xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนความหลังในช่วง Y2K กับ ใบปอ-ฐิติยา & อันโทนี่ “เธอกับฉันกับฉัน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พุทธศักราช 2542 หรือ ค.ศ. 1999 นับว่าเป็นช่วงที่มีรหลายเหตุการณ์ที่น่าจดจำ ทั้งการเกิดสงครามโคโซโว, การคว้าทริปเบิลแชมป์ ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, การบุกยึดสถานทูตเมียนมาร์ประจำประเทศไทย และรวมไปถึงปัญหาระดับโลกในช่วงเวลานั้น คือ วิกฤตการณ์วายทูเค (Y2K) และคำทำนายของนอสตราดามุสที่ว่า ปี 2000 โลกกำลังจะแตก !!!

จนเมื่อค่ายหนังจีดีเอช กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่าง ‘เธอกับฉันกับฉัน’ (U & Me) โดยผู้กำกับสาวฝาแฝด วรรณแวว หงษ์วิวัฒน์ และ แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่ประเดิมกำกับหนังฟีทเจอร์ครั้งแรก โดยมีสองนักแสดงนำหน้าใหม่ครั้งแรก ทั้ง ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์ และ อันโทนี่ บุยเซอเรท์ ที่จะร่วมกันพาไปสู่ช่วงเวลาดังกล่าวให้หวนรำลึกย้อนความทรงจำให้กับหลายๆ คนได้คิดถึงกันอึกครั้ง


อยากให้ทั้งคู่ช่วยเล่าพื้นฐานของแต่ละคนมาพอสังเขปหน่อยครับ

ใบปอ : ก่อนหน้านี้ หนูก็มีถ่ายแบบให้กับร้านเสื้อผ้าในอินสตาแกรม แล้วก็แสดงมิวสิควีดีโอมาค่ะ ถ้าเป็นตัวล่าสุดก็จะเป็นเพลง ‘กลับมาคบกันเถอะ’ ของพี่บิวกิ้น (พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล) ค่ะ

อันโทนี่ : ของผมเป็นนักฟุตบอลที่โรงเรียนครับ ตั้งใจเรียนหนังสือ และเป็นเด็กดีของพ่อแม่ (หัวเราะ) คือก่อนหน้านี้ก็มีถ่ายโฆษณาทั่วไปครับ แล้วก็เคยมีผลงานละครอยู่เรื่องนึงของช่อง 3 ครับ จะเรียกว่ามีทักษะทางการแสดงอยู่นิดหน่อย แต่ศาสตร์ของละครกับภาพยนตร์มันคนละแบบครับ ก็ต้องมีการปรับบ้าง


งานอดิเรกละครับ ทั้งสองคนชอบทำอะไรบ้าง

ใบปอ : ถ้าหนูมีเวลาว่างหนูก็จะชอบอ่านหนังสือค่ะ ก็จะเป็นพวกนวนิยายทั่วไป เรื่องสั้น นอกจากนี้ หนูก็จะชอบถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม แต่ถ้าเรื่องที่อินมากๆ เลย ก็จะเป็นเรื่องแฟชั่น เพราะทุกวันนี้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกับการแต่งตัวค่ะ (หัวเราะเบาๆ) เพราะหนูรู้สึกว่ามีความสุขกับการมิกซ์แอนด์แมตซ์เสื้อผ้า แล้วออกไปถ่ายรูปจนรู้สึกว่า เวลาที่เราได้ลองใส่เสื้อผ้าหลายๆ แบบ ไปเรื่อย ๆ มันเลยสนุกกับการแต่งตัวค่ะ

แต่ถามว่าชอบแต่งแบบไหนมากที่สุด โดยส่วนตัวงง คิดว่าน่าจะลื่นไหลไปได้ทุกแนวนะคะ อารมณ์ประมาณว่า ถ้าอยากลองแนวไหนก็จะแต่งเลย เพราะสุดท้ายแล้วหนูรู้สึกว่า ทุกๆ สไตล์ที่แต่งมา มันก็จะติดความวินเทจนิดนึง เพราะส่วนตัวเราจะชอบเสื้อผ้าในยุค 60-70 ประมาณนั้นค่ะ


