"ชูวิทย์" ตอกย้ำ “หยู ซินฉี” ทุนจีนสีเทาจัดตั้งสมาคมเก๊ แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไปหากิน ชม "รังสิมันต์ โรม" อภิปรายได้ดี เพราะเป็นผู้ปกป้องสถาบันไม่ให้เป็นเครื่องมือของสารพัดชาติเทา
วันที่ 16 ก.พ. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กหลังจาก รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าว อภิปรายถึงกรณี ส.ว.ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับขบวนการฟอกเงินค้ายาเสพติด ว่า ข้อมูล “จีนเทา” ที่ผมไม่ได้พูดนอกสภาฯ ได้ถูกส่งต่อให้คุณโรมใช้ในการอภิปราย
“หยู ซินฉี” คือกรณีแอบอ้าง และอวดอ้าง ความใกล้ชิดสถาบันที่เทิดทูนของคนไทย ไปใช้ในการหลอกลวงคนจีนเข้ามาในประเทศไทย
จัดตั้งสมาคมเก๊ อ้างไปถึงความสัมพันธ์กับเบื้องสูง พอผมพูดเรื่องจีนเทา ขนทั้งป้ายและสำนักงานหนีทันที
จีนไม่มีระบบกษัตริย์ ไม่รู้ศาสนา แต่สิ่งหนึ่งที่จีนเทารู้ คือ หากจะทำอะไรที่ผิดกฎหมายเทาๆ ในไทย ต้องรู้จัก ทหาร ตำรวจ
หยู ซินฉี จึงอวดอ้างสรรพคุณสารพัด แสดงความใกล้ชิดสนิทสนมนานากับบรรดาผู้ใหญ่ในวงการ ลามไปถึงพระสงฆ์องคเจ้าก็ไม่เว้น
อิทธิฤทธิ์ของจีนเทาลามไปทุกที่
การอภิปรายของคุณโรมทำได้ดีต้องขอชื่นชม
เพราะเป็นผู้ปกป้องสถาบันไม่ให้เป็นเครื่องมือของสารพัดชาติเทา
ในฐานะรุ่นพี่ ทั้งธรรมศาสตร์ สภาฯ และคุก ขอให้ทำเพื่อประชาชนต่อไป
พี่ขอสู้อยู่นอกสภาฯ ในภาคประชาชน
รังสิมันต์ โรม คอมเมนต์ต่อท้ายโพสต์ว่า ขอบคุณมากๆ ครับ ข้อมูลหลายๆ อย่างที่ได้มา เป็นเหมือนแผนที่นำทางที่ทำให้ผมไปเจอกับความเน่าเฟะของรัฐบาลนี้ครับ ต้องยอมรับว่าข้อมูลของพี่ชูวิทย์ไม่ธรรมดา
ทั้งนี้ นายรังสิมันต์ โรม ได้อภิปรายว่า..
เรื่องใหญ่เรื่องแรก ย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี เคยแถลงนโยบายเกี่ยวกับการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ พูดเสียดิบดีว่า “จะแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ปราบปรามแหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายา โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด ป้องกันการนําเข้าส่งออกโดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน”
สิ่งที่ตามมาหลังจากนายกรัฐมนตรีแถลงไว้แบบนั้น ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บช.น.) มีการจับกุมกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดประมาณ 3-4 กลุ่ม เป็นกลุ่มที่ไปรับซื้อยาบ้าจากประเทศเมียนมาเอามาขายต่ออีกทีหนึ่ง
โดยวิธีการจ่ายค่ายาให้แก่ผู้ผลิตนั้นไม่ได้โอนให้กันตรงๆ แต่คือลูกพี่ก็จะใช้ให้ลูกกระจ๊อกขนเงินสดไปฝากตามตู้ ATM ต่างๆ เงินที่ฝากก็ไปเข้าบัญชีต่างๆ ของนาย A บ้าง, นาง B บ้าง, นางสาว C บ้าง และคนอื่นๆ อีกนับสิบบัญชี พวกนี้เรียกว่า “บัญชีม้า” ซึ่งถูกจ้างให้เปิดขึ้นมา โดยมีผู้ควบคุมบัญชีที่แท้จริงเป็นบุคคลอื่นที่อยู่นอกประเทศกันหมด
เงินที่เข้าบัญชีม้ามานั้น ก็พบว่าถูกเอาไปฝากหรือโอนต่อเข้าบัญชีของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อซื้อไฟฟ้ามา แล้วต่อสายส่งข้ามแดนไปขายที่เมืองท่าขี้เหล็ก เปลี่ยนกลับเป็นเงินค่ายาบ้าจ่ายให้ผู้ผลิตในที่สุด โดยธุรกรรมลักษณะนี้พบว่าทำกันมาอย่างน้อยตั้งแต่ปี 2550 ในนามของ
บริษัท ได้แก่ 1. บริษัท Myanmar Allure Group Company Limited (จดทะเบียนในเมียนมา) 2. บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จำกัด และ 3. บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างหนึ่งของการฟอกเงิน นั่นคือความพยายามอำพรางเงินที่ผิดกฎหมาย ตกแต่งกิจกรรมให้มันซับซ้อนและดูเหมือนว่าได้มาและใช้ไปกับเรื่องที่สุจริต ดังนั้น การฟอกเงินจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในธุรกิจมืดซึ่งรวมถึงยาเสพติดด้วย และนั่นหมายความว่าถ้ารัฐบาลจริงจังกับที่แถลงไว้ว่าจะแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ปราบปรามเครือข่ายค้ายาอย่างเด็ดขาด ก็ต้องจัดการกับกลุ่มผู้ที่คอยฟอกเงินให้กับผู้ค้ายาเหล่านี้ทั้งหมดทุกคนด้วยเช่นกัน
ซึ่งทางตำรวจ บก.สส.บช.น.เมื่อทราบตัวผู้ฟอกเงินแล้วก็ไม่รอช้า ในวันที่ 17 กันยายน 2565 จับกุมผู้ต้องหารายสำคัญได้ 4 ราย คนหนึ่งเป็นชายชาวเมียนมา ชื่อ ทุนมินลัต (Tun Min Latt), คนหนึ่งเป็นชายสัญชาติไทย ชื่อนาย “D” และอีก 2 คนเป็นหญิงไทยชื่อ นาง “ป.” และนางสาว “น.” ซึ่งตามข่าวล่าสุดทั้ง 4 คนถูกนำตัวฟ้องคดีต่อศาลแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 คนตามหมายจับที่ยังหลบหนีอยู่ คือ นายพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ คนนี้เพิ่งถูกเปิดโปงด้วยว่าเป็นเจ้าพ่อพนันออนไลน์ 1 ใน 3 รายใหญ่ของไทย และอีกคนชื่อนางสาว “ก.” ซึ่งจะต้องตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
เรื่องเหมือนจะจบบริบูรณ์ดี happy ending จนกระทั่งมีอีกตัวละครหนึ่งปรากฏขึ้นมา โดยพบว่าทุนมินลัต ชายชาวเมียนมาที่ถูกจับนั้นมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจมาอย่างยาวนานกับชาวไทยคนหนึ่งชื่อนายอุปกิต ปาจรียางกูร เป็นผู้ก่อตั้งและเคยถือหุ้นใหญ่ในบริษัท Allure Group และเคยร่วมกับทุนมินลัตก่อตั้ง Myanmar Allure เป็น 2 บริษัทที่พัวพันกับคดีฟอกเงินที่ได้กล่าวไปข้างต้น
นอกจากนี้ นายอุปกิตยังมีศักดิ์เป็นพ่อตาของนาย “D” ที่ถูกจับไปรอบเดียวกันกับทุนมินลัต ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็มีชื่อหรือเคยมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการอยู่ในทั้ง Allure Group และ Myanmar Allure ด้วยเช่นกัน
และที่สำคัญที่สุด นายอุปกิตคนนี้เป็น 1 ใน 250 ผลงานการคัดสรรของคณะรัฐประหาร คสช. ให้เข้ามาเป็น ส.ว.ชุดแรกเพื่อช่วยขานชื่อโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคพวกเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจกันต่อไปอย่างหน้าไม่อาย
ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการเลือกนายอุปกิตให้เข้ามาเป็น ส.ว.ได้ ก็คือคณะกรรมการสรรหาที่มีประธานกรรมการชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีหนึ่งในกรรมการชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และนายวิษณุ เครืองาม คนดีทั้งนั้นครับ ไปหาตัวนายอุปกิตมาโดยอ้างว่านี่คือผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้าน “พลังงาน” ซึ่งผมดูทรงแล้วน่าจะเชี่ยวชาญด้านการเอากิจการพลังงานมาบังหน้าเรื่องอื่นมากกว่า จากนั้นบรรดาคนดีเหล่านี้ก็ไปร่วมกับหัวหน้า คสช. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ อนุมัติให้นายอุปกิตผ่านการคัดเลือกเป็น ส.ว.อย่างเต็มตัวอีกทีหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าคนที่เอานายอุปกิตเข้ามาเป็น ส.ว. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร หรือ พล.อ.อนุพงษ์ และนายพลอีกหลายๆ คนใน คสช. คนเหล่านี้เป็นทหารมาทั้งชีวิต เคยเป็นถึงผู้นำกองทัพ มีกำลังพลคอยดูแลชายแดนมากมายไปหมด อีกทั้งยังเคยเป็นถึงหัวหน้าคณะรัฐประหารที่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จ มีหรือจะไม่รู้ว่าขบวนการค้ายาข้ามประเทศนี้มีใครเกี่ยวข้องบ้าง? มีหรือจะไม่รู้ว่านายอุปกิตพื้นเพเป็นคนอย่างไร? รู้แน่นอน แต่ในเมื่อรู้แล้วยังตั้งมา คนเหล่านี้ก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยเช่นกัน
พอมีข่าวว่าทุนมินลัตถูกจับ ทาง ส.ว.อุปกิตก็ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องเป็นการใหญ่ อ้างว่าก็รู้จักกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้ไปรู้ตื้นลึกหนาบางอะไรกับเขาหรอกนะ แถมหลายปีมานี้ตัวเองก็เริ่มหันไปสนใจในพระพุทธศาสนา อ้างว่าไม่ได้ไปเหยียบแถวชายแดนมาตั้งนานแล้ว Allure Group กับ Myanmar Allure ก็ขายหุ้นไปหมดแล้ว ลาออกไปหมดแล้วก่อนเข้ามาเป็น ส.ว.
