น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก “ขุนพันธ์” ผู้หาญกล้าและเปี่ยมด้วยวิทยาคม ข่มและฆ่าเสือร้ายมานับไม่ถ้วน
แต่น้อยคนนักที่จะรู้จัก “พระกล้ากลางสมร” ตำรวจมือปราบที่กำราบโจรร้ายมานับไม่ถ้วนเช่นกัน และ “พระกล้าฯ” ผู้นี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับ “ขุนพันธ์” อย่างลึกซึ้ง อย่างที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
เราพาย้อนเวลาไปสัมผัสกับเรื่องราวของ “พันตำรวจเอกพระกล้ากลางสมร” ผ่านคำบอกเล่าของ “บิ๊กสุ - สุทิน บัวตูม” ผู้จัดการทีมฟุตซอลชาติไทย (ประเภทชาย) ซึ่งเชื้อสายของเขามีความเกี่ยวพันกับพระกล้าฯ และนับถือพระกล้าฯ ในฐานะทวด พร้อมหยิบยกปฏิปทาของคุณทวดขึ้นเหนือหัว ตั้งมั่นพาฟุตซอลไทยไปสู่แชมป์โลกให้ได้ ก่อนชีวิตจะหาไม่!
“พระกล้ากลางสมร”
สุดยอดมือปราบ ผู้มอบดาบแก่ขุนพันธ์
สำหรับคนที่สนใจในเรื่องวิทยาคมและเครื่องรางของขลัง ย่อมรู้จักและเคยได้ยินชื่อเสียงเกียรติประวัติของ “พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช” (บุตร พันธรักษ์) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “ขุนพันธ์” แห่งเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าของฉายา “มือปราบดาบแดง” อันมีที่มาจากดาบเล่มยาวที่พันด้วยผ้าแดงซึ่งขุนพันธ์สะพายติดหลังไว้เสมอเวลาออกปฏิบัติราชการและปราบปรามเสือร้ายในซุ้มโจร
คำบอกเล่าจากปากลูกชายของขุนพันธ์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “คชาภา พาไปดู” ระบุว่า ตอนที่ขุนพันธ์มียศร้อยตำรวจตรี ได้ย้ายไปปฏิบัติราชการที่จังหวัดพิจิตร และได้พบกับ “พระกล้ากลางสมร” ซึ่งเป็นนายตำรวจอายุเยอะกว่า ขุนพันธ์เกิดความเคารพศรัทธา จึงกราบขอเป็น “ลูกยก” หรือ “ลูกบุญธรรม” ของพระกล้ากลางสมร
ตามธรรมเนียมโบราณ พ่อบุญธรรม ก็จะมอบสิ่งของที่มีค่าให้กับคนที่มาขอเป็นลูกบุญธรรม และสำหรับขุนพันธ์ ก็ได้รับดาบเล่มนี้มา ซึ่งเป็นดาบเหล็กน้ำพี้ เป็นดาบเก่าแก่ประจำตระกูลของพระกล้ากลางสมร ขณะที่ลูกชายของขุนพันธ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับดาบเล่มนี้ว่า จริง ๆ แล้ว ตัวดาบไม่ได้มีสีแดงแต่อย่างใด แต่เพราะพ่อกลัวว่า หวายที่ติดอยู่กับปลอกดาบจะขาด จึงนำผ้าแดงมาหุ้มไว้
ฟังว่า พระกล้ากลางสมร นั้นสืบเชื้อสายต้นตระกูลมาจากพระยาพิชัยดาบหัก จ.อุตรดิตถ์ จึงสันนิษฐานกันต่อไปว่า ดาบเล่มดังกล่าว อาจจะเป็นดาบของพระยาพิชัย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าพูดถึงพระกล้ากลางสมร ต้องบอกว่า นี่คือหนึ่งบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์แวดวงตำรวจไทย
จากคำบอกเล่าของ “บิ๊กสุ – สุทิน บัวตูม” ระบุว่า พระกล้ากลางสมร มียศสูงสุดเป็นพันตำรวจเอก เคยเป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนครปฐม และที่สำคัญคือเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนที่ 5 ดำรงตำแหน่งในระหว่างปี พ.ศ. 2484 – 2488