อย่างยุค Y2K ล่ะ

ใบปอ : ส่วนแฟชั่นยุค Y2K จริงๆ เพิ่งมามีกระแสในช่วงปีที่แล้ว มันก็จะเป็นพวกกางเกงเอวตาม เสื้อสายเดี่ยว หรือแบบทรง Baby Tee โดยส่วนตัวเราก็รู้สึกว่าก็เป็นอีกแนวหนึ่งที่เราได้ลองแล้วก็โอเคดีค่ะ

อันโทนี่ : แต่ส่วนตัวผม เพิ่งมาเข้าใจยุค y2k ก็เมื่อไม่นานมานี้เองครับ ซึ่งพอได้มารับรู้แล้วก็รู้สึกเท่ดีครับ เพราะโดยส่วนตัวเราก็ค่อนข้างอินในเรื่องเพลงและหนังในยุคนั้นอยู่แล้ว

ใบปอ : คือเขาฟังเพลงเก่ามากเลยค่ะ

อันโทนี่ : (ร้องเพลง เป็นไปไม่ได้ ของวง ดิ อิมพอสซิเบิล) คือเราจะชอบอะไรที่มันเก่าๆ ถามว่าทำไมถึงชอบเพลงเก่าเหรอครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกที่สุด ผมรู้สึกว่าสมัยนี้การติดต่อสื่อสารอะไรมันค่อนข้างที่จะเข้าถึงได้ง่าย ติดต่อแป๊บเดียวก็ได้คุยกันแล้ว ซึ่งแตกต่างจากยุคสมัยก่อนหน้าที่เราจะมีความพยายามในการติดต่อพูดคุยกันมากกว่านี้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยเกิดในยุคนี้ แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นไปตามยุคสมัย ซึ่งก็มีเสน่ห์กันคนละแบบ

ใบปอ : ส่วนหนูก็ชอบฟังเพลงยุค 1970 เหมือนกัน เพราะว่าได้อิทธิพลมาจากป๊าค่ะ (หัวเราะ) ป๊าจะชอบฟังเพลงของวงฟรุ้ตตี้ วงเรนโบว์ แล้วก็ วงคีรีบูน น่ะค่ะ คือฟังมาโดยตลอด แล้วก็รู้จักทุกวันนี้ก็ยังฟังอยู่ค่ะ

อันโทนี่ : จริงๆ ผมก็ชอบพี่ๆ วงไทรอัมพ์ คิงดอม พี่ส้ม มารี แล้วก็พี่บิวกิ้นนะครับ


แล้วความเข้าใจในเรื่อง y2k ของแต่ละคน

ใบปอ : นอกจากเรื่องแฟชั่นแล้ว อย่างฉากหลังของเรื่องนี้มันถูกเซ็ตขึ้นในช่วงปี 1999 หรือ 2542 มันคือยุคเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ หนูก็ต้องไปทำการบ้านเรื่องยุคนั้นว่าเป็นอย่างไร มันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะในยุค Y2K มันมีเหตุการณ์ที่ทุกคนกลัวว่า ปี 2000 โลกจะแตก ซึ่งโดยส่วนตัวหนูเกิดปี 2005 ซึ่งเกิดไม่ทัน แล้วโลกก็ยังไม่แตก (หัวเราะเบาๆ)

หนูก็ต้องไปถามป๊ากับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลานั้น เพราะพวกท่านก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมา พวกเขาก็จะเล่าให้หนูฟังว่าทุกคนก็ไปซื้อของมาตุนไว้ ไปถอนเงินจากธนาคาร แล้วก็มีคนมาขายชิปคอมพิวเตอร์ด้วยนะว่า ถ้าเปลี่ยนปีจะต้องเปลี่ยนชิป ไม่งั้นระบบมันจะรวน หรือที่ไปถามอาโกหรือคุณป้าหนู เขาก็บอกว่าถ้าโลกจะแตกก็แตกไป เพราะว่าทุกคนอาจจะตายพร้อมกันคิดแค่นั้นเลย (หัวเราะเบาๆ)

