“สนธิ” ชี้กรณี “ธนาธร” ทวิตเชิญชวนหนุนม็อบอิหร่าน เข้าทางสหรัฐฯ ที่ฉวยโอกาสนำการตายของ “มาห์ซา อะมินี” มาปลุกม็อบ โดยมี Freedom House ของซีโอเออยู่เบื้องหลัง ย้ำชัดบทบาทของอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ไม่ต่างจากหมาชิวาวาของชาติตะวันตก เพราะเคยหนุน “โจชัว หว่อง” จนทางการจีนไม่พอใจมาแล้ว
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ทวิตข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ประกาศยืนหยัดเคียงข้างชาวอิหร่านที่กำลังต่อสู้กับเผด็จการในบ้านเกิด พร้อมอ้างว่า เรากำลังต่อสู้ในสมรภูมิเดียวกันที่ประเทศไทย พร้อมกับเชิญชวนให้เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับผู้ชุมนุมเพื่อเรียกร้องเสรีภาพ โดยการเพิ่มชื่อที่ทวิตเตอร์ และลงชื่อได้ที่เว็บไซต์ change.org/IranSolidarity
ซึ่งหลังจากนั้นวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ทวิตเตอร์สถานทูตอิหร่านได้ตอบโต้กลับข้อความในทำนองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่าน กับ ประเทศไทย ยาวนานมาถึง 400 ปี แข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับผลกระทบเกมการเมืองและการเลือกตั้ง ด้วยความเคารพอย่างยิ่งต่อประชาชนในประเทศไทย เรามั่นใจว่าท่าทีทางการเมืองดังกล่าวไม่อาจจะมีผลต่อความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของทั้งสองชาติ
นายสนธิกล่าวว่า เหตุการณ์ประท้วงในประเทศอิหร่าน จนก่อให้เกิดกระแสและแฮชแท็ก #IranSolidarity จน Freedom House ซึ่งเป็นองค์กรของ CIA หยิบยกขึ้นมาสร้างกระแส และนายธนาธร นำเรื่องราวมาเล่นต่อนั้น เกิดจากเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.มาห์ซา อามินี (Mahsa Amini) สาวชาวอิหร่านวัย 22 ปี
โดย Freedom House ที่คอยหล่อเลี้ยงกระแสม็อบในอิหร่านนั้น ก่อตั้งในปี 2484 (ค.ศ. 1941) หรือเมื่อ 81 ปีที่แล้ว โดยนายเวนเดล วิลกี (Vendel Vilki) อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน และ นางเอเลนอร์ รูสเวลต์ (Eleanor Roosvelt) ภรรยาของแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosvelt) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 32 ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
Freedom House บอกกับตัวเองว่า เป็นคลังสมอง หรือที่เรียกว่า Think Tank ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยอ้างตัวว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว เป็นองค์กรที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยระบุภารกิจของตัวเองว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินการวิจัยและสนับสนุนเกี่ยวกับประชาธิปไตย และเสรีภาพทางการเมือง และสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันในแวดวงการทูต วิชาการ และ NGO มานานว่า Freedom House นั้นสนับสนุนสิ่งต่างๆ โดยมีวาระซ่อนเร้น คือผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อไปดูเงินทุนที่สนับสนุนการดำเนินการของ Freedom House ก็จะยิ่งชัดเจนว่ารายได้ในแต่ละปีของ Freedom House กว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ มาจากเงินสนับสนุนของรัฐบาลกลางอเมริกา
ในปี 2565 Freedom House มีเงินบริจาค มีรายได้รวมประมาณ 87 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,900 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 92 เปอร์เซ็นต์ คือ 80 ล้านดอลลาร์ เป็นเงินที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยัดใส่ให้ Freedom House เพื่อมาป่วนทั่วโลก