เรื่องบัญชีทรัพย์สินว่าที่ยื่นมามันจริงหรือเท็จอย่างไร เดี๋ยวผมไว้พูดเต็มๆ อีกทีหนึ่ง แต่วันนี้เราลองมาดูบทสนทนาต่อไปนี้ไปพร้อมๆ กันว่าที่ ส.ว.อุปกิตอ้างไว้นั้น ในทางปฏิบัติจริงๆ มันเป็นอย่างไร
ภาพแรก ส.ว.อุปกิตบอกว่าเดี๋ยวนี้เข้าทางธรรม ไม่ไปยุ่งกับธุรกิจแถวชายแดนแล้ว แต่ยังมาเจ้ากี้เจ้าการให้เลขาฯ ของตัวเอง ก็คือนาง “ป.” ที่ถูกจับไปแล้ว ไปจดจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เสนอเองเลยว่าให้ใช้ชื่อ Allure P&E
นาง “ป.” คนนี้ ก่อนหน้านี้เคยให้การต่อเจ้าหน้าที่ DSI ก็ยังยอมรับออกมาตรงๆ ด้วยว่าที่ไปถือหุ้น Allure P&E หรือเคยถือหุ้น Allure Group นั้น เป็นการให้นำชื่อตัวเองไปใช้เท่านั้น ก็คือยอมรับตรงๆ เลยว่าเป็นนอมินีให้
ซึ่ง Allure P&E ก็คืออีกบริษัทที่ฟอกเงินผ่านการซื้อขายไฟฟ้า มีทุนมินลัตถือหุ้นใหญ่ นาง “ป.” ถือหุ้นด้วยเป็น nominee ให้ ส.ว.อุปกิต ส่วนกรรมการอีกคน ทุนมินลัตฝากมาว่าขอเป็น “เมียสัมสุข” ก็คือนางสาว “น.” ที่ถูกจับไปด้วย คอยคุมแม้กระทั่งการใช้โลโก้ การจัดสถานที่เอาของทองแหวนมาตั้ง
พล.อ.ประยุทธ์เคยรู้บ้างไหมว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย?
พอตั้ง Allure P&E แล้ว นาง “ป.” ก็ทำหน้าที่ “นำส่งรีพอร์ต” ให้แก่ ส.ว.อุปกิต ใช้คำเรียก ส.ว.อุปกิตว่า “เจ้านาย” ก็ชัดเจนดีว่าสถานะระหว่าง 2 คนนี้เป็นอะไรกัน
ซึ่งในรีพอร์ตพวกนี้ก็แจกแจงมาอย่างดีว่าเป็นค่าไฟฟ้าเท่าไหร่ ค่าเงินเดือนคนของ Allure เท่าไหร่ และรายได้ของ “เจ้านาย” ที่ทุนมินลัตคำนวณมาให้เสร็จสรรพว่าเป็นเท่าไหร่ แล้วให้ ส.ว.อุปกิตโอนเงินค่าใช้จ่ายไปให้ ทำกันแบบนี้เป็นประจำทุกเดือน รายละเอียดทั้งหมดนี้คือคำสารภาพที่ออกมาจากปากของนาง “ป.” ที่ในวันนี้ต้องมาเผชิญคดีร้ายแรง เพราะทำตามคำสั่งของ “เจ้านาย” ที่ลอยตัวไม่มาร่วมซวยด้วยกัน
ถ้า ส.ว.อุปกิตลาออกจากเครือ Allure ไปแล้วจริงๆ ไม่ยุ่งแล้วจริงๆ ก็คงไม่ต้องมีการให้นาง “ป.” เลขาฯ คนสนิทมาคอยรีพอร์ตเรื่องภายในบริษัทอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้
พล.อ.ประยุทธ์เคยรู้บ้างไหมว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย?
ไม่ใช่แค่นาง “ป.” เท่านั้น ขนาดทุนมินลัตเอง โอนเงินซื้อไฟฟ้าไปกี่ทีๆ ก็ยังต้องมาส่งสลิปรายงาน ส.ว.อุปกิตให้รับทราบอยู่ทุกครั้ง เรียกชื่อ ส.ว.อุปกิตว่า “พี่อู” (P’ Ou) แสดงถึงความสนิทสนมกันมาก
ส่วนทางด้าน ส.ว.อุปกิตก็เอาสลิปจากนาง “ป.” มาแปะให้ทุนมินลัตรับทราบเหมือนกัน บอกว่าอันนี้เงินเดือน Allure นะ โอนให้แล้วนะ นี่หรือพฤติกรรมของคนที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวในธุรกิจด้วยแล้ว? ทำไมเรื่องที่ทุนมินลัตกับนาง “ป.” ไปคุยกันเองได้จะต้องเอามาผ่านการรู้เห็นของ ส.ว.อุปกิต ราวกับเป็นผู้กำกับดูแลกิจการทั้งหมดนี้อีกทีหนึ่ง?
พล.อ.ประยุทธ์เคยรู้บ้างไหมว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย?
ยังไม่หมดครับ ส.ว.อุปกิตยังมาปรึกษากับทุนมินลัตให้ช่วยปลอมลายเซ็นนายพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ ให้หน่อย พร้อมส่งตัวอย่างหน้าหนังสือเดินทาง (passport) ไปให้
ทวนกันอีกครั้ง นายพันณรงค์ก็คือคนที่ถูกหมายจับแต่หลบหนีอยู่ตอนนี้ แถมเป็นเจ้าพ่อพนันออนไลน์รายใหญ่ และที่สำคัญคือ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนปัจจุบันของ Allure Group ที่ได้มาจากนาย “D” ลูกเขย ส.ว.อุปกิต ทำสัญญาขายให้ โดยมี ส.ว.อุปกิตเองเซ็นเป็นพยานด้วย
การที่ ส.ว.อุปกิตมีข้อมูลหน้าพาสปอร์ตของนายพันณรงค์ ถ้าไม่รู้จักกันดีพอ ไว้ใจกันมากพอ เขาไม่ส่งอะไรแบบนี้ให้กันหรอกครับ
หรืออีกภาพหนึ่ง ทุนมินลัตคุยกับ ส.ว.อุปกิตชัดๆ เลยว่าให้ช่วยจ่ายค่าเช่าที่ของโรงแรม Allure Resort ไปด้วย อันนี้ท่านก็ว่าขายไปแล้ว แล้วยังจะมาตอบตกลงรวมแชร์กัน แปลว่ายังดูกิจการนี้อยู่ด้วยเหมือนกันใช่ไหม?
ภาพหลักฐานและพฤติการณ์ทั้งหมดนี้ มันส่อให้เห็นว่า ส.ว.อุปกิตไม่ได้วางมือจากธุรกิจไปไหน แต่ยังคงอยู่เบื้องหลังทุกๆ คน ทั้งทุนมินลัต ทั้งลูกเขย ทั้งลูกน้องตัวเอง ในธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งของการฟอกเงินค้ายาเสพติด
และคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.ที่ตั้งคนแบบนี้เข้ามา ผมไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะไม่รู้อยู่แก่ใจว่า ส.ว.คนดีของท่านไปทำอะไรแบบนี้อยู่หลังฉาก
เมื่อหลักฐานชัดขนาดนี้ ทางตำรวจ บก.สส. บช.น.จึงมีการขอหมายจับ ส.ว.อุปกิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ในความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงิน โทษจำคุกเกิน 3 ปี ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาออกหมายจับได้แน่ๆ แล้วศาลก็อนุมัติหมายจับให้ด้วย ซึ่งงานนี้ที่ผู้ต้องสงสัยเป็นถึง ส.ว.ที่ คสช.ตั้งขึ้นมาเอง คนสถานะระดับนี้ ถ้าไม่มีพยานหลักฐานถึงพร้อมเพียงพอ ตำรวจไม่กล้าขอ และศาลไม่กล้าให้หรอกครับ
แต่ปรากฏว่าในวันเดียวกัน (3 ตุลาคม 2565) หลังจากศาลเพิ่งอนุมัติหมายจับ ส.ว.อุปกิตให้เมื่อช่วงเช้า พอตกบ่ายก็มีการเรียกให้ไปถอนหมายจับ ตามบันทึกสั่งการนี้ ลายมืออ่านยากจริงๆ แต่อย่างน้อยยังพออ่านได้ว่า
“พิจารณาแล้ว เห็นว่าผู้ร้องให้ออกหมายจับ ศาลได้พิจารณาคำร้องแล้ว ได้ออกหมายจับตามขอ เมื่อพิจารณาคำแนะนำอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ทางผู้ร้องแจ้งเจ้าหน้าที่ศาลว่าผู้ถูกออกหมายจับเป็นบุคคลสำคัญ แต่ไม่ได้แจ้งให้ทางศาลทราบ จึงให้เพิกถอนหมายจับกับหมายค้นเสีย เพื่อให้หมายเรียกก่อน ภายใน 15 วันหากทางบุคคลสำคัญดังกล่าวมิได้มาตามหมายเรียก ให้ผู้ร้องดำเนินการขอหมายจับต่อไป สำหรับหมายเรียกให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการโดยด่วน เหตุที่ให้ออกหมายเรียกเนื่องจากบุคคลดังกล่าวเชื่อว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี”
ผมย้ำอีกครั้งว่าเหตุผลที่อ้างในการถอนหมายจับ ส.ว. อ.อ่าง ไม่ใช่ว่าหลักฐานอ่อน แต่เป็นเพราะคนคนนี้เป็นบุคคลสำคัญ จะไปจับเขาทันทีเลยไม่ได้นะ แถมอ้างด้วยว่าตำรวจไม่ยอมบอกศาลว่าคนนี้เป็นบุคคลสำคัญ คือจะบอกว่าตำรวจปกปิดศาล ทำให้ศาลเผลอเซ็นอนุมัติหมายจับไปเพราะไม่รู้ว่าเป็นบุคคลสำคัญ ว่างั้นเถอะ
แบบนี้ก็ได้หรือครับ? ตกลงว่าถ้าจะจับหรือไม่จับใครต้องมาคอยดูความสำคัญของคนคนนั้นมากกว่าเรื่องความร้ายแรงของคดีหรือความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน ถ้าสำคัญมากต้องห้ามให้ระคายเคือง แต่ถ้าเป็นตาสีตาสาก็ไม่ต้องเกรงใจกัน อย่างนั้นใช่ไหม
ยิ่งไปกว่านั้น มันได้ด้วยหรือครับ กับการที่ผู้พิพากษาคนอื่นที่ไม่ได้ขึ้นบัลลังก์พิจารณา จะมาให้ “คำแนะนำ” ที่จริงๆ ก็คือการแทรกแซงให้กลับคำสั่งอนุมัติหมายจับที่ผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ได้วินิจฉัยชอบด้วยกระบวนการทุกอย่างแล้ว?