อันโทนี่ : ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ทำการบ้านขนาดนั้น เพราะเราเห็นทั้งภาพสถานที่และชุดที่เขาเตรียมมาให้ รวมถึงบทคำพูดในเรื่อง มันทำให้เรารู้สึกว่าได้ไปอยู่ในยุคนั้นจริงๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่จะต้องทำให้เป็นตัวละครคนอีสานมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นความยากมาก เพราะอย่างภาษาที่เราพูดปกติก็จะเป็นภาษาไทยกลาง แล้วบทในเรื่องที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นอีสานมันก็จะมีความขึ้นๆ ลงๆ อยู่บ้าง คือค่อนข้างจะห่างไกลจากตัวจริง ก็ต้องมีครูมาช่วยสอนในเรื่องนี้ ว่าสำเนียงพอได้หรือเปล่า

ส่วนเรื่องอื่นก็มีความยากเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่ได้มีเวลาเยอะด้วย อย่างช่วงเวิร์คช็อป ก็ต้องมีทั้งการเล่นพิณ รวมถึงการขี่มอเตอร์ไซค์ด้วย แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงที่สนุก มากๆ เพราะชีวิตจริงอาจจะไม่ได้ทำแบบนี้แล้ว อีกทั้งเราเริ่มหัดเล่นพิณตั้งแต่วันแรกก็จะเห็นพัฒนาการมาตลอด อาจจะมีการขิงใส่กับใบปอบ้าง (หัวเราะเบาๆ)


รวมถึงเรื่องมอเตอร์ไซค์

ใบปอ : อย่างเรื่องมอเตอร์ไซค์ หนูก็ต้องหัดขี่ด้วยเหมือนกัน จริงๆ ป๊าหนูจะบังคับให้ไปขี่มอเตอร์ไซค์มาตลอด แต่หนูก็จะเถียงเขาตลอดว่า ไม่เอา ไม่ทำ ยังไงก็ไม่ทำ เพราะสิ่งนี้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำ (หัวเราะเบาๆ) แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องก้าวข้ามความกลัวนี้มา แล้วได้มาทำในหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็ถือว่าโอเค

อันโทนี่ : ส่วนตัวผมก็ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์มาก่อนเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้คือได้แผลจากสิ่งนี้มาแล้ว ยังไม่หายสนิท

มาถึงเรื่องคาแร็กเตอร์บ้าง ทั้งใบปอและอันโทนี่เอง มีความเหมือนและแตกต่างจากตัว ยูและมี กับ หมาก ยังไงบ้างครับ

ใบปอ : หนูคิดว่าหนูอยู่ตรงกลางระหว่างตัวละครยูกับมีค่ะ คือถ้าคนที่ไม่รู้จักเรามาก่อน เขาอาจจะดูว่าเราเป็นคนห้าวๆ แต่ถ้าคนที่สนิทกันแล้ว ทุกคนก็จะบอกเหมือนกันว่าเราจะมีความเหมือนกับ ‘ยู’ แต่สิ่งที่หนูคิดว่าไม่เหมือนกับตัวละครมีก็คือ หนูไม่ใช่เป็นคนที่คิดซับซ้อน ซึ่งแตกต่างจาก ‘มี’ คือเราก็ไม่ได้มีความคิดที่หลายมิติขนาดนั้น สวนกับทาง ‘ยู’ ที่ไม่เหมือนเลย จริงๆตัวละคร ‘ยู’ มันค่อนข้างที่จะไกลตัวเรามากเลย แต่พอมาสวมตัวละครนี้แล้ว มันก็เหมือนกับเป็นพาร์ทนี้ของชีวิตเรานะ แต่เราไม่ได้ใช้ส่วนตรงนี้บ่อย