ส่วนเรื่องของม็อบในอิหร่านนั้น มีสามเหตุมาจากเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 เกิดการเสียชีวิตของ น.ส.มาห์ซา อะมินี หลังจากถูกตำรวจศีลธรรมของอิหร่านควบคุมตัว (อิหร่านมีตำรวจศีลธรรม ผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนไม่ปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามของอิหร่านซึ่งเข้มงวดมาก เขาก็จะดำเนินคดี)
ตำรวจศีลธรรมของอิหร่านควบคุมตัว น.ส.มาห์ซา อะมินี ไว้ที่กรุงเตหะราน ข้อหาละเมิดกฎ เขากำหนดให้ผู้หญิงต้องสวมฮิญาบ หรือผ้าปกคลุมผม ส่งผลให้มีผู้ชุมนุมเกิดขึ้นอย่างยาวนานและมีการสลายการชุมนุม
ม็อบในอิหร่านดังกล่าวก็เลยถือว่าเข้าทางอเมริกา และสหภาพยุโรป เพราะว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิหร่านมานานหลายสิบปี ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่ CIA และ MI6 รวมหัวกันโค่นรัฐบาลแห่งชาตินิยมอิหร่าน ของ โมฮัมหมัด มอสซาเดก เนื่องจากว่าขัดผลประโยชน์ของตะวันตกเกี่ยวกับเรื่องสัมปทานน้ำมัน แล้วตะวันตก คือ CIA และ MI6 ของอเมริกา และของยุโรป ก็เลยตั้งพระเจ้าชาห์ ปาห์ลาวี ขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด จนในที่สุดเกิดปฏิวัติอิสลามขึ้นมาในปี 2522 (ติดตามรายละเอียดใน “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันที่ 10 มกราคม 2563 ตอน ทำไมทรัมป์ต้องถอย นี่คือจุดจบหรือการเริ่มต้น)
กลับมาตอนนี้เรื่องปัจจุบัน พอมีเหตุเสียชีวิตของ น.ส.มาห์ซา อะมินี ทางชาติตะวันตกก็ได้ที ออกแรงยุยงส่งเสริม ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลอิหร่าน ออกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเป็นระยะๆ โดยใช้เครือข่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางการทูต เวทีต่างประเทศ สื่อมวลชน รวมไปจนถึง NGO ในสังกัดของอเมริกา และยุโรป ต่างพร้อมใจกันออกมาถล่มอิหร่าน
“ธนาธร” เครื่องมือตะวันตกแทรกแซงชาติอื่น
การออกมาสนับสนุนม็อบอิหร่านอย่างเปิดเผย เปิดหน้า ครั้งนี้นายธนาธร ชี้ให้เห็นอะไร ? ชี้ให้เห็นว่า
ข้อที่หนึ่ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งในเวลาต่อมาพรรคนี้กลายเป็น "พรรคก้าวไกล" โดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค นายพิธา มีศักดิ์เป็นหลานของนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตคนใกล้ชิดของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือ เป็นมือไม้และเครื่องมือที่รัฐบาลตะวันตกชักใย โดยกรณีนี้ก็คือ Freedom House ที่เข้ามายุแยงตะแคงรั่ว ยุยงส่งเสริมให้เกิดมีความไม่มีเสถียรภาพในประเทศต่างๆ ที่เขาต้องการเข้ามาแทรกแซง ไม่แตกต่างเลยกับการสร้างแนวร่วมม็อบสามนิ้ว ม็อบชานม (Milk Tea Alliance) ที่พยายามดึงไทยเข้าไปแทรกแซง ร่วมวงความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศต่าางๆ ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นฮ่องกง ไต้หวัน พม่า และอื่นๆ
ข้อที่สอง ในปี 2562 นายธนาธร ก็เคยทำอย่างนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นนายธนาธร ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นตัวแทนประชาชนคนไทย แต่เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2562 (4 ปีที่แล้ว) นายธนาธร ถ่ายภาพร่วมกับนายโจชัว หว่อง แกนนำกลุ่มประท้วงในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระหว่างนั้นก็ได้รับเชิญจากนิตยสาร The Economist ซึ่งคือหนังสือที่ทางหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ คือ MI6 เป็นคนที่แบ็กอยู่ข้างหลัง และกลุ่ม Neo-Zionism ก็เป็นคนที่แบ็กหนังสือเล่มนี้ เขียนข่าวเพื่อมาสร้างความวุ่นวาย และปั่นป่วน ในบรรดาประเทศที่ไม่ยอมสยบ หรือเป็นข้าทาสของตะวันตก