โบราณว่า กำแพงมีหู ประตูมีช่อง แอบไปทำอะไรกันไว้อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ ผมเองมีเพื่อนทำงานในศาลอาญาหลายคนอยู่ ซึ่งในวันที่มีการถอนหมายจับกันนั้น ก็แว่วๆ มาว่าในห้องที่คุยกัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาขอหมายจับ มีผู้พิพากษาท่านที่เพิ่งอนุมัติหมายจับให้ มีอธิบดีศาลอาญา และนอกจากนั้นยังมีรองอธิบดีศาลท่านหนึ่งที่เคยมีประวัติไม่ให้ประกันตัวจำเลยคดีการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ชื่อ “อรรถการ ฟูเจริญ” เพื่อนๆ ผมเดินผ่านไปแถวๆ ห้องนั้น ได้ยินเสียงท่านอรรถการดังสุด พูดเยอะสุดเลยครับ ไม่รู้ทำไม พูดเยอะกว่าอธิบดีศาลอีก ราวกับเป็นคนนำการประชุมเองเลย แล้วพอคุยกันตรงนั้นเสร็จ คำสั่งถอนการอนุมัติหมายจับก็ออกตามมา
ใครพูดอะไรบ้างผมก็พอทราบอยู่ เอาเป็นว่าเรื่องนี้คงจะต้องมีการทำหนังสือถึง ก.ต.ให้ตรวจสอบกันต่อไป
และที่สำคัญ ลองดูไทม์ไลน์ พอหมายจับถูกถอนไปในวันนั้น 3 ตุลาคม 2565 ยังอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา ศาลให้ไปออกหมายเรียกก่อน ซึ่งกรณีนี้ตำรวจ บก.สส. บช.น. ทำเองไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยแค่สืบสวนจนพบผู้ต้องหาแล้วขอหมายจับตามความร้ายแรงของคดี แต่ผู้ที่มีอำนาจออกหมายเรียกเพื่อมารับทราบข้อหา ต้องเป็นตำรวจผู้สอบสวนซึ่งก็คือกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เท่านั้น ทว่า ตลอดเดือนตุลาคม 2565 ที่สภาฯ ยังปิด มีเวลา 28 วันเต็มๆ ให้ บช.ปส.ออกหมายเรียกได้ แต่ไม่เคยมีออกมาเลย มัวไปทำอะไรอยู่ไม่รู้ จนกระทั่ง 1 พฤศจิกายน 2565 สภาฯ เปิด นายอุปกิตก็อาศัยความคุ้มกันของ ส.ว.ถ่วงเวลาให้ไม่ต้องถูกเรียกไปสอบสวนจนได้
เท่ากับว่าคดีที่ขึ้นศาลอยู่ตอนนี้ นอกจากทุนมินลัตแล้ว ที่เหลือเป็นพวกตัวเล็กๆ ทั้งนั้น เช่นคนอย่างนาง “ป.” ที่ต้องคอยรีพอร์ต คอยจัดการต่างๆ ตามคำสั่งอีกทีหนึ่ง ในขณะที่คนที่เป็น “เจ้านาย” ตัวใหญ่ตัวจริง ที่ถ้ากระทำการในขณะที่เป็น ส.ว. อยู่ ตามกฎหมายฟอกเงินรับโทษ 2 เท่า ตามกฎหมายยาเสพติดรับโทษ 3 เท่า กลับเอาตัวรอดไปได้
ในขณะเดียวกัน ตามคำสั่งโยกย้ายตำรวจที่เพิ่งมีผล 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ว่าที่ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ ธนศุภณัฏฐ์ ผกก.สส.2 บก.สส. บช.น. เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เคยตามคดีจนเอารายใหญ่อย่างทุนมินลัตมาขึ้นศาลได้นี้ ทั้งๆ ที่ทำผลงานปราบยาเสพติดดีเด่น และควรที่จะได้อยู่ประจำที่ต่อเพื่อทำงานขยายผลไปถึงผู้กระทำผิดรายอื่นๆ ได้มากกว่านี้ ทว่ารางวัลที่เขาได้รับกลับเป็นการถูกเด้งไกลหลายร้อยกิโลเมตร ไปอยู่ สภ.บ้านเดื่อ จ.ชัยภูมิ ทั้งๆ ที่ ผบ.ตร.เคยสั่งการไว้เองว่าจะย้ายใคร ต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องในการทำคดียาเสพติดด้วย
เล่ามาถึงตรงนี้ เห็นอะไรไหมครับ? เมื่อคดีเริ่มมาถึงจุดที่ต้องเผชิญหน้ากับ ส.ว.อุปกิต สิ่งที่เกิดขึ้นด้านหนึ่งคือผู้พิพากษาที่ล็อบบี้กันเองให้ถอนหมายจับแล้วให้ไปออกหมายเรียกก่อน ด้านหนึ่งคือหน่วยที่มีอำนาจออกหมายเรียกก็ดองเรื่องจนเอาตัวมาสอบสวนไม่ทันเวลา และอีกด้านหนึ่งคือตำรวจชั้นผู้น้อยที่ทำคดีนี้กันมาหลังขดหลังแข็ง ขยันเกินไป เถรตรงเกินไป จึงถูกเอาออกไปไกลๆ
ความผิดปกติทุกๆ ด้านที่พร้อมใจกันเกิดขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะดำเนินคดีต่อ ส.ว.อุปกิต จะต้องหยุดลงแต่เพียงเท่านี้ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นอย่างสอดประสานกันขนาดนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนคอยบงการทั้งหมดอยู่ข้างหลัง คนที่ไม่อยากให้ ส.ว.อุปกิตถูกจับดำเนินคดี คนที่มีผลประโยชน์ร่วมกับ ส.ว.อุปกิตอย่างเหนียวแน่นและยังอยากใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันต่อไป นั่นคือคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แล้ว พล.อ.ประยุทธ์มีผลประโยชน์อะไรที่จะต้องช่วยอุ้มช่วยคุ้ม ส.ว.อุปกิตหนักหนา? คำตอบน่าจะอยู่ตรงที่ดินผืนหนึ่ง เนื้อที่ 2 งาน 17 ตารางวา ทำเลดีๆ อารีย์ซอย 5 ใจกลางเมือง ที่ดินนี้เดิมในช่วงปี 2563 เป็นของบริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ UPA ที่ไปกว้านซื้อมา บริษัทนี้เองก็เคยบริหารและถือหุ้นใหญ่โดย ส.ว.อุปกิต ซึ่งก็อ้างเหมือนเดิมว่าลาออกและขายหุ้นทิ้งไปหมดแล้ว ต่อมา 4 สิงหาคม 2564 UPA ก็โอนกรรมสิทธิ์มาให้ ส.ว. อ.อ่าง เป็นเจ้าของที่ดินมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผมทราบมาว่า UPA ขายได้เงินมา 101 ล้านบาท ซึ่งก็ดูจะถูกไปหน่อยสำหรับที่ดินย่านนี้ อย่างวันก่อนผมเห็นประกาศขายบ้านเนื้อที่พอๆ กันในซอยนี้ ยังตั้งราคาไว้ตั้ง 150 ล้านบาทเลยทีเดียว
ที่สำคัญกว่านั้น คือบนที่ดินผืนนั้นมีโครงการของ UPA สร้างตึกออฟฟิศขึ้นมาหลังหนึ่งด้วย ตอนที่โอนที่ดินมาเป็นของ ส.ว.อุปกิต ก็ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างกันอยู่เลย ดูลักษณะแล้วพูดได้ว่า ส.ว.อุปกิตไปวานให้ UPA ช่วยสร้างให้นั่นแหละ ซึ่งก็คงทำกันได้ แต่ประเด็นคือแล้วปัจจุบันตึกนี้สร้างเสร็จแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร? ไปดูภาพล่าสุดกันครับ
นี่คือที่ทำการของพรรครวมไทยสร้างชาติ บ้านหลังใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งจะเข้าเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หลังจากที่ทนอยู่ใต้ชายคาบ้านป่ารอยต่อไม่ไหวอีกแล้ว
ถึงตรงนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งนายอุปกิตให้เป็น ส.ว. เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ นอกจากจะช่วยโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังช่วยรับเหมาสร้างพรรคใหม่ให้ด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้วผมก็อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ช่วยชี้แจงมาด้วยว่าได้มีการทำสัญญาให้พรรครวมไทยสร้างชาติเช่าที่ดินและตึกตรงนี้หรือไม่? ราคาเช่าเท่าไหร่? หรือว่าใจดีมาก ให้ยืมใช้กันฟรีๆ ไปเลย? หมดยุคยืมแค่นาฬิกาแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ถึงขั้นยืมที่ดินสร้างพรรคกันแล้วใช่ไหม?