อันโทนี่ : ส่วนตัวผมกับหมากเอง รับตั้งแต่ตอนที่แสดงจนกระทั่งตอนนี้ก็ถือว่าแตกต่างจากหมากพอสมควร มันไกลตัวจากผมมากๆ ทั้งในเรื่องของความคิด สายตาที่ส่งไปหรืออารมณ์การพูด ซึ่งเราก็ต้องไปทำการบ้านให้เหมือนกับตัวคาแรคเตอร์นี้ ไปดูหนังที่มีคาแรกเตอร์ใกล้เคียงกับหมากที่ทาง พี่ๆ ทีมงานต้องการ หรือไปอยู่ในพื้นที่จริงของเรื่องด้วย


ในเรื่องนี้สิ่งไหนที่ถือว่ายากที่สุดแล้วเราสามารถก้าวข้ามมันมาได้ครับ

ใบปอ : สำหรับหนูก็น่าจะเป็นเรื่องของการเล่นเป็นตัวละคร 2 คนนี้ล่ะค่ะ เพราะว่าเราจะต้องมีสติตลอดเวลา อย่างเวลาที่ออกกองในแต่ละวัน หนูจะอยู่ในกองตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 4 ทุ่ม คืออยู่ทุกคัทเลย ไม่ค่อยมีเวลานั่งพักเท่าไหร่ แต่หนูว่ามันก็สนุกมากนะคะ คือเหมือนว่าไม่มีกองถ่ายไหนที่จะให้ประสบการณ์ที่สนุกให้กับเราได้อีกแล้ว มันเลยทำให้เรารู้สึกผูกพันกับพี่ๆในกองนี้มาก ทุกคนไนซ์มาก ซึ่งในบางครั้งเราก็เกิดอาการท้อเหมือนกันนะ อารมณ์ประมาณแบบยังไม่เสร็จอีกเหรอ แต่พอมาคิดอีกทีแล้วก็ทุกคนก็เหนื่อยเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เราคนเดียว เราก็ดึงสติให้เกิดการสู้ขึ้นมา ให้สู้ต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีเวลานอนแค่วันละ 5 ชั่วโมงก็ตาม (หัวเราะเบาๆ)

อันโทนี่ : ส่วนของผมน่าจะเป็นช่วงซีนดราม่าของเรื่องครับ เพราะก็มีซีนดราม่าหนึ่งของเรื่องที่จะแสดงให้เห็นว่าหมากเป็นคนยังไงด้วย ผมว่าคนดูจะรักหรือไม่รักมากก็คือซีนที่ว่านี้ คือช่วงตอนแคสท์ เรารู้สึกว่าทำอารมณ์ในซีนนี้ไม่ได้เลย คือโดยส่วนตัวเราก่อนหน้านี้ไม่เคยเล่นดราม่าได้เลย แต่เรารู้สึกถึงความเป็น magic moment อย่างหนึ่ง จนทำให้เราสามารถทำได้ซึ่งก็สร้างความภูมิใจให้กับเราได้ จนทำให้เรารู้สึกว่าซีนนี้เราสามารถพัฒนาในเรื่องการแสดงได้เลย แล้วทำให้ผมมีความมั่นใจกับเรื่องการแสดงมากขึ้น คือก่อนหน้านั้น เราไม่อินกับอะไรที่เกิดความเศร้าเลย อย่างบางเรื่องเราไม่สามารถหยิบยืมความรู้สึกได้ เพราะเราต้องอาศัยความจริงตรงนั้นด้วย ซึ่งพอเราทำได้แล้วเราก็รู้สึกแฮปบี้มากๆ


เรียกว่าต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวมาใช้ในการทำงานตรงนี้ด้วยมั้ย