พระกล้ากลางสมร มีนามเดิมว่า มงคล หงสไกร โดยชื่อ “พระกล้ากลางสมร” เป็นราชทินนามที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ พระราชทานจากล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ท่านมีบ้านพักอยู่ที่ ต.หนองเต่า อ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์ ซึ่งตอนนี้บ้านหลังดังกล่าวก็ยังคงอยู่ อายุกว่าร้อยปี
ถึงแม้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ แต่ด้วยสถานะของความเป็นตำรวจ งานอีกด้านก็คือการปราบปรามโจรผู้ร้าย ซึ่ง “พระกล้ากลางสมร” ถือเป็นอีกชื่อที่เหล่าเสือร้ายครั่นคร้ามเกรงขาม เพราะความเด็ดขาด เด็ดเดี่ยว และกล้าดวลแบบไม่มีคำว่ากลัวในหัวใจ บางเสือร้ายอยากลองดี ก็ได้เจอดีและได้ไปพบกับยมบาลสมใจปรารถนา
ยกตัวอย่างเช่น “เสือออ” และ “เสือฉาย” แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ริอ่านเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากเรือเมล์โดยสารที่ท่าเรือเขียวไข่กา จนเจ้าของทนไม่ไหว ร้องเรียนไปยังหน่วยงานราชการ สุดท้าย “พระกล้ากลางสมร” ถูกเรียกตัวให้มาปราบสองเสือ ครั้นสองเสือรู้ข่าวก็ส่งจดหมายท้าทายพระกล้าฯ ว่า ถ้าแน่จริง ก็ให้มาคนเดียว และมือปราบระดับพระกล้าฯ ก็รักษาสัจจะลูกผู้ชาย ลุยเดี่ยวไปในคืนนั้น ก่อนเหตุการณ์จะจบลงด้วยความตายของสองเสือร้ายชะตาขาดอย่างที่คาดเดาได้ไม่ยาก..และว่ากันว่า ในวันนั้น สิ่งที่พระกล้าฯ พกติดกายไปด้วย คือตะกรุดและผ้ายันต์รอยเท้าหลวงพ่อเดิม
พันตำรวจเอกพระกล้ากลางสมร นั้นเป็นผู้ที่เชื่อถือศรัทธาในวิทยาคม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเครื่องรางของขลัง ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงมี “ของดี-ของขลัง” อยู่ที่บ้านมากมาย และท่านมักจะมอบให้แก่คนที่ท่านเห็นว่าสมควรให้ อย่างเช่นขุนพันธ์ซึ่งท่านเห็นว่าเป็นตำรวจที่ดี ทำหน้าที่เพื่อประชาชน จึงได้มอบดาบเล่มดังกล่าวให้แก่ขุนพันธ์
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งพระกล้ากลางสมรยึดมั่นตลอดชีวิตของท่านคือการศรัทธาในคุณงามความดี ที่ตัวท่านได้บอกสอนลูกหลานเหลนทุกคนของท่าน
“สุทิน บัวตูม” ผู้จัดการทีมฟุตซอลชาติไทย หนึ่งในหลานเหลนโหลนของพระกล้ากลางสมร และนับถือพระกล้าฯ เป็นคุณทวด เล่าให้ฟังว่า พระกล้าฯ ท่านสอนลูกหลานเหลนให้ทำแต่คุณงามความดี และสำคัญที่สุดคือจงรักภักดีต่อสถาบัน พระกล้าฯ ท่านเอาเล็บกรีดเนื้อของท่านแล้วเขียนเป็นคำปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อสถาบัน
“ตอนที่ผมยังเด็กอายุ 6-7 ขวบ ตอนนั้นพระกล้าฯ เกษียณราชการนานแล้ว บ้านผมกับบ้านพระกล้าฯ อยู่คนละฝั่งคลอง เราก็นั่งเรือข้ามคลองไปเล่นกับพี่เหวก พี่ก้อง ลูกของท่าน และนอนที่บ้านของท่านเป็นบางครั้ง ท่านก็อุ้มผม แต่ผมไม่รู้ท่านเป็นใคร สำคัญอย่างไร เพราะเรายังเด็กมาก แต่พอโตมา และได้ศึกษาเรื่องราวของท่าน จึงได้รู้ว่าท่านเป็นบุคคลสำคัญ เคยเป็นถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่นักโทษกลัวที่สุด เสือร้ายหรือโจรจะเกรงกลัวพระกล้าฯ มาก เพราะท่านเด็ดขาด เด็ดเดี่ยว คือต้องบอกว่า ใจเกินล้าน”