แต่ถึงแม้ว่าจะฟรีหรือไม่ฟรีก็ตาม นี่ก็เป็นหลักฐานชัดๆ ว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังใช้งาน ส.ว. ผู้ซึ่งต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติความครอบงำของพรรคการเมืองใดๆ ให้คอยเป็นธุระจัดการแบบ one stop service หารังใหม่พร้อมอยู่เพื่อสนองความทะเยอทะยานทางการเมืองครั้งใหม่ของตัวเอง
และการที่ พล.อ.ประยุทธ์ย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ในที่ของคนทรงเอที่มีข้อครหาเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงินแบบนี้ ผมไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ท่านจะตอบแทนให้แก่เจ้าบ้านคนนี้ด้วยอะไรบ้าง? ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของขบวนการฟอกเงิน ขบวนการสนับสนุนผู้ค้ายาชิ้นนี้จะหลุดรอดลอยนวลไปได้ และไม่ต้องหวังเลยว่า 4 คนที่ถูกจับขึ้นศาลไปก่อนหน้านี้จะไม่เป็นมวยล้มต้มคนดู ถ้าคนอย่าง ส.ว.อุปกิตยังรอด ก็เชื่อมือ พล.อ.ประยุทธ์ได้เลยว่าจะต้องหาทางช่วยให้ทุนมินลัตรอดออกมาได้ด้วยแน่นอน เพราะคนคนนี้มีความสำคัญไม่แพ้กันเลย
ข้อมูลจากกลุ่ม Justice for Myanmar ระบุว่าทุนมินลัตคือเจ้าของเครือบริษัท Star Sapphire Group ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดหาอาวุธและสนับสนุนการเงินให้กับกองทัพเมียนมา ปัจจุบันทั้งตัวเขาและพ่อของเขาอยู่ในบัญชีดำของสหภาพยุโรป พ่อของเขาที่เคยเป็นอธิบดีกรมการโรงแรมฯ ของเมียนมาเมื่อปี 2542 ก็คือผู้ที่เซ็นอนุญาตให้นาย อ.อ่าง สร้างโรงแรม Allure Resort ขึ้นในท่าขี้เหล็กโดยมี Star Sapphire เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างให้ พูดง่ายๆ ว่าครอบครัวนี้คือหนึ่งในผู้ให้ใบเบิกทางแก่นายอุปกิตไปทำธุรกิจในเมียนมาจนเป็นใหญ่เป็นโตถึงทุกวันนี้นั่นเอง
ซึ่งโรงแรม Allure Resort ในความเป็นจริงก็คือกาสิโนที่อาศัยช่องว่างกฎหมายไปเปิดติดกับชายแดน แล้วก็จัดรถรับเอาคนไทยไปเล่นพนันกันที่นั่น มีนักพนันบางรายเคยให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ด้วยว่าเคยไปเสพยาบ้าที่ซื้อมาจากชาวว้าที่เป็นเอเยนต์ขาประจำที่นั่นด้วย รายได้ 6% ของบ่อนเข้ากระเป๋ากองทัพเมียนมาโดยตรง ซึ่งคนที่เซ็นยินยอมให้เป็นอย่างนั้นก็คือนายอุปกิตนั่นแหละครับ แปลว่า ส.ว.อุปกิตก็คือหนึ่งในผู้ช่วยหาเงินส่งให้กับกองทัพเมียนมาด้วย
มากไปกว่านั้น เมื่อตำรวจเข้าตรวจค้นทรัพย์สินของทุนมินลัตที่ถืออยู่ในประเทศไทย ก็พบการถือครองสมุดบัญชีธนาคารและสัญญาซื้อขายคอนโดฯ ของลูกชายและลูกสาวของมินอ่องหล่าย หัวหน้าคณะรัฐประหารเมียนมาที่ครองอำนาจสูงสุดในปัจจุบัน รวมอยู่ในนั้นด้วย ทรัพย์สินพวกนี้ก็ใช้เงินที่ค้ายาซื้อมาทั้งนั้นแหละ ซึ่งผมทราบมาว่าสุดท้ายแล้วคอนโดฯ ตามสัญญาหรือบัญชีธนาคารตามสมุดที่ค้นเจอ หน่วยงานไทยที่รับผิดชอบคือ ป.ป.ส. ก็ไม่ได้ไปตามยึดหรืออายัดเพิ่มเติมแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะพยายามเรียกเจ้าของทรัพย์สินมาสอบปากคำสักนิดว่าเกี่ยวข้องอะไรหรือไม่
นี่แสดงให้เห็นว่าคนอย่างทุนมินลัตไม่ใช่แค่นักธุรกิจทั่วๆ ไป แต่เป็นถึงพ่อค้าอาวุธคนสนิทที่ดูแลทรัพย์สินให้กับครอบครัวของผู้นำเผด็จการเมียนมา คนที่ใกล้ชิดขนาดนี้ มีหรือที่มินอ่องลายจะปล่อยให้ติดคุกไทยไปได้ง่ายๆ
อย่างที่ล่าสุดเดือนที่แล้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทยไปเยือนมินอ่องลายถึงที่เมียนมาภายหลังมีข่าวการตรวจเจอเอกสารของลูกๆ มินอ่องหล่ายไม่กี่วัน คุยกันยาวถึง 3 วันเต็มๆ นี่แหละคือโอกาสอันดีที่มินอ่องหล่ายจะฝากข้อความไปยังรัฐบาลไทยเพื่อขอไถ่ตัวทุนมินลัตกลับออกมาให้ได้
และถ้าหากว่า พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร ที่เป็นอดีตทหาร อยู่สังกัดหน่วยงานด้านความมั่นคง รู้ดีอยู่แล้วว่าคนอย่างนายอุปกิตเป็นใครทำอะไรมา แต่ก็ยังตั้งเข้ามาเป็น ส.ว. ยังช่วยปกป้องกันถึงทุกวันนี้เพราะหวังผลประโยชน์ตอบแทนจากธุรกิจมืดของ ส.ว.อุปกิตแล้ว มินอ่องหล่ายไม่ต้องห่วงครับ 2 ป.นี้ไม่มีวันทอดทิ้งทุนมินลัตแน่นอน เพราะการฟอกเงินให้กับขบวนการค้ายาข้ามชาติหรือการพนันข้ามชาตินั้นมันทำกันโดยคนไทยฝ่ายเดียวไม่ได้ ก็ต้องมีคนเมียนมาอย่างทุนมินลัตช่วยกันทำด้วยนั่นแหละ แล้วเงินที่ได้มาจากการทำลายชีวิตของประชาชนทั้ง 2 ชาติก็เอามาแบ่งกันระหว่างผู้มีอำนาจเหล่านี้ ของเมียนมาก็เอาไปซื้ออาวุธให้กับกองทัพ อาวุธที่ทุนมินลัตเป็นนายหน้านำเข้ามา ไปใช้สังหารประชาชนในประเทศตัวเอง ใช้กวาดล้างผู้ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ใช้ขับไล่ชาวโรฮิงญาให้ต้องหนีตายไปยังประเทศอื่นรวมถึงไทยด้วย ส่วนของไทยก็เอามาเป็นทุนรอนให้กับการสืบทอดอำนาจของพวกกินไม่รู้จักอิ่มอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรต่อไป
ทั้งหมดทั้งมวลนี้แหละครับคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ตั้งใครๆ ขึ้นมามียศตำแหน่ง มีอำนาจหน้าที่ จริงๆ แล้วไม่ได้แคร์อะไรเลยว่าจะมีประวัติดำมืดแค่ไหน ขอแค่เป็นคนมีเส้นมีสตางค์ที่พร้อมสืบทอดอำนาจให้ตัวเองก็พอ และนี่แหละครับคือสาเหตุที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะปล่อยให้ ส.ว.อุปกิต ปาจรียางกูร คนนี้จบเห่ไปเพียงลำพังไม่ได้ ก็เพราะช่วยอุ้มชูกันมาแบบนี้ และจะอุ้มกันต่อไปอีกในอนาคต ดังนั้นจะไม่ให้ใครเข้ามากล้ำกรายเด็ดขาดไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม ทำแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต่างอะไรกับการเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการยาเสพติดเสียเอง? ทั้ง ส.ว. และนายกรัฐมนตรี ทรงเอกันทั้งคู่
และถึงที่สุดเรื่องนี้ทำให้พวกเราได้เห็นแล้วว่าหนึ่งในปัญหาตลอดกาลของประเทศนี้อย่างเรื่องยาเสพติดนั้น การจะจัดการถอนรากถอนโคนออกไปให้ได้อย่างเด็ดขาดจะไม่มีวันเป็นจริงเลยหากพวกคนที่อยู่ในวงอำนาจการเมืองไทยที่เข้าไปเกี่ยวข้องผ่านการฟอกเงินหรือการสนับสนุนต่างๆ ไม่ถูกรื้อทิ้งไปด้วย ทำแบบนี้ก็มีแต่รอวันที่กลุ่มผู้ค้ายารายใหม่ๆ จะผุดขึ้นมาผ่านท่อน้ำเลี้ยงเดิมๆ ที่ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลนี้ไม่เคยจะจัดการอย่างจริงจังเลย
จบเรื่องแรกไปแล้ว เข้าสู่เรื่องใหญ่เรื่องที่สอง ทุนจีนสีเทาที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาเพื่อประกอบมิจฉาชีพ กอบโกยผลประโยชน์ในประเทศที่กระบวนการยุติธรรมอ่อนแอ หน่วยงานรัฐเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน อย่างเช่นประเทศไทย
จีนเทารายที่ดังสุดในช่วงที่ผ่านมาคือนายตู้ห่าว ชื่อไทย ชัยนัฐร์ กรชายานันท์ ก่อนหน้านี้เคยทำทัวร์ศูนย์เหรียญที่ภูเก็ต เมื่อปี 2555 เคยมีคดีจ้างวานเผาสวนงูคู่แข่ง ซ้อม รปภ.จนพิการมาแล้ว ซึ่งอัยการสูงสุดขณะนั้นอ่านสำนวนแค่วันเดียวสั่งไม่ฟ้องเลย พอเข้ากรุงเทพฯ ก็มาเปิดผับชื่อ “จินหลิง” ที่หลังฉากเป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาขนาดใหญ่
ความคืบหน้าล่าสุดคืออัยการสูงสุดสั่งฟ้อง 9 ข้อหาไปแล้วเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ดูเหมือนจะไปได้ด้วยดีอีกแล้ว เหมือนคดีของทุนมินลัตเลย แต่งานนี้ผมขอบอกว่า “ปีศาจอยู่ในรายละเอียด”
ปีศาจในรายละเอียด มีตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการบุกค้นจินหลิง 26 ตุลาคม 2565 นำโดยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ด้วยตัวเอง ค้นอาคารหลังแรก เจอถาดรองยา หลอดเสพยา ก็ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น เจอรถมินิแวนที่ตู้ห่าวใช้ประจำ ก็ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น ขนาดว่ายาที่เอาไปหลบกันง่ายๆ โง่ๆ อยู่มุมห้อง มีเวลาพลิกหาเป็นชั่วโมงๆ ยังหากันไม่เจอ ค้นอาคารหลังที่ 2 ปรากฏว่าเจอแต่ห้องว่างๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันคือกาสิโนใหญ่ๆ เบิ้มๆ บังเอิญจริงๆ ที่มาเคลียร์ออกก่อนวันบุกค้นพอดี ส่วนอาคารหลังที่ 3 เพิ่งมาค้นเอาอีก 5 วันให้หลัง เผื่อเวลาไว้เหลือเฟือที่จะย้ายหลักฐานหนีไปได้