ใบปอ : ถ้าในเรื่องประสบการณ์ส่วนตัวที่หยิบยืมมาใช้ในหนังเรื่องนี้เหรอคะ ของหนูก็น่าจะเป็นเรื่องการเป็นพี่น้องค่ะ คือโดยส่วนตัวเราก็มีน้องสาว ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของฝาแฝดระดับหนึ่ง เพราะว่าจริงๆ ความสัมพันธ์ดังกล่าว จากที่พี่วรรณและพี่แวว (วรรณแวว-แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์) ได้บอกกับเราตอนช่วงเวิร์คช็อปว่าการเป็นฝาแฝดนั้นมันมากกว่าการเป็นพี่น้องและเพื่อน เรียกว่าเป็นเจ้าของชีวิตของกันและกันเลย เพราะเขามีความผูกพันมาตั้งแต่ในท้องแม่จริงๆ ผ่านการมีความทรงจำร่วมกันทุกอย่าง คืออยู่ด้วยกันเลยค่ะ ซึ่งเรื่องที่หนูหยิบเรื่องความเป็นพี่น้องมาใช้ มันเป็นเรื่องประมาณว่า ทำไมเราต้องมีความเป็นห่วงเขาด้วย หรือทำไมเราถึงรักคนนี้จัง ซึ่งเรื่องนี้เราก็เอามาใช้ได้

อันโทนี่ : ส่วนของผมก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ไปใช้ชีวิตที่นครพนม ซึ่งก่อนหน้านั้นเราก็จะมีกรอบของตัวเองว่าจะกลัวแต่การทำอะไรต่างๆ มีการมองในแง่ลบตลอด แต่พอทางพี่ๆทีมงานให้ผมไปอยู่ที่นั่นกับเพื่อนๆร่วมรุ่นคนพื้นถิ่น 3 คน ซึ่งพวกเขาก็ทำให้ผมได้กล้าที่จะลองทำอะไรต่างๆ ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกว่าจุดนี้ ก็สามารถเอามาใช้ในหนังได้อย่างเช่นซีนพายเรือ รวมถึงการพูดภาษาอีสานด้วย


พี่ๆ ผู้กำกับ ทั้งคู่ให้คำปรึกษาและแนะแนวกับทั้งสองคนยังไงบ้าง

ใบปอ : จริงๆ พี่ๆ ทั้งคู่ ก็ให้คำปรึกษามาโดยตลอดในทุกๆ เรื่องเลย เพราะด้วยความเป็นหนังเรื่องแรกของพี่เขา แล้วก็ถ่ายทอดความเป็นตัวตนของทั้งคู่เลย พี่ๆ เขาก็เลยตั้งใจมากจริงๆ ทุกอย่างที่จะได้เห็นกันในหนัง ทุกคนตั้งใจปั้นกันมาก ให้มันออกมาดีมากจริงๆ ส่วนเรื่องคำปรึกษาอย่างที่บอกไปว่าให้มาโดยตลอด ส่วนที่เด่นที่สุดสำหรับตัวหนูก็คงน่าจะเป็นเรื่องความเป็นฝาแฝด รวมถึงเรื่องแอคติ้งการแสดง อย่างในช่วงที่เกิดอาการท้อ ก็จะมีพี่ๆ มาปลอบว่า เออไม่เป็นไรนะ ทำใหม่ได้ เราก็รู้สึกโอเค ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ (หัวเราะเบาๆ)

อันโทนี่ : ส่วนของผมก็น่าจะเป็นเรื่องการที่คอยสนับสนุนข้างๆ เสมอ คือด้วยความที่เรามีความเป็นตัวเองที่ชัด ซึ่งมันก็ไม่เหมือนกับคาแรคเตอร์ตัวละครมากเลย เขาก็จะคอยเตือน ‘เฮ้ย อย่าเก๊กนะ’ เพื่อที่จะคอยเตือนตัวเองตลอด พี่ๆ เขาก็บอกว่าเลือกผมมาเล่นเพราะว่าเรามีเสน่ห์ แล้วให้ใช้ส่วนดังกล่าวนี้ไปใช้กับการแสดง ก็คือคาแรคเตอร์หมากนี่แหละครับ เรียกว่ามาช่วยละลายความเป็นตัวตนเราก่อนหน้านี้ เพราะเราเกิดความรู้สึกกดดันตัวเอง แล้วยิ่งเป็นหนังของค่ายจีดีเอช แล้วด้วย แถมก็มีเวลาน้อยด้วย แต่ พี่ๆ ทั้งคู่ก็ให้กำลังใจแล้วทำให้เรารู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องแรกของเรานะ เราเลยรู้สึกถึงการต้อนรับที่อบอุ่น ให้ได้รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่