“ท่านเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ แต่ทำตัวเล็กที่สุด ยิ่งใหญ่ มีอำนาจ แต่ท่านทำตัวเหมือนเป็นชาวบ้านทั่วไป เป็นคนเรียบง่าย ใช้ชีวิตสมถะ เหมือนไม่มีอะไร แต่มีความเมตตาสูง ท่านเป็นคนที่รักลูกหลานเหลน ให้ความเมตตาต่อชาวบ้าน ชาวบ้านก็รักท่าน โดยท่านมักจะชอบแจกสิ่งของเวลาที่เดือดร้อน ช่วยเหลือคนที่ถูกรังแก ท่านเป็นคนที่มีความยุติธรรมที่สุด และมีความซื่อสัตย์สุจริตอันดับหนึ่งเลย”
แน่นอนว่า จากปฏิปทาของคุณทวด ส่งต่อเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานเหลน ซึ่งสุทินก็เช่นกัน เพราะเมื่อเติบโตเข้าสู่เส้นทางการทำงาน ก็ได้นำเอาหลักการของพระกล้าฯ มาใช้ในการสร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคมชาติบ้านเมือง รวมทั้งเครื่องลางของขลังก็เป็นอีกสิ่งที่ผู้จัดการทีมฟุตซอลชาติไทยนำมาใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากในแวดวงการกีฬา
สานต่อปณิธาน “พระกล้าฯ”
ด้วยพลังศรัทธา ใช้กีฬาสร้างคุณค่าให้สังคม
“ผมเป็นลูกหลานเหลนของพระกล้าฯ ที่อยากจะสร้างความฝันก่อนเสียชีวิต คือการผลักดันฟุตซอลไทยให้เป็นแชมป์โลก สร้างความสุขให้กับคนไทย 66 กว่าล้านคน และนำความรักความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยผ่านกีฬาฟุตซอล โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนอะไรเลย”
นั่นคือคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของผู้จัดการทีมฟุตซอลไทย “บิ๊กสุ” สุทิน บัวตูม ซึ่งเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้แล้ว 3 ปีกว่า และนำพาฟุตซอลชายทีมชาติไทยไปพิชิตมาแล้วหลายสนาม ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ซีเกมส์ แชมป์อาเซียน ชิงแชมป์เอเชียกับคูเวตเมื่อปี 2022 และชิงแชมป์โลกที่ลิทัวเนียเมื่อปี 2021 ขณะที่ตัวเขาเองเคยได้รับรางวัลผู้จัดฟุตซอลทีมชาติไทยดีเด่น เนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ 2564
ที่ผ่านมา สุทิน บัวตูม เคยดำรงตำแหน่งอนุกรรมการด้านการข่าวกรองเพื่อต่อต้านการทุจริต ป.ป.ช. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557-2564 เป็นอนุกรรมการสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ภายใต้พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ และเคยเป็นอนุกรรมการด้านความมั่นคง ในคณะกรรมาธิการทหาร วุฒิสภา รวมทั้งได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เบญจมาภรณ์ มงกุฎไทย ซึ่งเสนอโดย สำนักงาน ป.ป.ช. และด้วยความที่มีใจรักในกีฬาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้รับการชักชวนจาก “พี่ป๋อม” อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ (อดีตผู้จัดการทีมฟุตซอลชาติไทย) สุทินก็อาสาเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ทันที ด้วยเป้าหมายสูงสุดคือพาฟุตซอลทีมชาติไทยไปสู่แชมป์โลกให้ได้ก่อนที่ชีวิตตัวเองจะวางวาย..