ปีศาจในรายละเอียด ยังมีต่อมาในขั้นตอนของการสอบสวนภายหลังบุกค้น เจอคนจีนมั่วยา 200 กว่าคน ตรวจฉี่ม่วงไปกว่าครึ่ง แต่พอนำตัวมาก็ค่อยๆ ปล่อยหายไปเรื่อยๆ จนจบสุดท้ายเหลือแค่ 6 คนเท่านั้น ภาพกล้องวงจรปิดสำคัญๆ ว่ามีบ่อน ว่ามีการเสพการขายอย่างโจ๋งครึ่มก็ถูกตัดออกจากสำนวน รถหรูของกลาง 4 คัน มี Porsche เป็นต้น ก็ได้ “รองหมา” จาก สน.ยานนาวา ปล่อยหลุดออกไป แลกกับ 6 แสนบาทที่หญิงจีนหิ้วมาให้ถึงโรงพัก หลานชายของตู้ห่าวที่จับได้ในที่เกิดเหตุ ก็ได้ “รองคมไพร” จาก สน.ลาดพร้าว ปล่อยหนีกลางทางระหว่างพาไปฝากขัง ภรรยาตู้ห่าวที่ควรเป็นผู้ต้องหาก็เอามาเป็นพยาน ตอนออกหมายจับแจ้งข้อหาแล้วก็ได้ประกันตัวออกมาสบายๆ จนไปมีเรื่องข่มขู่พยานอีก ในขณะที่พวกผู้เห็นต่างทางการเมือง กลุ่มทะลุฟ้าทะลุแก๊ส ยังถูกขังมานานเกือบปี ส่วน รปภ. ของผับที่ควรกันไว้เป็นพยานก็ยัดไปให้เป็นผู้ต้องหา มั่วกันไปหมด
ปีศาจในรายละเอียด ยังแฝงตัวอยู่ในไทม์ไลน์ของการดำเนินคดีนี้ บุกค้นไปตั้งแต่ 26 ตุลาคม 2565 แต่เพิ่งมาออกหมายจับตู้ห่าว 22 พฤศจิกายน 2565 ผ่านไปเกือบ 1 เดือน, ข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ ข้อหาฟอกเงิน ตำรวจไม่ยอมตั้งเสียที จนคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ต้องไปตามจี้ให้เอาอัยการสูงสุดเข้าร่วมสอบสวนคดีด้วยเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2565 ปล่อยให้ทางนั้นมีเวลายักย้ายเงินสด เงินฝาก หนีจนแทบจะไม่เหลือให้ตามยึดได้ หรือกรณีรองหมา, รองคมไพร ไปก่อเรื่องไว้ไม่กี่วันหลังการบุกค้น แต่เพิ่งจะมาแจ้ง 157 เอาผิดกันเงียบๆ ช่วงสิ้นปี 2565
ดังนั้นแม้ผลที่ออกคือเอาตัวมาขึ้นศาลได้ แต่ปีศาจในรายละเอียดบอกกับเราว่าตลอดที่ผ่านมาคดีตู้ห่าวเต็มไปด้วยการเตะถ่วง การประวิงเวลา หวังว่ารอให้กระแสซาลงไปก่อนแล้วค่อยมาแต่งคดีกันทีหลัง เต็มไปด้วยการลักซ่อนและทุบทำลายพยานหลักฐานต่างๆ ที่มีนัยสำคัญต่อรูปคดีจนอาจเปลี่ยนจากชนะให้กลายเป็นแพ้ได้ ต้องการให้คดีนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นเลยจะดีที่สุด หรือถ้าต้องเกิดก็ให้มันอ่อนสุดๆ ที่ยังประคับประคองให้คืบหน้ามาถึงจุดนี้ได้มันคือการขับเคลื่อนด้วยเครื่องด่าของประชาชนล้วนๆ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่อจากนี้ไปจนถึงวันพิพากษา กระบวนการล้มคดีที่มีคนของภาครัฐเองร่วมสมคบด้วยนั้นจะทยอยตามมาอย่างไม่หยุดหย่อนอย่างแน่นอน ซึ่งคนที่ใครต่อใครจะช่วยล้มคดีให้ได้แบบนี้ ต้องเป็นคนมีเส้นเท่านั้น
ผมในฐานะผู้แทนประชาชน จึงต้องถามหาความรับผิดชอบเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ ผบช.น. ท่านคือผู้ที่ไปบุกค้นจินหลิงตั้งแต่วันแรกแท้ๆ และถ้าท่านลองไปดูคดีทุนมินลัต คดีนั้นลูกน้องในสังกัดนครบาลของท่านเองยังมีกระดูกสันหลัง กล้าขอหมายจับคนใหญ่คนโตทั้งที่รู้ว่าเสี่ยงต้องเจออะไรบ้างเพื่อเดินหน้าคดีไปให้สุด แต่ตัวท่านที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่ากลับคุมงานได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินถึงเพียงนี้ แถมยังจะไปไล่บี้เจ้าหน้าที่ที่ปล่อยข้อมูลหลุดออกมาอีก
ถัดขึ้นไปก็คือ ผบ.ตร. ท่านควรจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงนำพี่น้องตำรวจเร่งรัดคดีนี้ให้สังคมเกิดความเชื่อมั่น แต่นี่กลับเช้าชามเย็นชาม ตัดช่องน้อยรอวันตัวเองเกษียณ หัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิก ประชาชนเลยต้องคอยเขกหัวท่านกันแทบไม่เว้นวันอยู่อย่างนี้
และคนที่สำคัญที่สุด ที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและประธาน ก.ตร. ท่านเห็นข่าวคดีนี้มาเป็นเดือนๆ แล้ว ถ้าท่านจริงจังกับการปราบจีนเทาจริงๆ ท่านกำชับ ผบ.ตร.ให้กระตือรือร้นกว่านี้ได้แน่ๆ ถ้าท่านเห็นอยู่แล้วว่า ผบช.น.คนนี้ไม่ได้เรื่อง ท่านดำเนินการให้มีการย้ายออกไปได้ แต่ในความเป็นจริงท่านก็ยังปล่อยไว้อย่างนี้ ปล่อยให้มีการเตะถ่วง ให้มีการทำลายพยานหลักฐานมันอยู่อย่างนี้
ทำไมครับ? เพราะว่าตู้ห่าวไปเกี่ยวกับหลานของท่านด้วยใช่ไหม? หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ของลูกชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ส.ว. และน้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเคยมีประวัติโชกโชน ไปจดทะเบียนที่ตั้งในค่ายทหาร รับเหมางานกองทัพภาคที่ 3 ตั้งแต่ช่วงที่พ่อตัวเองเป็นแม่ทัพภาคไปจนเลื่อนเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม รวมกว่า 107 ล้านบาท มารอบนี้ไปเช่าซื้อรถทัวร์ถึง 33 คันมาปล่อยเช่าต่อให้กับบริษัทในเครือของตู้ห่าว ให้ตู้ห่าวเอาไปใช้ขนคนจีนมาเล่นยา เป็นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแท้ๆ ทำไมต้องมาทำเรื่องให้เช่ารถด้วย แถมตัวเองก็ยังมีบริษัทที่ทำธุรกิจให้เช่ารถอีกบริษัทหนึ่งที่มีทุนจดทะเบียนถึง 60 ล้านบาท (ชื่อบริษัท บีวิช คาร์ เร้นทอล จำกัด) แล้วทำไมไม่ใช้บริษัทนั้น?
ทำตัวแปลกๆ กันแบบนี้ คนอื่นเขาเลยสงสัยว่านี่ก็อาจเป็นการฟอกเงินด้วย ไม่หลาน พล.อ.ประยุทธ์ฟอกให้ตู้ห่าว ก็ตู้ห่าวฟอกให้หลาน พล.อ.ประยุทธ์ และไม่ต้องอ้างนะว่าไม่รู้เลยว่าตู้ห่าวเป็นใคร ถ้าคิดจะเช็กประวัติสักนิด อย่างน้อยที่สุดต้องเจอเรื่องเผาสวนงูแน่ๆ ซึ่งคนดีๆ ถ้ารู้ว่าตู้ห่าวมีเรื่องแบบนั้นแล้ว เขาไม่ไปข้องแวะด้วยแต่แรกหรอกครับ
การที่พบเส้นทางการเงินที่เป็นธุรกิจใหญ่ๆ หลักแสนหลักล้านเชื่อมโยงไปถึงผู้ต้องหาสำคัญระดับนี้ อย่างน้อยที่สุด น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว คือหลาน พล.อ.ประยุทธ์ต้องถูกเรียกตัวมาสอบสวนด้วย ซึ่งก็ได้ยินจากเพื่อนสมาชิกกล่าวไปแล้วว่าตำรวจมีการเชิญตัวหลาน พล.อ.ประยุทธ์มา แต่ก็มาแบบเงียบๆ แอบๆ ไม่อยากให้โลกรู้ แล้วจะไม่ให้สงสัยได้อย่างไรว่ามีความพยายามไม่ให้เรื่องไปถึงวงศาคณาญาติของ พล.อ.ประยุทธ์? แล้วจะวางใจได้อย่างไรว่าคดีนี้จะไม่มีลูกเล่นอะไรให้หนีรอดกันไปได้อีก? เราเห็นกันมาหลายครั้งแล้วที่พอเรื่องเริ่มมาแตะๆ กับตระกูลจันทร์โอชา โดยเฉพาะบ้าน พล.อ.ปรีชาที่มีหลายเรื่องเหลือเกิน ก็จะต้องมีมือวิเศษคอยปัดคดีทิ้งแบบค้านสายตาไปเสียทุกครั้ง แบบนี้ให้เราเชื่อได้จริงๆ หรือว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนดี? เรียกได้จริงๆ หรือว่าไม่ใช่พฤติกรรมของคนโกง?
จีนเทาอย่างตู้ห่าวไม่ได้มีคอนเนคชันแค่ทางญาติ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น เรามาดูรูปถ่ายพวกนี้ คุณธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้กันดีว่าในทางปฏิบัติหลายๆ ครั้ง เขามีฐานะเป็นมือเป็นไม้ให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จากรูปพวกนี้ก็เห็นว่าตู้ห่าวกับคุณธรรมนัสนี่น่าจะสนิทกันมากถึงขนาดที่ไปถ่ายรูปคู่กันถึงในบ้านได้ หรือเคยไปร่วมปาร์ตี้วันเกิดภรรยาของคุณธรรมนัส มอบ Hermes ให้เป็นของขวัญกับมือเลยด้วย
และไม่ใช่แค่กับตู้ห่าว คุณธรรมนัสยังเลี้ยงจีนเทาไว้อีกหลายคน เช่น นายจางเจียนฟู่ ที่อยู่ 888 ถ.อโศก-ดินแดง, นายเฉินเฝิงเชา ที่อยู่ 888 ถ.อโศก-ดินแดง, นายเกาฉี ที่อยู่ 888 ถ.อโศก-ดินแดง อยู่ที่เดียวกันหมดซึ่งโฉนดก็เป็นชื่อของคุณธรรมนัสเอง เป็นที่ตั้งบริษัท รักษาความปลอดภัย ที.พี.การ์ด หรือชื่อเดิม ธรรมนัสการ์ด ปัจจุบันก็ยังถือหุ้นใหญ่โดยภรรยาของคุณธรรมนัส (แต่คนละคนกับที่ตู้ห่าวซื้อ Hermes ให้นะครับ)
ชาวจีนบ้านเดียวกับคุณธรรมนัส 3 คนนี้ ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมายังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันถือหุ้นบริษัท ไชน่า คิงดอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ต่อจากคุณธรรมนัสที่กำลังเตรียมลงเลือกตั้งกับพลังประชารัฐ พูดง่ายๆ คือเป็นนอมินีถือหุ้นให้กับคุณธรรมนัสนั่นแหละ แล้วบริษัทนี้ก็ไปเช่าที่ดินสร้างผับที่ชื่อ “Top One” ที่ก็มีคนจีนไปเสพยาจนช็อคตายกับเขาด้วย
ปรากฏว่าพอเกิดเรื่องขึ้น จางเจียนฟู่รีบพาพวกบุกเข้าคอนโดผู้ตาย เอาเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ไปเผาทำลายไม่ให้เหลือหลักฐานหมดเลย แถมยังได้ผู้กำกับการ สน.สุทธิสารขณะนั้น ปล่อยเรื่องเงียบมาเป็นเดือน ถ้าไม่ใช่ว่าทางการจีนกดดันมา นายจางเจียนฟู่คงลอยนวลไปได้อีกคน และผมยังได้ยินแว่วๆ มาอีกด้วยว่าจางเจียนฟู่คนนี้ยังต้องสงสัยว่าจะไปมีส่วนในแก๊ง call center หลอกคนมาลงทุนด้วย ซึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังถ้าลองได้หาความเชื่อมโยงก็คงไม่แคล้วจะไปถึงคุณธรรมนัสอีกนั่นแหละ
อันที่จริงมันก็เป็นที่รู้กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็รู้ ว่าคนอย่างคุณธรรมนัสเป็นพวกเทาบางส่วน ดำอีกหลายส่วน มีขาวอยู่อย่างเดียวคือแป้ง และตัว พล.อ.ประยุทธ์เองก็ชิงชังคุณธรรมนัสออกนอกหน้าอยู่แล้ว แต่แล้วทำไมพอมีคดีจีนเทาขึ้นมา ถึงไม่คิดที่จะสอบสวนหรือขยายผลมาที่คุณธรรมนัสบ้าง?