แล้วกับ พี่โต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล) ในฐานะโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ละครับ

อันโทนี่ : ก็ไม่เบานะ (หัวเราะ) แต่แกจะเป็นคนแบบว่าพูดนิ่งๆ

ใบปอ : คือแกจะเป็นคนที่ดุเพื่อให้เราพัฒนาขึ้น แต่โดยส่วนตัว หนูรู้สึกว่าดีใจที่การแสดงหนังเรื่องแรกมาเริ่มกับพี่ๆ ทีมงานในหนังเรื่องนี้ เพราะว่าไม่ทำให้ตัวเองรู้สึกกดดันขนาดนั้น เนื่องจากทุกคนในกองนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของแต่ละคนหมดเลย อย่างพี่ช่างภาพ พี่สไตลิสท์ ทีมอาร์ทไดเรคเตอร์ ทุกคนที่ว่ามา เริ่มทำงานในแต่ละหน้าที่ครั้งแรกในหนังเรื่องนี้หมด แล้วทุกคนก็ทำได้ออกมาดีมากๆเลย มันเลยไม่ได้ทำให้เรารู้สึกกดดันอย่างที่บอก เหมือนกับมาเริ่มต้นกับหนังเรื่องนี้ด้วยกัน ซึ่งในความใหม่ตรงนี้มันเลยทำให้เราอยากที่จะเต็มที่กับตรงนี้มากๆ

อันโทนี่ : เหมือนกับเราร่วมช่วยกันให้ตัวหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการทำงานไปด้วยกันนะครับ เรามาร่วมกันทำให้ดีกันเถอะ ประมาณนี้


สิ่งที่ได้เพิ่มเติมหลังจากที่ได้เป็นนักแสดงเต็มตัวแล้วคิดว่าคืออะไรครับ

ใบปอ : สำหรับหนูมันหลายอย่างมากเลยนะคะ ทั้งในแง่ของอาชีพนักแสดง คือก่อนหน้านี้เราไม่เคยคิดภาพในการเป็นนักแสดงมาก่อน แต่พอได้มาลองจริงๆแล้ว มันสนุกมาก มันทำให้หนูโตขึ้นมากๆ หนังเรื่องนี้ทำให้หนูก้าวข้ามสิ่งที่กลัวมาโดยตลอด ทั้งเรื่องการขี่มอเตอร์ไซค์หรือการเล่นดนตรี คือเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะทำได้ แต่พอได้ก้าวข้ามตรงนั้นมาแล้ว ก็รู้สึกว่าเราได้โตขึ้นในระดับหนึ่ง รวมถึงในแง่ของการใช้ชีวิตด้วย หมายถึงว่าการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ที่ทำงาน คือถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยแต่พอได้มองย้อนกลับไป มันก็โอเคนะ

อันโทนี่ : ความรู้สึกเดียวกับใบปอเลยครับว่าโดยส่วนตัวเรารู้สึกได้ถึงการเติบโตขึ้นมากๆ เรามีความรับผิดชอบกันมาก เพราะแต่ก่อนเป็นคนที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนรวมถึงเป็นคนที่เฉไฉไปเรื่อย แต่พอได้มาทำงานนี้แล้วก็มีความรู้สึกว่า เราให้ความสำคัญมันมากๆ เลยทำให้เรารู้ว่า เราเป็นคนที่มีด้านที่ตั้งใจและมีแพชชั่น อะไรบางอย่าง ซึ่งต่างจากแต่ก่อนที่จะมีนิสัยอย่างที่บอกนะครับ แต่พอมาทำงานในหนังเรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกถึงการโตขึ้นและมีความรับผิดชอบ แล้วก็ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ด้วย คือเหมือนกับมีคนให้ความรู้สึกเราเต็มร้อย ถ้าเราไม่ให้กลับไป มันก็ไม่ใช่ทีมเวิร์คนะครับ