“เป็นผู้จัดการฟุตซอล เปรียบเสมือนเป็นพ่อบ้าน” บิ๊กสุ พูดถึงหลักในการทำงานของตนเอง... “ดูแลทุกข์สุขของคนในทีมส่วนต่าง ๆ และสำคัญที่สุดคือให้กำลังใจ ส่วนสไตล์การเล่น เทคนิค กลยุทธ์ในสนาม เป็นหน้าที่ของโค้ช เพราะฉะนั้น เราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโค้ช ให้อำนาจเขาทำ เรามีหน้าที่ในการซัพพอร์ตเขา อย่างเช่นเงินอัดฉีดต่าง ๆ เราก็หาคนมาช่วย ซึ่งก็มีคนไทยใจดีเข้ามาช่วยตรงนี้อย่างหลากหลาย คือเขาใจกุศล อยากให้โดยไม่หวังอะไร แต่ถ้าให้แล้วหวังนู่นหวังนี่ เราก็ไม่เอา ให้อัดฉีดมาสองแสนห้าแสนแล้วพูดเยอะ ก็คือไม่เอาเลย เพราะการให้ที่ดีที่สุดคือการให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน นี่คือหลักการทำงานของผมเลย ให้แล้วหวังอยากได้อย่างนั้น อยากได้ตำแหน่งอย่างนี้ แบบนี้ผมไม่เอาเลย
“เราทำกีฬาด้วยจิตวิญญาณ ความรัก แล้วเราเอาหัวใจในการบริหาร คือเอาใจใส่ทีมงานทุกคน สวัสดิการต่าง ๆ ความเป็นอยู่ และเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หมายความว่า แม้เด็กเขาจะเลิกเล่นฟุตซอลแล้ว เราก็ยังช่วยเหลือ หากมีอะไรต่าง ๆ เราช่วยได้ เราก็ช่วย”
อย่างที่เกริ่นไว้ นอกจากหลักการบริหาร และปณิธานที่เจริญรอยตามคุณทวดในการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมแล้ว สิ่งที่สุทิน บัวตูม ใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกแมตช์ที่แข่งขัน เขาจะต้องคล้องพระลงไปเชียร์ข้างสนามด้วย และพระเครื่องที่มีอยู่ ล้วนเป็นของโบราณที่ได้มาจากบรรพบุรุษ
“ความสำเร็จเกิดจากการมีทีมเวิร์คที่ดี ความสำเร็จของฟุตซอลทีมชาติไทย เกิดมาจากทีมงานทุกส่วนที่เหมือนอยู่ในเรือลำเดียวกัน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทั่วโลกเขานับถือ คือสิ่งที่ลี้ลับที่มองไม่เห็น บางคนว่า ผู้จัดการฟุตซอลงมงายหรือเปล่า เพ้อฝันไปหรือเปล่า คล้องพระไปชมการแข่งขัน นี่มันจะโอเวอร์ไปมั้ย แต่ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง และทั่วโลกมีหมด แม้แต่ทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ก่อนลงสนามแข่งขัน เขาก็ก้มกราบพระอัลเลาะห์ ยิ่งเวียดนาม เผาพริกเผาเกลือเผากระเทียม ที่หน้าสนามเลย ผมนี่เห็นกับตา เขาเผาเพื่อสาปแช่งให้คู่แข่งขันแพ้ ตอนนั้นไทยเราแพ้ เวียดนามได้แชมป์อาเซียน (ฟุตบอล)
“อย่างของผม จะต้องมีเบญจภาคี คือคล้องพระที่เราเคารพศรัทธา 5 องค์ (พระสมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์เจดีย์ , พระกำแพงซุ้มกอ กรุวัดบรมธาตุ จ.กำแพงเพชร , พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.สุพรรณบุรี , สมเด็จวัดนางพญา จ.พิษณุโลก , พระรอด วัดมหาวัน จ.ลำพูน) เพื่อไปเชียร์ แล้วก็มีความมหัศจรรย์หลายครั้งแล้วที่ประสบมา เช่น ที่ลิทัวเนีย ซึ่งทีมเราเจอกับโมร็อกโค เขายิงเราประมาณ 20 ครั้ง แบบเดี่ยวต่อเดี่ยว แต่ยิงไม่เข้า ราวกับมีปาฏิหาริย์ แต่ก็ถือว่าผู้รักษาประตูของเรานั้นเก่งด้วย แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เราไม่รู้ เราอย่าลบหลู่ ผมนั่งดูอยู่ด้านบนอัฒจันทร์นี่ขนลุกหมดเลยนะ ยกมือท่วมหัว แล้วก็ปรบมือ แต่มันพูดไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นการโม้โอ้อวด”
