แม้ว่าตอนนี้โรคจะสงบ กลับมาทำงานเป็นหมอเหมือนเดิมแล้ว สถานะคนไข้ก็ยังต้องติดตัวไปอีกหลายปี เพราะยังต้องเข้ารับการตรวจติดตามเป็นระยะ (แน่นอนว่าก็ยังกังวลเหมือนเดิมทุกครั้งแหละ555)

เราผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ ค่ะ ทั้งประสบการณ์ที่ผมค่อยๆ ร่วงเป็นกระจุกจนหมดหัว ปวดกระดูกจนนอนร้องไห้ กินอาหารแล้วไม่รู้รสชาติจนยอมแพ้ที่จะกิน อ่อนเพลียมากจนเดินได้วันหนึ่งไม่กี่ก้าว พอมาคิดจริงๆ ก็ไม่ใช่เราคนเดียวหรอกที่เคยต้องผ่านเรื่องแบบนี้มา

เรารู้สึกว่าตัวเองในฐานะหมอก็มีความเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เราเรียนรู้ที่จะมองคนไข้เป็นมากกว่างานที่ต้องทำให้เสร็จ มีหลายครั้งที่เราเลือกจะนั่งลงข้างเตียงคนไข้ที่เพิ่งรู้ว่าเป็นมะเร็งเพื่อพูดว่า “กินข้าวเยอะๆ นะคะ หมอรู้ว่ากินไม่อร่อยหรอก แต่ถ้าร่างกายเราแข็งแรง ผลการรักษาก็จะดีขึ้นนะ

วันนี้มาเล่าซะยาวเลย มีใครอ่านจนจบบ้างมั้ยนะ ไว้ครั้งหน้าจะมาเล่าประสบการณ์การรับมือกับการสูญเสียผม หรือการใช้ชีวิตกับ picc line (เส้นให้ยาเคมีบำบัด) โดยไม่ติดเชื้อให้ฟังกันนะคะ ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรง ไว้พบกันใหม่ค่ะ"
กำลังโหลดความคิดเห็น