สมมุติว่าถ้าได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงปีเดียวกับหนังซัก 1 สัปดาห์ อยากจะไปที่ไหนและทำอะไรครับ

ใบปอ : หนูอยากไปย่านสยามสแควร์ เพราะอยากรู้ว่าสยามฯในยุคนั้นจะเป็นยังไง ทุกคนจะชอบพูดถึงทั้งลานน้ำพุร วมถึงที่ต่างๆ ซึ่งหนูไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วสยามในปัจจุบันก็ค่อนข้างที่จะห่างไกลจากยุคนั้นสมควรก็อยากจะลองไปใช้ชีวิตที่สยามดูค่ะ

อันโทนี่ : ถ้าของผมคิดว่าน่าจะเป็นที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส มังครับ เพราะว่าผมเคยเห็นภาพของลีโอนาโด ดิ คาปริโอ เขาเคยโพสต์ภาพตอนที่เขาไปที่นั่นตอนหนุ่มๆ ซึ่งพอเราได้เห็นภาพนั้นแล้วมันดูสวยมาก ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นสถานที่ที่สวยนะในมุมมองของผม


เชื่อว่าหลังจากที่ภาพยนตร์ฉายออกไป จะต้องมีการพูดถึงเราทั้งคู่แน่ๆ ตอนนี้มีการเตรียมรับมือในตรงนี้ยังไงบ้างครับ

ใบปอ : โดยส่วนตัว หนูก็รู้สึกดีใจค่ะเพราะไม่คิดว่าจะมีคนให้ความสนใจเรามากขนาดนี้ ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนด้วยค่ะ แต่ถามว่าถ้าเจอกับตัวแล้วจะรู้สึกยังไงหนูก็คงต้องค่อยๆ ปรับตัวไป ก็คงต้องเป็นไปตามนั้นล่ะค่ะเรา (หัวเราะเบาๆ)

ในมุมนึงหนูก็รู้สึกว่าหนังนี้ก็น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนมากๆ ของชีวิต เพราะเรารู้สึกว่าน่าจะเป็นจุดที่เปลี่ยนไปตลอดกาลก็ว่าได้ ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเรา แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องมีภูมิคุ้มกันในตัวเองค่ะ ว่าเราจะต้องรับมือกับตรงนั้นให้ได้ และจัดการความรู้สึกตรงนั้นให้ได้ ก็น่าจะเป็นเรื่องของการรับการเสพสื่อ หมายถึงว่าเลือกรับเฉพาะคอมเมนต์ดีๆ ถ้าสมมุติว่าเราเจอคอมเมนท์แย่ๆ เราอย่าไปเสียเวลากับตรงนั้นมาก เอาเป็นว่าก็มีความสุขกับคนที่รักเราดีกว่าค่ะ ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ (ยิ้ม) สำหรับหนู ก็รู้สึกว่าเราควรจะใช้ชีวิตให้ง่าย คือพยายามมีความสุขกับตัวเองให้มากๆ แล้วยุคนี้มันเร็วไปหมดค่ะ

อันโทนี่ : ส่วนตัวผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเด็กธรรมดาต่อไป ยังไม่ได้บอกว่าต้องปรับอะไรขนาดนั้น แต่สิ่งที่จะต้องปรับก็คือเราต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนะ มากขึ้นนิดนึงครับ