นายธนาธร ได้รับเชิญจากนิตยสาร The Economist ให้ไปพูดที่งาน Open Future Festival ที่ฮ่องกง ในหัวข้อ "Inside The Mind of Asia's Next Generation Politicians" ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่งรัฐบาลจีน เนื่องจากว่านายธนาธร ขณะนั้น ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่มี ส.ส. จำนวนมากอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรไทย
ผู้ที่เผยแพร่ภาพดังกล่าว ที่ถ่ายรูปกับนายธนาธร คือ นายไจชัว หว่อง
นายโจชัว หว่อง ได้พูดว่า จากความพยายามทำลายกรอบการเมืองเก่า ทำให้เพียงการลงเลือกตั้งครั้งแรก พรรคอนาคตใหม่ก็ได้กลายเป็นพรรคใหญ่อันดับสาม ได้รับเลือกตัวแทนเข้ามาเป็น ส.ส. ถึง 80 กว่าที่นั่ง แต่ในเวลาเดียวกันก็ถูกรัฐบาลทหารฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาสร้างความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และหากมีความผิด อาจจะถูกตัดสินจำคุกนานถึง 9 ปี สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของการถือกำเนิดของขั้วอำนาจที่สามในสนามการเมืองของประเทศไทย
ข้อความและภาพคู่ดังกล่าวของนายธนาธร และ นายโจชัว หว่อง ทำให้วันที่ 10 ธันวาคม 2562 โฆษกสถานทูตจีนในประเทศไทย ได้ออกมาโพสต์เตือนนักการเมืองบางคน ก็คือนายธนาธร นั่นเอง อย่าได้แสดงท่าทีเชิงสนับสนุนกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากจีน เพราะอาจจะทำให้กระทบกระเทือนต่อมิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทย
ข้อที่สาม กรณีของอิหร่าน ทางสถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทย ตอบกลับนายธนาธร แบบนิ่มๆ พูดชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ของไทย-อิหร่าน มีมานานกว่า 400 ปีแล้ว เรามั่นใจว่าไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของสองชาติได้ แสดงให้เห็นว่าอิหร่านเขารู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง เล่ห์กล และจุดประสงค์ของนายธนาธร กับกลุ่มก้อนพรรคการเมืองภายใต้ปีกของนายธนาธร ว่ากำลังจะทำอะไรอยู่ช่วงนี้ การเลือกตั้ง อ้างเรื่องราวอิหร่านมาเชื่อมโยงกับเรื่องราวในประเทศไทย ว่า ผมขอยืนหยัดเคียงข้างชาวอิหร่านที่กำลังต่อสู้กับเผด็จการในบ้านเกิด เรากำลังต่อสู้ในสมรภูมิเดียวกันที่ประเทศไทย
“ผมขอบอกตรงๆ นะ คุณธนาธร คุณไปเสือกอะไรกับเขา เรื่องในบ้านเขา อิหร่านเขาจัดการเรื่องราวในประเทศของเขา เรื่องราวในฮ่องกง ไต้หวัน ประเทศจีน ทิเบต ซินเจียง คนจีนเขาจัดการเรื่องของเขาเอง คุณนี่นอกจากไม่รู้จักผู้อื่นแล้ว ยังไม่รู้จักตัวเองเลย ผมไม่อยากจะคิดหรือจินตนาการไปไกลเลยว่าคนเหล่านี้เมื่อก้าวสู่วงจรอำนาจ กุมตำแหน่งการบริหารประเทศแล้ว ประเทศชาติ ประชาชนคนไทยจะวุ่นวาย และต้องเจออะไรอีก เพราะว่า ทั้งธนาธร และพิธา สรุปง่ายๆ ว่าเป็นเครื่องมือของตะวันตก ทำอะไรก็ตาม ทำตามแนวนโยบายที่ทาง CIA และ MI6 หน่วยสืบราชการลับอังกฤษ และอเมริกา วางหมากวางกรอบให้ทำ วันไหนคุณเป็นรัฐบาล ประเทศไทย ประชาชนคนไทย จะวุ่นวาย จะต้องเจออะไรอีก รัฐบาลไทยคงไม่ได้ทะเลาะกับแค่จีนแล้ว อาจจะทะเลาะกับรัสเซีย เกาหลีเหนือ อินเดีย พม่า กัมพูชา
“ถึงวันนั้นอาจจะมีสถานภาพไม่แตกต่างไปจากรัฐบาลหมาชิวาว่า หรือสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ให้กับฝรั่งอย่างอเมริกา หรือชาติยุโรป จูงจมูก ให้ซ้ายหัน ขวาหัน ประท้วง คว่ำบาตร หรือถูกสั่งให้ไปรบกับชาติไหน เพื่อนบ้านเราชาติไหน คงทำได้ตามใจชอบ”นายสนธิกล่าว