คำตอบของคำถามนี้ ด้านหนึ่งดูได้จากสิ่งนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 ในวันที่คุณธรรมนัสยังเป็นรัฐมนตรีและอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตรยังพอชื่นมื่นกัน ยอดบริจาคเข้าพรรค 3 ล้านบาทมาจากชัยนัฐร์หรือตู้ห่าว ซึ่งก็เปิดให้ดูแล้วว่ามีภาพกับคุณธรรมนัสสนิทชิดเชื้อกันมาก แต่อีกคนหนึ่งที่บริจาค 3 ล้านเท่ากัน ชื่อ “สิทธิกร” ซึ่งก็ถูกออกหมายจับไปพร้อมกับเครือข่ายจีนเทารายอื่นๆ ด้วย (ปัจจุบันได้ประกันตัว) คนนี้ก็สนิทกับคุณธรรมนัสไม่แพ้กัน สนิทขนาดไหน? ก็ขนาดที่ใน Facebook ของเขา มีเพื่อนแค่ 39 คน แต่ก็มีคนอย่างคุณธรรมนัสได้รับเกียรติให้เป็น 1 ใน 39 คนนั้นด้วย หรือในปี 2565 ก็เห็นยอดบริจาคให้ทั้งพลังประชารัฐและเศรษฐกิจไทย เรียกว่าผู้กองไปอยู่ที่ไหน สิทธิกรก็เปย์ให้ที่นั่น
ในด้านนี้แสดงให้เห็นว่าคุณธรรมนัสมีบทบาทในการดึงเอาจีนเทาหรือคนที่มีเอี่ยวด้วยมาสนับสนุนทางการเงินให้กับรัฐบาลผ่านพรรคที่เป็นแกนนำ คุณธรรมนัสจึงเป็นมือประสานผลประโยชน์ที่ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์จะเกลียดแค่ไหนก็ไม่คิดตัดให้ขาดหรอกครับ วันนี้อาจแยกกันเดิน แต่ใครจะรู้ วันหน้าอาจร่วมกันโกยก็ได้
และคำตอบอีกด้านหนึ่งดูได้จากภาพนี้ ในภาพคือหลินหลง จีนเทาอีกคนหนึ่งที่เคยแต่งชุดทหารยศพันเอกถ่ายรูปโชว์ชาวบ้าน ขับรถไปไหนมาไหนก็ติดสติกเกอร์อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. ถึงขนาดมีคฤหาสน์ใหญ่โตไม่แพ้ตู้ห่าว ปัจจุบันหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ในอดีตเคยเข้าไปประชิดตัวถ่ายรูปร่วมกับ พล.อ. ประวิตรได้ถึงที่บ้านป่ารอยต่อฯ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีการนัดหมายกันมาล่วงหน้าอย่างดี การพบกันระหว่าง 2 คนนี้ คุยเรื่องอะไรกันบ้างก็ไม่ทราบ แต่ไม่น่าเป็นคุณกับพี่น้องประชาชนชาวไทยแน่ๆ
ซึ่งคนที่พาจีนเทาเข้ามาหา พล.อ.ประวิตรแบบนี้ได้ไม่มีใครอื่นหรอกครับ ก็คุณธรรมนัสนั่นแหละ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเขาเป็นมือเป็นไม้ให้กับ พล.อ.ประวิตร ในทางกลับกัน พล.อ.ประวิตรก็เป็นเหมือนพ่อทูนหัวให้กับคุณธรรมนัส ให้โลดโผนโจนทะยานในวงการเทาๆ ได้แบบไร้กังวล การที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เอาตัวคุณธรรมนัสมาสอบสวนเรื่องจีนเทาเสียที ก็เพราะกลัวว่าเท่ากับจะต้องเรียก พล.อ.ประวิตรมาสอบด้วยนั่นเอง เพราะฉะนั้นก็ช่างมันแล้วกัน ปล่อยให้พวกมาเฟียมันเป็นใหญ่เป็นโตกันต่อไปแบบนี้แล้วกัน
นี่แหละคือการเอาฟองน้ำสกปรกมาล้างจาน ไม่มีทางที่จะทำให้สะอาดขึ้นมาได้เพราะตัวเองก็เน่าเฟะไม่ต่างกับเขา
ไม่ใช่แค่ตู้ห่าว ไม่ใช่แค่จางเจียนฟู่ ไม่ใช่แค่หลินหลง ขอแนะนำให้รู้จักนายเซาเซียนโป ถูกตั้งข้อหาแจ้งข้อมูลเท็จในการออกบัตรประชาชนและเอกสารราชการ มีหมายจับอยู่ที่ จ.ปัตตานีตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งมาจับไม่กี่เดือนก่อน และไม่ใช่แค่ปลอมเอกสาร แต่ปลอมยันรถของตัวเอง เอามาทำให้เหมือนเป็นรถของคณะทูต มีรถนำขบวน รถติดไซเรน มาครบ พอตำรวจไปค้นสำนักงานที่ตึก BBD ถ.วิภาวดีฯ เจอเครื่องแบบตำรวจ-ทหารด้วย นี่ก็ชอบคอสเพลย์เหมือนกันกับหลินหลงใช่ไหม? แล้วยังไปอ้างว่าตัวเองเป็นที่ปรึกษาสมาคมพ่อค้าไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ พอตำรวจไปค้นบ้านย่านลำลูกกา เจออย่างแรกเลยคือรถแอบขนเหล้าเบียร์หนีภาษีหลายรายการ สภาพบ้านเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ด้านหน้าติดโลโก้สมาคมพ่อค้าไทยฯ ตัวโตๆ ด้านในมีอาคารถึง 4 หลัง พร้อมหัวรถไฟจำลองมาตั้งโชว์ด้วย และหลังบ้านป็นช่องลับไว้ให้ขนของหนี ตระเตรียมทุกอย่างมาดีพร้อมขนาดนี้ ต้องมีเงินมากมายเท่าไหร่? ได้มาจากไหน?
และอีกพฤติกรรมหนึ่งของเซาเซียนโป คือชอบไปเข้าหาคนมีสีมีอำนาจด้วยเช่นกัน รายที่สำคัญชื่อว่า พล.อ. “ธ.” หนึ่งในนายทหารน้องรักของ พล.อ.ประวิตร ที่ได้ข่าวมาว่ารับเงินจากจีนมาวิ่งเรื่องรถไฟกับรัฐบาล ถามว่าเซาเซียนโปสนิทกับพลเอกคนนี้ขนาดไหน? ก็ขนาดที่เปิดบ้านหรูหัวรถไฟให้ท่านพลเอกไปใช้รับของที่ระลึกจากใครต่อใคร ถ่ายรูปโชว์ชาวบ้านชาวช่องได้นั่นแหละ นี่เห็นว่ามีรูปที่ทั้งเซาเซียนโปและ พล.อ. “ธ.” ไปถ่ายร่วมกับอดีตรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี คุณอนุชา นาคาศัย ด้วย ไหนๆ แล้วก็อยากให้ทางตำรวจเรียกตัวทั้งคุณอนุชา ทั้ง พล.อ. “ธ.” และผู้สนับสนุนรายอื่นๆ มาสอบปากคำด้วยเช่นกันว่าพวกท่านมีอะไรเกี่ยวข้องกับจีนเทานักปลอมแปลงคนนี้บ้าง
จีนเทาที่เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายไม่ได้จำกัดวงอยู่เฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น ยังมีประเภทที่มาตั้งฐานที่มั่นอยู่ติดกับชายแดนไทย เพื่อหลอกเอาคนไทยไปเป็นแรงงานให้กับมิจฉาชีพของตัวเองด้วย ผมมีตัวอย่างของเหยื่อรายหนึ่ง เธอคนนี้ไปเจอประกาศรับสมัครงานอ้างว่าเป็นเซลล์ขาย cryptocurrency ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก แต่พอไปจริงกลับถูกกลุ่มติดอาวุธพาข้ามช่องทางธรรมชาติไปอยู่ในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ที่สร้างขึ้นโดยพวกจีนเทา ที่นั่นเธอถูกบังคับให้ทำอะไร ลองไปฟังตามคลิปนี้ครับ
สุดท้ายเธอคนนี้รอดออกมาได้ แต่ก็ใช้ชีวิตเป็นปรกติไม่ได้อีกต่อไป ครอบครัวของเธอเคยพยายามร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่เคยได้รับอะไรตอบกลับมา ทุกวันนี้เธอยังต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่สามารถกลับไปเจอญาติพี่น้องได้
นั่นแค่ตัวอย่างที่เดียวเท่านั้น แต่ทุกวันนี้แถวชายแดนตรงข้ามแม่สอดมีแบบนี้เยอะแยะไปหมด อันที่ผมขอพูดถึงเป็นพิเศษมีชื่อว่า “Yatai New City” หรือ “ฉ่วยก๊กโก” เป็นโครงการของบริษัท Yatai (หย่าไถ้) International Holding Group จดทะเบียนที่ฮ่องกง แต่สำนักงานหลักอยู่ในกรุงเทพฯ มีเจ้าของชื่อ “เสอจื้อเจียง” (หรือ “เสอหลุนข่าย” หรือ “ตั้ง เกรียงไกร” มีหลายชื่อเหลือเกิน) โครงการนี้หน้าฉากโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็น smart city บนเนื้อที่กว่า 7 หมื่นไร่ วงเงินลงทุนตามที่เคลมไว้คือกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นศูนย์รวมธุรกิจ ศูนย์รวมอุตสาหกรรม ศูนย์รวมความบันเทิง ฟังดูล้ำมาก ในขณะที่ตัวเสอจื้อเจียงก็สร้างภาพตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทว่าในเบื้องหลังตามที่มีรายงานข่าวออกมา สถานที่แห่งนี้กลับเป็นแหล่งรวมแก๊งพนันออนไลน์ แหล่งรวมแก๊ง call center หลอกลวงต้มตุ๋น
และนอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งโครงการของเสอจื้อเจียงที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด ชื่อ KK Park ที่แห่งนี้บรรดาสำนักข่าวในจีนต่างรายงานว่ามันคือสถานีปลายทางของการค้ามนุษย์ เหยื่อที่ถูกใช้งานจนหมดประโยชน์แล้วจะถูกตัดเอาอวัยวะออกมาทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อเอาไปขาย ส่วนร่างที่เหลือก็โยนทิ้งไป นี่คือนรกบนดินที่เข้ามาประชิดถึงชายแดนไทยแล้ว ที่ผ่านมาไม่รู้มีคนไทยคนไหนต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นบ้างหรือไม่?
และที่น่ากลัวกว่านั้นคือเสอจื้อเจียงและบริษัท Yatai มีความพยายามรุกคืบเข้ามาตั้งโครงการในประเทศไทยด้วย ทั้งที่แม่สอดและกรุงเทพฯ ด้วยเส้นสายที่ตัวเองมีกับพรรคการเมือง ครั้งหนึ่งถึงกับเคยเข้ามาปรากฏตัวในที่ประชุมกรรมาธิการ Entertaiment Complex มาแล้วเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่า พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลจะปล่อยให้องค์กรที่อันตรายแบบนี้เข้ามามีบทบาทขนาดนี้ ที่ซึ่งอาจใช้โฆษณาชวนเชื่อให้ธุรกิจเทาๆ หลั่งไหลเข้ามาได้อีกมากมาย
ยังดีว่าเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา เสอจื้อเจียงถูกจับกุมแล้วในไทยตามหมายแดงของประเทศจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอาชญากรรมที่ก่อเอาไว้จะหมดสิ้นกันไปง่ายๆ เพราะตัวบริษัท Yatai ก็ยังอยู่ ยังมีคนที่รายล้อมรอบตัวเขาอีกมากมายที่ลอยนวลและอาจไปทำเรื่องมิดีมิร้ายต่อสังคมไทยได้อีก
คนหนึ่งที่ผมขอกล่าวถึงในครั้งนี้ ชื่อของเขาคือ “หยูซินฉี” ระบุตัวเองว่าเป็นประธานสมาคมแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า “มณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย” โดยได้มอบตำแหน่งให้เสอจื้อเจียงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคมแห่งนี้ด้วย ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ทั้ง 2 คนนี้เคยพบปะกันที่สำนักงานของ Yatai ในกรุงเทพฯ โดยตัวหยูซินฉีเองได้แสดงออกถึงการสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อโครงการ “ฉ่วยก๊กโก” กล่าวว่านักลงทุนต่างชาติจำนวนมากได้เล็งเห็นโอกาสในการเติบโต และขอให้ตนเป็นผู้ช่วยประสานความร่วมมือเชิงลึกกับโครงการนี้ ที่ซึ่งผมขอย้ำอีกครั้งว่ามีเจ้าของเดียวกันกับสถานีปลายทางของการค้าอวัยวะและกลุ่มมิจฉาชีพ ถ้าอย่างนั้นแล้วการที่จะประสานให้ใครๆ มาลงทุนในที่แบบนี้ ร่วมกับคนแบบเสอจื้อเจียง คนพวกนั้นจะมาลงทุนในเรื่องอะไรกันแน่?
มาดูที่ “มณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย” แห่งนี้ก็น่าสนใจครับ มีพิธีเปิดตัวขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2560 ระบุการให้บริการ เช่น แนะนำการลงทุนและซื้ออสังหาริมทรัพย์, ช่วยคนจีนจดทะเบียนบริษัทในไทย, ติดต่อนัดพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล, ช่วยเหลือเรื่องการขอวีซ่า เป็นต้น
ดูเหมือนปรกติดี แต่เมื่อไปค้นฐานข้อมูลสมาคมในประเทศไทย ไม่ปรากฏว่าเคยมีสมาคมชื่อนี้จดทะเบียนจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทยมาก่อนเลย พูดง่ายๆ คือสมาคมเถื่อนนั่นเอง
และไม่ใช่แค่สมาคมนี้ ยังมี “โรงเรียนธุรกิจเอเชียนสตาร์ (อาเซียน)” ที่หยูซินฉีเป็น ผอ. ของโรงเรียนด้วยตัวเอง นี่ก็เหมือนกัน ไม่พบว่ามีการจดทะเบียนเป็นสถานศึกษาไว้ หลักสูตรคอร์สติวต่างๆ ที่จัดขึ้นมีเนื้อหาอย่างไรบ้างก็ไม่มีใครทราบ
บางท่านได้ฟังแล้วอาจคิดว่าไม่เห็นเป็นไรนี่ ผมก็อยากให้ลองเทียบเคียงกับเรื่องที่บรรดาจีนเทาที่ผ่านแดนเข้าประเทศไทย (ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.)) มาได้ด้วยวิธีการไปทำวีซ่านักเรียนบ้าง โรงเรียนที่ว่าก็เป็นแค่ตึกแถวสักแห่งหนึ่ง หรือเข้ามาในฐานะอาสาสมัครของมูลนิธิต่างๆ ที่สถานที่ตั้งจริงๆ เป็นบ้านเก่าๆ โทรมๆ ตามต่างจังหวัด ซึ่งแค่ในช่วงปี 2563 - 2564 มีจีนเทาผ่านแดนเข้ามาแบบนี้กว่า 7 พันคน แล้วสมาคมของหยูซินฉีที่ระบุเรื่องช่วยทำวีซ่าให้คนจีนล่ะ? หรือโรงเรียนธุรกิจของหยูซินฉีล่ะ? ที่ผ่านมานำเข้าคนจีนด้วยวิธีการแบบนี้กับเขาด้วยหรือไม่? เป็นจำนวนเท่าไหร่? จะตรวจสอบกันได้อย่างไรในเมื่อไม่ใช่สมาคมถูกต้องตามกฎหมาย?
และที่สำคัญ คนจีนที่หยูซินฉีพาเข้ามาทำธุรกิจในไทยนั้นเป็นคนประเภทไหน? จะเป็นประเภทเดียวกับตู้ห่าวซึ่งวันนี้เชื่อได้เลยว่ากระจายทั่วประเทศแล้ว แค่ยังตามสืบไม่เจอ อย่างนั้นหรือไม่? หรือว่าเป็นประเภทเดียวกับประธานกิตติมศักดิ์ เสอจื้อเจียง ที่เอาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปตายทั้งเป็นได้?
เรื่องพวกนี้ผู้ที่ต้องรู้ข้อมูลดีที่สุด ต้องเตรียมการป้องกันอย่างดีที่สุดไม่ให้มันเกิดขึ้น ก็คือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่อ้างจุดขายเรื่องความมั่นคงมาโดยตลอด ซึ่งถ้าท่านได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ อย่างที่อวดอ้างตัวเองจริงๆ ผมคิดว่าคงไม่มีข่าวเรื่อง ตม. ถูกเปิดโปงออกมาตั้งแต่แรก
แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือวิธีการที่หยูซินฉีใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อให้คนจีนเข้ามาใช้บริการของตัวเอง นั่นคือการเขียนบทความลงโซเชียลมีเดียของสมาคมและเผยแพร่ไปตามเว็บข่าวต่างๆ เนื้อหาโดยมากก็ไปในทางอวยตัวเอง ว่าเป็นคนสู้ชีวิต สร้างเนื้อสร้างตัวจนประสบความสำเร็จทั้งในด้านความนิยมและการอุทิศต่อสังคม
ถ้าอวยแค่เท่านั้นผมไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่เริ่มแปลกๆ ขึ้นมา เช่นที่บอกว่าตัวเองได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาด้านกิจการจีนของเชื้อพระวงศ์ไทยและนายพลราชองครักษ์ ผมตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เชื้อพระวงศ์ที่ว่าก็คือระดับหม่อมราชวงศ์ ซึ่งในบ้านเราถือเป็นสามัญชนเท่านั้น ส่วนกับนายพล จริงๆ ก็คือแค่จ้างเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ซึ่งก็ตลกดีที่ถึงกับมีการทำหนังสือรับรองมาแปะไว้ให้เห็นกันราวกับเป็นกิจการของบ้านเมือง
สังเกตเห็นไหมครับว่าเทคนิคของนายคนนี้คือการเอาเรื่องที่มันธรรมดาทั่วไปมากๆ มาบิดนิดบิดหน่อยให้มันเกินจริงเพื่อปั่นราคาตัวเอง ทำแบบนี้ผู้ที่ได้คือตัวหยูซินฉีเอง แต่ผู้ที่เสียหายกลับเป็นหน่วยงานต้นสังกัดหรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับคนที่หยูซินฉีอ้างว่ามีเส้นสายด้วย ผมได้กล่าวไปแล้วกรณีของเซาเซียนโป ที่ไปอ้างตัวเองว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วสุดท้ายก็ร่ำรวยขึ้นมาบนพฤติกรรมผิดกฎหมายสารพัดอย่าง เห็นแล้วใช่ไหมว่ามันอันตรายขนาดไหน?
แล้วลองดูภาพที่นำมาประกอบกับบทความทำนองนี้ ก็เป็นภาพที่ตัวเองไปถ่ายรูปกับนายทหารนายตำรวจคนนั้นคนนี้ ค่อยๆ ไล่ระดับมายังนักการเมือง รัฐมนตรีต่างๆ แม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังถูกเอาไปเป็นส่วนหนึ่งของการโฆษณานี้ด้วย
หรือหนักข้อไปกว่านั้นคือลามไปถึงระดับองคมนตรี อย่างในภาพคือ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข หรือกับสมเด็จพระสังฆราชก็ยังไม่เว้น
คนคนนี้พยายามไปเข้าถึงคนใหญ่คนโต เอาภาพมาช่วยแต่งเติมให้ตัวเองดูเป็นพวกคนวงใน โพสต์ลงเพจสมาคมตัวเองย้ำๆ ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อขายกับลูกค้าของตัวเองซึ่งเป็นใครบ้างก็ไม่รู้ ดีเลวอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ดึงเข้ามาในประเทศไทย โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ยืนมองตาปริบๆ ไม่ทำอะไรเลย เพราะขนาดรูปของตัวเองยังปล่อยให้เอาไปเป็นเครื่องมือหากินกันแบบนี้ ผมเห็นแล้วสมเพชจริงๆ
และอย่าได้คิดว่าหยูซินฉีก็แค่พวกโฆษณาเกินจริงทั่วๆ ไป ไม่ได้ไปเปิดผับมั่วยาหรือเปิดบ่อนเหมือนกับตู้ห่าวเสียหน่อย ไม่เห็นจะเป็นไร อย่าได้คิดแบบนั้นเด็ดขาด
ลองไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองตอนนี้บ้างครับ เอาอย่างแถวเยาวราชนี่เลย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ก้าวไกล กรุงเทพฯ Paramait Vithayaruksun - ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ ลงพื้นที่สำรวจปัญหาทุนจีนรุกคืบเข้ามาช่วงชิงที่ทำกิน รู้ไหมว่าบางร้านพวกนี้ทุ่มเงินเช่าที่กันเดือนละเป็นแสนๆ บาท แต่ขายอะไรครับ? ขายรองเท้าแตะ ขายแมสก์ธรรมดาๆ แบบนี้แหละที่น่าสงสัยว่าจะเป็นการฟอกเงินได้เช่นกัน หรือบางรายแสบมาก ใช้ให้เจ้าหน้าที่ไปจับคู่แข่งตัวเองจนหมด อ้างผิดลิขสิทธิ์ทั้งที่ตัวเองก็ผิดเหมือนกัน แต่ที่ตัวเองเข้าถึงเจ้าหน้าที่ได้เพราะเงินหนากว่าใครเพื่อน
กิจการพวกนี้ไม่ได้หวือหวาเหมือนผับหรือบ่อน แต่เป็นภัยเงียบที่ร้ายลึกและน่าจะมีมากกว่าหลายเท่าตัว และพวกคนที่คอยประสานงานให้ โดยแอบอ้างสร้างภาพว่าตัวเองมี back ดี สนิทกับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง คนประเภทเดียวกับหยูซินฉีนี่แหละที่มีส่วนสำคัญช่วยดึงดูดบรรดาห้างร้านเทาๆ ให้เข้ามากันได้มากมายขนาดนี้
แต่หยูซินฉีไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ ลองไปดูข้อความต่อไปนี้ อ้างว่าสมาคมของตัวเอง “ได้รับความไว้วางใจและกำลังใจที่ดีจากราชวงศ์ไทย” สมาคมที่ทุกวันนี้ไม่ได้เปิดอย่างถูกกฎหมายนั่นแหละครับ หรืออ้างว่าตัวเอง “ได้รับเกียรติให้เข้าไปเยือนในวังด้วยการต้อนรับในระดับเดียวกับนายพล” คนจีนที่ได้มาเห็นข้อความอย่างนี้ไม่รู้จะเข้าใจเลยเถิดไปถึงไหนแล้วว่าหยูซินฉีนี่สายตรงจากวังเลยหรือ
และที่ไปไกลสุดๆ คืออ้างว่าตัวเอง “ได้รับแต่งตั้งเป็น ‘สมาชิกกิตติมศักดิ์’ ของราชวงศ์ไทย” มีเอาใบประกาศณียบัตรมาโชว์ให้ดูด้วย ซึ่งปรากฏว่าเป็นแค่บัตรรับหนังสือเท่านั้น คนละเรื่องกับที่โม้ไว้เลย
ยังมีอีกครับ อ้างว่า “ประเทศไทยประกาศว่าจะใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดของสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อรับประกันว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน จะได้ดำเนินการจริงๆ” “ราชวงศ์ของไทยจะไม่ยอมทนต่อพวกที่หนุนอเมริกาในสภาอีกแล้ว” อันนี้นี่บิดเบือนสุดๆ และเสียหายกับประเทศไทยสุดๆ สุดยอดจริงๆ ที่คุยโตได้ถึงขนาดนี้ และสุดยอดจริงๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลยังปล่อยให้คนแบบนี้ก่อการอยู่ในประเทศไทยได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วถามว่าข้อความที่ไปอวดอ้างแบบผิดๆ แล้วกระทบไปถึงสถาบันที่สำคัญของประเทศไทยแบบนี้ ภาพที่ถูกนำไปใช้ประกอบจะเป็นอะไรอื่นไปได้? ขอให้ทุกท่านดูให้เห็นกับตา
ภาพที่เห็นนี้ เกิดขึ้นในงานเมาลิดกลางที่จัดโดยคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน 2562 หยูซินฉีตอนนั้นไปในฐานะหนึ่งในผู้สนับสนุน ถวายของที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จไปเปิดงานดังกล่าว แต่พอเอาไปลงเว็บจีนแล้วกลับไปบอกว่าตัวเองไปถวายของขวัญเนื่องในโอกาสวันพระราชสมภพ คือไปบิดเบือนให้ตัวเองดูมีความใกล้ชิดสนิทสนมเกินจริง
และไม่ใช่กับในหลวงเท่านั้น กับสมเด็จพระเทพฯ ก็มีการเข้าหาเพื่อให้ได้รูปถ่ายแบบนี้เช่นกัน ซึ่งประเด็นนี้ผมเชื่อจริงๆ ว่าพระองค์ท่านทั้งสองไม่ได้ทรงมีส่วนรับรู้หรือมีพระราชประสงค์ให้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือหากินของใครบางคนในลักษณะเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
และไม่ใช่แค่นั้น การแอบอ้างลักษณะนี้ของหยูซินฉีถึงขนาดว่าไปปรากฏอยู่ในหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นโดยสถาบันที่มีความเชื่อมโยงกับทางการจีนด้วย เป็นหนังสือรวบรวมประวัติของบุคคลที่มีผลงานดีเด่น ซึ่งมีให้สั่งซื้อกันได้ทางอินเตอร์เน็ตด้วย ผมมีตัวอย่างของจริงส่งตรงจากประเทศจีนมาให้ดูกันในวันนี้ เนื้อหาส่วนของหยูซินฉีมีแค่ 3 หน้า แต่อัดแน่นไปด้วยคำโฆษณาชวนเชื่ออวดอ้างตัวเองเหมือนอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว แน่นอนว่าภาพประกอบข้างในก็มาครบ เอาสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้ตัวเองอย่างหน้าไม่อาย แล้วตัวเองก็ไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับนักค้าอวัยวะอย่างเสอจื้อเจียงอีกทีหนึ่ง แล้วแบบนี้คนที่ตกเป็นเหยื่อเขาจะมองสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอย่างไร? ชาวจีนและสังคมโลกจะมองสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยอย่างไร? และไม่รู้ว่าที่ผ่านมาหนังสือนี้ตีพิมพ์ไปแล้วกี่เล่ม? มีใครได้อ่านกันไปแล้วกี่คน? สร้างความเข้าใจในแบบที่ไม่ควรจะเป็น สร้างแรงบันดาลใจให้ใครหวังใช้เส้นสายเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในประเทศไทยกันไปแล้วเท่าไหร่?
เห็นสิ่งที่หยูซินฉีได้ทำลงไปแบบนี้ ทำให้ผมนึกถึงกรณีของประสิทธิ์ เจียวก๊ก คนที่สร้างภาพว่าสู้แล้วรวย รวยแล้วตอบแทนคุณแผ่นดิน อ้างตัวเองว่าเป็นจิตอาสาทำความดีเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นพวกมิจฉาชีพหลอกลวงต้มตุ๋นผู้อื่น ขนาดว่าถูกจับแล้วยังจะหาทางปลอมตัวหลบหนี นี่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงของนายกรัฐมนตรี ของรัฐบาล ของหน่วยงานความมั่นคงแท้ๆ ที่จะต้องตรวจตราใครๆ ก็ตามที่พยายามเสือกตัวเองเข้ามาหาสถาบันพระมหากษัตริย์ ใครที่พยายามจะมามอบของให้ได้ภาพถ่ายกับองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ว่าคนเหล่านั้นพื้นเพเป็นอย่างไร ไว้วางใจได้แค่ไหนว่าจะไม่เอาสถาบันสำคัญของไทยไปแปดเปื้อนกับวีรกรรมเทาๆ ของพวกตัวเอง อย่าให้คนพวกนั้นเข้ามาฉวยประโยชน์
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็ปล่อยให้คนอย่างหยูซินฉีทำมันลงไปจนได้ อันที่จริงดูจะชอบด้วยซ้ำที่มีคนมาโหนสถาบันกันเยอะๆ เพราะตัวเองจะได้หากินกับการโหนนั้นด้วย ส่วนใครที่เห็นต่างก็ไปไล่กวาดล้างให้หมด โดยไม่สนใจเลยว่าการโหนนั้นจะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการเชื้อเชิญจีนเทาที่หวังใช้เส้นสายกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ไหลทะลักเข้ามาในประเทศไทยอีกเท่าไหร่ จะมีคนแบบตู้ห่าว คนแบบหลินหลง คนแบบเสอจื้อเจียง เข้ามาในไทยอีกเท่าไหร่ และผลกระทบ ความเดือดร้อน ความเสียหาย จะเกิดแก่พี่น้องประชาชน ประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์อีกขนาดไหน
เรื่องที่ผมอภิปรายมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจีนเทา หรือเมียนมาเทา กรณีเหล่านี้คือปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ลุกลามบานปลายอยู่ในภูมิภาคนี้มานับสิบปีแล้ว หลายกลุ่มเข้ามาจ่อประชิดถึงชายแดนของประเทศเพื่อนบ้านรอบด้าน โดยมุ่งเป้าในการกอบโกยมาที่พี่น้องประชาชนชาวไทย และอีกหลายกลุ่มถึงกับเจาะทะลวงเข้ามาถึงภายในประเทศ ถึงภายในเมืองหลวง อาชญากรรมข้ามชาติพวกนี้เข้ามาเปิดบ่อนการพนัน เปิดตลาดยาเสพติด ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือโฆษณาหลอกลวงต่างๆ สารพัด หลอกลวงไปค้าประเวณี ค้าอวัยวะ ผู้ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มอาชญากรรมพวกนี้ก็คือคนไทยดีๆ ที่พยายามทำมาหากิน คือเยาวชนที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือคนบริสุทธิ์ทั้งนั้น
แต่สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุด คือบางคนที่มีส่วนสมคบคิด อนุญาตให้อาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้เจริญงอกงาม โตเอาๆ ได้ กลับเป็นคนไทยด้วยกันเอง นี่คือพวก “ไทยเทา” ที่เปิดบ้านรับโจรให้เข้ามาปล้นจี้ กระทำย่ำยีขืนใจพี่น้องประชาชนในบ้านหลังนี้มาตลอด 8 ปี ไทยเทาพวกนี้แฝงตัวอยู่ทั้งในตำรวจ, ทหาร, ศาล และราชการทุกสำนัก สูบเอาผลประโยชน์จากเลือดเนื้อของคนไทยกันเอง แล้วเอาไปแสวงหาอำนาจจนได้เป็นถึง ส.ว. ได้เป็นถึงรัฐมนตรี ได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรี แล้วพอตัวเองมีอำนาจบาตรใหญ่แล้วก็จะคอยคุ้มกะลาหัวไทยเทาอื่นๆ ให้อยู่รอดลอยนวลเป็นลิ่วล้อบริวารให้กับตัวเองกันต่อไป ดังนั้นตราบใดที่ไทยเทาพวกนี้ยังมีอยู่ อาชญากรรมทั้งในชาติและข้ามชาติที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับพวกมันก็ไม่มีวันที่จะหายสาบสูญไปด้วย ไม่มีวันที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
เพราะฉะนั้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้คือหมุดหมายสำคัญที่จะตัดสินว่าเราจะยังอยู่กับยาเสพติด อยู่กับพนันออนไลน์ อยู่กับแก๊งคอลเซนเตอร์ อยู่กับอาชญากรรมสารพัดรูปแบบ และอยู่กับคนอย่าง “ตู่ห่าว” หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกที่ได้ดิบได้ดีกับธุรกิจมืดที่ทำลายชีวิตของลูกหลานพวกท่านต่อไป หรือจะได้เวลาแล้วที่พี่น้องประชาชนผู้เป็นเจ้าของบ้านที่แท้จริงจะร่วมกันไล่ตะเพิดพวกไทยเทาและแก๊งโจรเทานานาชาติทั้งหลายเหล่านี้ออกไปเสียที บ้านหลังนี้ที่ถูกทำให้สกปรกเน่าเฟะมานานยังสามารถกลับมาสะอาดอีกครั้งได้ครับ แต่ต้องเริ่มจากกำจัดขยะที่กองอยู่กลางบ้านก่อน ซึ่งผมและพรรคก้าวไกลขออาสาหยิบมันไปทิ้งเอง