สิ่งที่อยากทำในอนาคตข้างหน้า ที่นอกจากการเป็นนักแสดง ทั้งคู่อยากจะทำอะไรครับ

อันโทนี่ : ถ้านอกเหนือจากการเป็นนักแสดง มีสิ่งหนึ่งที่อยากทำก็คือการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ขอยกตัวอย่างจากพี่วรรณกับพี่แววครับ พี่ๆ เขาทำหนังฝาแฝดขึ้นมาเพื่อทำให้คนเข้าใจชีวิตการเป็นฝาแฝดมากขึ้น ส่วนตัวผมนั้นก็มีบางเรื่องที่อยากจะนำมาถ่ายทอด มันน่าจะทำมาแล้วคนดูเข้าใจได้เหมือนกัน ถึงจะไม่ใช่ความสัมพันธ์ในแบบฝาแฝด แต่มันก็เหมือนกับมีช่วงเวลาหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ถ้าเอามาทำเป็นหนังได้ เพราะตอนนี้ก็เริ่มที่จะสนใจในศาสตร์ของภาพยนตร์บ้างแล้ว คือมันมีหนังเรื่องนึงที่ผมเคยดูก็คือเรื่อง call me by your name (2017) คือผมชอบความสัมพันธ์ที่มันจริง ทั้งเรื่องภาพแล้วก็เสื้อผ้าในเรื่อง ถ้ามีโอกาสที่จะได้ทำหนังสักเรื่องก็คงอยากทำแบบหนังเรื่องนี้

ใบปอ : ส่วนหนูก็อยากที่จะเปิดคาเฟ่และสตูดิโอ เพราะหนูเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปและแต่งตัวมาก ซึ่งถ้ามีมุมที่ถ่ายรูปเยอะๆ มันคงจะมีความสุข แล้วมันก็สามารถที่จะทำเป็นอาชีพได้ด้วย คือจริงๆ หนูอยากเปิดคาเฟ่แมว เพราะว่าหนูเลี้ยงแมวที่บ้านเยอะ แล้วการถ่ายรูปฟิล์มหนูก็เริ่มถ่ายมาตั้งแต่ ม.2 เรารู้สึกว่ากล้องฟิล์มมันมีเสน่ห์บางอย่างที่ มันไม่เหมือนกับกล้องดิจิตอลค่ะ แล้วกล้องฟิล์มมันมีเสน่ห์ตรงที่ เราเกิดไม่ทันในช่วงที่กล้องฟิล์มกำลังอินเทรนด์ แล้วพอเราได้มาลองถ่ายจริงๆ แล้วรู้สึกว่า แต่ละเฟรมแต่ละรูปที่ถ่ายออกมา มันแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจมากจริงๆ มันมีความสุขในช่วงเวลาที่ลุ้นว่ารูปจะออกมาเป็นยังไง

อย่างบางรูปฟิล์มก็อาจจะเป็นทั้งแบบที่เราคิดและไม่ได้คิดไว้ แต่ความรู้สึกที่เราได้ลุ้นก่อนที่จะเห็นรูป เป็นความรู้สึกที่ดี รู้สึกว่าอารมณ์ของฟิล์มในแต่ละอันก็ไม่เหมือนกัน เวลาที่เราได้ลองในแต่ละอันไปเรื่อยๆก็มีความรู้สึกว่าแต่ละรูปจะเป็นยังไงบ้าง มันทำให้เห็นค่าของรูปใบนั้นด้วย ส่วนอีกความฝันหนึ่งก็คือหนูอยากทำแบรนด์เสื้อผ้าด้วย เป็นแบรนด์ที่มาจากความชอบของเราจริงๆ ว่ามันคือสไตล์จากเราจริงๆ


Profile

ชื่อ สกุล : ธิติยา จิระพรศิลป์
ชื่อเล่น : ใบปอ
วันเกิด : 4 มกราคม พ.ศ. 2548
อายุ : 18 ปี
ส่วนสูง : 167
น้ำหนัก : 45
การศึกษา : ม.6 โรงเรียนศึกษานารี
กรุ๊ปเลือด : เอ
งานอดิเรก : อ่านหนังสือ เรื่องสั้น
ผลงาน : บท “ยู” และ “มี” จากภาพยนตร์ ‘เธอกับฉันกับฉัน’ (2566)


ชื่อ สกุล : อันโทนี่ บุยเซอเรท์
ชื่อเล่น : โทนี่
วันเกิด : 20 กันยายน พ.ศ. 2547
อายุ : 19 ปี
ส่วนสูง : 183
น้ำหนัก : 65
กรุ๊ปเลือด : เอ
ผลงาน : บท “หมาก” จากภาพยนตร์ ‘เธอกับฉันกับฉัน’ (2566)

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ดรงค์ ฤทธิปัญญา



กำลังโหลดความคิดเห็น