ประสบการณ์อัศจรรย์หลายอย่างที่สุทินเจอมา เน้นย้ำกับเขาว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งลี้ลับนั้นมีอยู่จริง เช่นครั้งหนึ่ง เขาเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาคล้องพระเครื่องหลวงปู่ทิม เป็นพระขุนแผนผงพรายกุมาร ขณะจะเดินขึ้นห้องพักในโรงแรมตอนประมาณตีหนึ่ง แม่บ้านก็เข้ามาทักว่าทำไมมีเด็กเดินมาด้วย 3 คน แต่สุทินก็บอกว่ามาคนเดียว แล้วไปพักอีกโรงแรมหนึ่งก็เจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน อีกครั้งที่ประเทศไทย เขาคล้องขุนแผนเหมือนกัน ขับรถกระบะผ่านด่าน ตำรวจเข้ามาทักว่า มีเด็กนั่งข้างหลัง เขาบอกว่าไม่มี มาคนเดียว พร้อมเปิดไปดู ปรากฏว่าไม่มีใคร ตำรวจเองก็ถึงกับประหลาดใจ
“เราไม่เชื่อ เราอย่าลบหลู่นะสิ่งเหล่านี้ แล้วผมคล้องพระหลายชุด อย่างเช่นหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว นครปฐม พิมพ์สะดุ้งกลับ เรื่องร้ายกลายเป็นดี วิกฤติเป็นโอกาสตลอด วิกฤติทำให้ผมได้พบกับสิ่งที่สวยงามมาโดยตลอด คือพบเพื่อนแท้บ้าง พบสิ่งที่เราคาดไม่ถึง อย่างตอนแข่งที่ลิทัวเนีย เราประกาศอัดฉีด 3 ล้าน แล้วได้เข้ารอบจริง ๆ
“ตอนนั้น ความตั้งใจแรกของเรากะว่าจะเอาที่ดินของตัวเองไปจำนำ เพราะว่า ตายเป็นตาย แต่ต้องไม่เสียสัตย์ คำพูดเป็นนาย เราพูดไว้อย่างไร ต้องทำให้ได้อย่างนั้น คนเราถ้าขาดความน่าเชื่อถือ ก็เท่ากับคนที่ตายไปแล้ว เขาไม่เชื่ออีกแล้ว หมดศรัทธาแล้ว แต่พอกลับมาเมืองไทย มีกลุ่มเพื่อนยื่นมือเข้ามาช่วยกันคนละล้าน คนละหกแสน แปดแสน ฯ จนกระทั่งครบสามล้าน คนเหล่านี้ที่เราอยากจะกราบ นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ศรัทธาแรงกล้าในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บวกกับความมุ่งมั่นตั้งใจ และความจริงใจ เปรียบเสมือนหางเสือที่ขับเคลื่อนการทำงานของผู้จัดการทีมคนนี้ และทำให้เขาได้พบเจอสิ่งดี ๆ และคนดี ๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขณะที่กำลังพาทีมชาติไทยเดินไปสู่เป้าหมายสูงสุดที่ตั้งไว้
“เราคิดว่า เราทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้เราไม่ต้องกลัวใคร เราไม่ได้โกงใคร เราไม่ได้ทุจริต เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เรามีความสุข วันนี้พรุ่งนี้เราก็นอนหลับสบาย ใจคนทุจริตเป็นร้อยล้านพันล้าน มันนอนผวานะ นอนไม่หลับ เพราะคิดว่า คนอื่นจะจับกูได้หรือเปล่าน้อ (หัวเราะ)
“เราทำฟุตซอล เราไม่ได้หวังอะไร หวังอย่างเดียว คือสร้างความสุขให้คนไทยทั้งประเทศ สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ภายใต้ธงชาติไทยและสถาบัน”
คือคำยืนยันจากลูกหลานเหลนของพันตำรวจเอกพระกล้ากลางสมร ที่สะท้อนถึงการสานต่อและเจริญรอยตามคำสอนของคุณทวดที่เน้นย้ำในเรื่องการสร้างคุณงามความดีเพื่อสังคมชาติบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ป.ล. ระหว่างวันที่ 1-7 มีนาคม 2566 นี้ ฟุตซอลทีมชาติไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตซอล รายการ “NSDF Futsal Championship 2023” ที่พัทยา จังหวัดชลบุรี บิ๊กสุ-สุทิน บัวตูม ฝากคนไทยทุกคนร่วมส่งกำลังแรงใจเชียร์ฟุตซอลทีมชาติไทย โดยติดตามการถ่ายทอดสดได้ทางช่อง 9 MCOT รับรองว่างานนี้ลุ้นกันมันส์อีกแน่นอน
เรียบเรียง : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา