“สนธิ” มองการเมือง หลังปราฏการณ์ “จตุพร” แก้ผ้า “ทักษิณ” เปลือยล่อนจ้อนให้เห็นธาตุแท้ เป็นจอมโกหกหลอกใช้คนเสื้อแดง เชื่อหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจับมือพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาล ขอคุมกระทรวงยุติธรรมเื้อนายใหญ่กลับบ้าน “บิ๊กป้อม-อนุทิน” มีโอกาสนั่งนายกฯ มากสุดด้วยเงื่อนไขปัจจุบัน ส่วน ปชป. “จุรินทร์-เฉลิมชัย” จะอ้อนวอนขอร่วมรัฐบาลนั่งคุมกระทรวงเดิม
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ให้มุมมองต่อสถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง และกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ปัจจุบันเป็นวิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้จัดรายการทางเฟซบุ๊กไลฟ์ร่วมกับ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา เปิดเผยเบื้องหน้าเบื้องหลังของนายทักษิณ ชินวัตร หลายๆ เรื่องเป็นการยืนยันว่าเรื่องที่คนเคยสงสัยเกี่ยวกับตัวนายทักษิณนั้นเป็นความจริง และสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อนายทักษิณ ชินวัตร และ พรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้ ประเด็นเบื้องหน้าเบื้อหลังของนายทักษิณที่นายจตุพรนำมาเปิดเผยสรุปย่อได้ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง "เพื่อไทย” หาเสียงชู “ทักษิณกลับบ้าน" คือชัยชนะในระยะสั้น แต่แพ้ในระยะยาว จะนำไปสู่การรัฐประหารเช่นเดิม
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 นายจตุพร กล่าวว่า ในการเลือกตั้งใหญ่ 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้ การที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงด้วยการชูเรื่องพาทักษิณกลับบ้าน จะเป็นการซ้ำเติมหายนะให้ประเทศ เพราะแม้ว่าในการเลือกตั้งที่จะมาถึง พรรคเพื่อไทยถึงจะได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็จะเป็นแค่ชนะระยะสั้นเท่านั้นเอง จึงขอเตือนว่าต้องไม่โกง ไม่ลุแก่อำนาจ และต้องไม่คิดว่าประเทศนี้ตัวเองเป็นเจ้าของ จะทำอะไรก็ได้ โดยยิ่งได้รับคะแนนมากเท่าไรก็หลงใหลว่าตัวเองมีอำนาจมากเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า อำนาจมากเป็นเรื่องชั่วคราว จึงมาบอกให้พรรคเพื่อไทยสงสารประชาชนบ้างกับการพาประชาชนไปแพ้ทุกครั้ง แล้วโทษแต่เรื่องยึดอำนาจแต่ฝ่ายเดียว
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าของประชาธิปไตย คนจะสรรเสริญว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ที่ผ่านมากลับประกาศว่า คนที่ย้ายพรรค ออกจากพรรคเพื่อไทย เป็นคนทรยศ เป็นพวกงูเห่า ไปไล่หนู ตีงูเห่า ที่ศรีสะเกษ แต่กลับเปิดตัวคนที่ย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ เข้าพรรคเพื่อไทย รับอดีตเลขาธิการพรรคไทยภักดี ผู้ร่วมชุมนุม กปปส. มาเข้าพรรคเพื่อไทย และขอโทษว่าไปสังเกตการณ์ และเละเทะไปกว่านั้นคือ การที่พรรคเพื่อไทยจัดพิธีต้อนรับคนจากพรรคก้าวไกล
ประเด็นที่สอง “ทักษิณ” หลอกใช้คนเสื้อแดงมาหาเสียง หวังจะชนะแบบแลนด์สไลด์
นายจตุพร ยังเปิดเผยด้วยว่าปี 2554 หลังการต่อสู้ นายทักษิณ บอกให้พี่น้องเสื้อแดงถอดเสื้อแดงออก ไม่ต้องใส่แล้ว พี่น้องพายเรือมาส่งตนเองถึงฝั่งแล้ว ไม่ต้องตามมาอีก ซึ่งความจริงก็คือถีบหัวเรือเลย หลังจากนั้นมาการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ใช้กระบวนการเสื้อแดงในการหาเสียงเลย แต่มาครั้งนี้พรรคเพื่อไทยต้องการเสียงแลนด์สไลด์ ก็ปลุกคนเสื้อแดงขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนปลุกผีที่เคยถูกทอดทิ้งขว้างไปแล้ว และคงเพิ่งนึกได้ว่าเวลาอยาก ก็ต้องการ เมื่อไม่อยาก ก็ทิ้งขว้างไป
นายจตุพร พูดต่อว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่ได้เรียกร้องหาความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงในการชุมนุมปี 2553 เลย คดีก่อการร้ายที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องนั้น จำเลยที่ 1 คือ นายทักษิณ ส่วนตัวเองเป็นจำเลยที่ 3 แต่อัยการกลับไม่ฟ้องทักษิณ ที่ผ่านมา ตนคบกับนายทักษิณ เพราะคิดว่าทำถูกต้อง เหมือนที่เคยบอกว่า เสียงปืนนัดแรกจะมา แต่ตอนสลายเสื้อแดง ยังไม่กลับมาเลย ดังนั้น การนำการต่อสู้ ภาวะผู้นำสำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าประชาชนตายได้ ผู้นำก็ต้องตายได้เช่นกัน เมื่ออยู่ในสนามรบ ต้องเคารพให้เกียรติกัน ตนก็กล้ำกลืนในวันที่ทักษิณอธิบายเรื่องพายเรือมาส่ง ไม่ต้องตามมา ขอไปเอง เป็นคำพูดที่ทิ่มแทงคนเสื้อแดง เพราะเชื่อว่าจะได้กลับบ้าน จึงยอมทุกอย่าง
นายสนธิกล่าวว่า จริงๆ แล้วพรรคเพื่อไทยไม่ได้ถือโอกาสนี้หลอกเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยการปลุกกระแสเสื้อแดงขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการเปลี่ยนโลโก้เป็นสีแดง คิดคำว่า "แลนด์สไลด์" เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งที่จะมาถึงเท่านั้น แต่นโยบายต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยคิดออกมา คิดอยู่บนพื้นฐานที่คนทั่วไป ประชาชนคนไทยเขาเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคเพื่อไทยเลยกระทืบซ้ำ พล.อ.ประยุทธ์ โดยออกนโยบายชวนเชื่อ
เรื่องแรก คำว่า "แลนด์สไลด์” เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อ เป็นภาษาการตลาด เพราะถ้าแลนด์สไลด์จริง กระแสแรงจริง ทำไมมี ส.ส. บุคลากรตัวกลั่นๆ ไหลออกจากพรรคหมด ที่เข้ามาเป็น ส.ส.นกแล ยิ่งกว่านี้ นายจตุพรออกมาแฉธาตุแท้ของนายใหญ่ กับคนตระกูลชินวัตร คนที่อยู่พรรคเพื่อไทยทำไมไม่ออกมกาเถียงว่าไม่จริง ส่วนคนที่คิดจะไปอยู่พรรคเพื่อไทย ก็ต้องคิดหลายตลบแล้วว่า ตัวเองจะถูกหลอกใช้เหมือนคนอื่นๆ ในอดีตหรือเปล่า แล้วอย่างนี้จะให้แลนด์สไลด์ได้อย่างไร
อีกเรื่องคือประเด็นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนเดือนปริญญาตรีให้ถึง 25,000 บาท ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยเสนอค่าแรงขั้นต่ำแบบต้มตุ๋นล่วงหน้า 5 ปี หลอกคนไทยล่วงหน้า 5 ปี โดยบอกว่าจะขึ้นให้ในปี 2570 เข้าข่ายหลอกลวงประชาชนจริงๆ ต่อให้เป็นรัฐบาลในช่วง 4 ปีข้างหน้า ก็ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรง เงินเดือนปริญญาตรี GDP โตปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ รถไฟตั๋วร่วม 20 บาทตลอดสาย
สรุปแล้วใครที่ฝันจะได้ค่าแรงวันละ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท โรงเรียนสองภาษาทุกท้องถิ่น ยาเสพติดต้องหมดไป รถไฟความเร็วสูงเชื่อมไทย-จีน-สิงคโปร์ ต่อให้เคลิ้มหรือฝันกลางวันอย่างไรก็ตาม แต่ต้องรู้ว่า ต้องรออีก 2 รัฐบาล ต้องเลือกตั้งอีก 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย นี่คือการตอแหลทางการเมือง เล่ห์กลทางการเมือง เป็นชั้นเชิงในการโฆษณาหาเสียง คนไหนที่ตามไม่ทันก็หลงเชื่อว่าจะได้เร็วๆ นี้
ประเด็นที่สาม ดีลลับระหว่าง “ทักษิณ” กับ “บิ๊กป้อม”
วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 นายจตุพร กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพยายามผูกขาดประชาธิปไตยจนเละเทะไปหมด พยายามชูคำขวัญเป็นพรรคนักประชาธิปไตย ใครย้ายออกจากพรรค คึอ ทรยศ เป็นเผด็จการ ใครย้ายเข้ามา เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งพฤติกรรมนี้ใช้ไม่ได้ เพราะตัวเองยังทรยศลูกน้องได้ ทรยศใครก็ได้ แต่ใครจะมาทรยศตัวเองไม่ได้ แล้วมาอ้างความเป็นประชาธิปไตย ถือเป็นหลักการที่รับไม่ได้
นายจตุพร มองว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงนั้น พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง แต่อยู่ในสภาพที่เอาตัวเองไม่รอด เพราะในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่งราชการใครก็ไม่ได้ การออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอย ก็เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่ฟังใคร สุดท้ายประชาชนก็ติดคุก 8 ปี วันนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วน ถึงไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ปกครองประเทศ แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ปรับปรุงพฤติกรรม ก็ให้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าจะซ้ำรอยเดิมอีก
นายจตุพร พูดต่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาประกาศตัวท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่พรรคเพื่อไทยไม่ตอบว่าจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ในใจแล้ว ทักษิณ กับพรรคเพื่อไทย แอบคุยกันมานานแล้ว อยากจับมือกับพลังประชารัฐใจแทบขาด เพราะต้องการเอาประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ได้คิดที่จะเอาประชาชนเป็นใหญ่
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา นายจตุพร กล่าวว่า ฝ่ายทักษิณ ส่งคนดีลลับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอใช้บริการนำพากลับบ้าน เพื่อแลกกับการร่วมจับมือกับพรรคพลังประชารัฐตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง นี่คือเหตุผลที่จตุพร ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะถือว่าหลอกลวง ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ถ้าพรรคเพื่อไทย ต้องการจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ ต้องพูดให้ชัด ไม่จับมือก็ต้องพูดให้ชัด
ประเด็นที่สี่ ยุครัฐบาลเพื่อไทย “รัฐมนโท” คุม “รัฐมนตรี”
นายจตุพร พูดว่า คนในพรรคเพื่อไทย จะกล้าปฏิเสธหรือเปล่า ที่ผ่านมามีการใช้ "รัฐมนโท" สั่ง "รัฐมนตรี" ว่าต้องทำกันอย่างไร ต้องไปติดคุกอย่างไร ถ้านักการเมืองฝั่งเพื่อไทยยังไม่เลิกพฤติกรรมเหล่านี้ ก็โดนอีก ประเทศไทยนี้ไม่ใช่ให้ใคร หรือตระกูลใด จะมาทำอะไรก็ได้ แล้วอย่าเอาความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจของประชาชนมาทรยศ
คำว่า เคารพประชาชน เสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ เป็นลมปาก ในวันเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็คืนให้ในปี 2570 คนละ 600 บาท แต่ความน่ากลัวและหายนะมากที่สุด คือความสัมพันธ์ของทุนใหญ่ที่เป็นคนกลาง ระหว่าง คนเก่า กับ ว่าที่คนใหม่
นอกจากนี้แล้ว นายจตุพร ยังพูดถึงเรื่อง "รัฐมนโท" ด้วยว่า ให้ไปถามรัฐมนตรีที่ออกจากพรรคเพื่อไทยแล้วไม่คิดกลับพรรคเพื่อไทยอีกว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีสามารถสั่งการปลัดกระทรวง อธิบดี ได้จริงหรือไม่
มีรัฐมนตรีปรับทุกข์ว่าทำอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าอำนาจที่แท้จริงในกระทรวงนั้น รัฐมนตรีไม่มี แต่อธิบดีมี อธิบดีนั้นขึ้นกับเจ๊หมด เจ๊คนไหนก็ไม่รู้ รัฐมนตรีแค่นั่งกินข้าวให้หมดไปวันๆ ให้รัฐมนตรีเซ็นหนังสือ แล้วเอาไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ รัฐมนตรีจึงต้องติดคุก แล้วยังมีตกค้างถูกดำเนินคดีอีกหลายคน
หลอก “บุญทรง” และ “ภูมิ” ไปติดคุก - หักหลัง “สมัคร สุนทรเวช”
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 นายจตุพร กล่าวถึงถึงคดีจำนำข้าว ว่า ความอำมหิตของฝ่ายเดียวกันคือการบอกให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ไปฟังคำตัดสินของศาล ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนนี้เตรียมหาคอนโดมิเนียมไว้ที่ประเทศกัมพูชา โดยจะไปแวะที่กัมพูชาก่อน ก่อนจะไปประเทศที่สาม บางคนซื้่อบ้านเตรียมไว้ที่อังกฤษก็มี แต่สุดท้าย คนที่หนีกลับกลายเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปต่างประเทศเสียเอง ทิ้งลูกน้องให้ต้องติดคุก
นายจตุพร ยังเปิดเผยถึงกรณีสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ด้วยว่า นายสมัครถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทำผิดกรณีจัดรายการทำกับข้าวออกโทรทัศน์ แต่ไม่ขาดคุณสมบัติ สามารถกลับมาเป็นนายกฯ ได้ แต่ถูกเล่ห์เพทุบายของพรรคพลังประชาชน ไม่บอกตรงๆ ว่าจะไม่ให้เป็นนายกฯ อีก วันที่ทิ้งนายสมัครไป ยังไปประจานที่สภาฯ ลวงล่อว่า ยังสนับสนุนให้เป็นนายกฯ แต่ไม่ให้เข้าห้องประชุม จนนายสมัครรู้ว่าถูกเล่นงานแล้ว แววตานายสมัคร วันนั้นใจสลาย หลังจากนั้นอาการป่วยก็ทรุด ไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาก่อนจะถึงแก่อสัญกรรม
นายจตุพร เปิดใจด้วยว่า หลังปี 2553 ในส่วนตัว การต่อสู้ของตัวเองต้องกล้ำกลืนเลือด แต่ต้องสู้ทั้งที่ใจสลายมานานแล้ว และมีชะตากรรมไม่แตกต่างกัน เพราะคนที่เล่นงานคือคนที่เรารัก เทิดทูน เอาชีวิตไปถวายหัว จะถูกฆ่าตายวันไหนก็ไม่รู้ จากนั้นหลายปีผ่านมา ตนถอยออกมา ชีวิตต้องติดคุกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเกิดรัฐประหารก็ยังสู้ เปิดหน้าวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ และ 3 ป.มาตลอด แต่พูดเกี่ยวข้องกับทักษิณ น้อยมาก
สรุปความได้ว่า นายทักษิณจริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นนักต่อสู้ แต่ตัวจริงเป็นพ่อค้า คิดเรื่องกำไร คิดถึงเกมตลอดเวลา การสลายคนเสื้อแดงไม่มีใครสลายได้ ถ้าทักษิณไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ประเด็นที่ห้า “จตุพร” เปิดหมดเปลือก ชุมนุมเสื้อแดงปี 53 มีแผนถล่มเวทีราชประสงค์ สั่งเก็บแกนนำ
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2566 นายจตุพรพูดในการไลฟ์เฟซบุ๊ก ชื่อตอน "หน้าไหว้หลังหลอก" เล่าถึงเหตุการณ์เสื้อแดงชุมนุมกลางแยกราชประสงค์เมื่อปี 2553 ว่า เนื่องจากในขณะนั้น ทราบแผนของการเลือกตั้งใหม่แล้ว ทำให้ตนเห็นว่าควรจะยุติการชุมนุมคนเสื้อแดง มิฉะนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดได้ แต่กลับมีคนซึ่งเป็นเจ้าของเวที ไม่เห็นด้วย
นายจตุพร บอกว่าจะมีการยึดเวที พูดง่ายๆ คือ จะมีรัฐประหารเวทีหลังจากแกนนำผู้ปราศรัยชุดหลักขึ้นไปกล่าวยุติการชุมนุมแล้วก็จะมีแกนนำอีกชุดมายึดเวที แล้วพอชุดนี้ สถานการณ์จะตึงเครียด และความตายจะมากกว่าเดิม ทั้งนี้ เจ้าของเวทีที่จ่ายค่าเวที ก็คือนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องการให้ยุติเวที โดยตั้งแกนนำชุดใหม่เตรียมมายึดซ้อน มันมีการวางแผนซ้อนเวทีอยู่แล้ว แล้วคนที่ทำได้คือคนเดียว พอประชุมเสร็จ ตนได้รับโทรศัพท์ตามที่คิดไว้จากนายทักษิณ โทรมาว่า หยุดเวทีได้อย่างไร แล้วผมจะได้อะไร
คำพูดของนายจตุพร ระบุว่า ที่พูดมาตอนนี้ เพื่อจะบอกว่าหลายปีต่อมา มีคนทำงานคนสำคัญอีกชุดหนึ่งชุดซ้อนยึดเวทีมาเล่าให้ฟังว่า วันนั้น 19 พฤษภาคม มีการวางแผนกันว่าจะยิงถล่มเวทีขณะที่ขึ้นกล่าวยุติการชุมนุม แต่มีอะไรบางอย่างทำให้เขาไม่ตัดสินใจทำ อีกทั้งการซ้อนยึดเวที ตนได้ยินเช่นกันว่า มีการร้องขอจากฝ่ายเดียวกันให้จัดการกับตนเอง ก็คือให้ฆ่าจตุพร พรมหันธุ์ เสียด้วยซ้ำไป หากมีการยึดเวทีซ้อน จะเกิดเหตุการณ์ตายเป็นเบือ เพราะทักษิณบอกเองว่าเขาไม่ได้อะไร ยุติเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้อะไรเลย ต้องไม่ยุติ เป็นเกมอำมหิต
“ทักษิณ” ลั่นกลับไทยแน่ ไม่ต้องพึ่งพรรคไหน เหน็บ “จตุพร” เป็น “ตู่เห่า”
วันอังคารที่ 24 มกราคม 2566 นายทักษิณ ชินวัตร ได้ร่วมสนทนาผ่านแอปพลิเคชัน คลับเฮาส์ มีเรื่องคาใจก็ถามมา ช่วงหนึ่ง ทักษิณ พูดถึงเรื่องการกลับประเทศไทย ว่าขออภัยที่เคยพูดว่าจะกลับ พ.ศ.ที่แล้ว ได้พยายามอย่างยิ่ง ไปทำออกซิเจนให้เสร็จก่อนสิ้นปีเพื่อกลับให้ทัน แต่สถานการณ์ลูกเขามีความห่วงใยเรื่องความปลอดภัย ก็เลยยังกลับไม่ได้ แต่อย่างไรก็จะกลับ อยู่เมืองนอกมานาน พวกใส่ร้ายป้ายสีก็เพิ่มขึ้น รวมทั้งผู้กล่าวหาทางคดี เพราะฉะนั้นกลับไปคิดว่า ถ้ากลับไป จะไม่อาศัยนักการเมืองใดๆ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย อาศัยหัวใจตัวเอง “อุ๊งอิ๊ง” จะเป็นคนประกาศว่าจะกลับเมื่อไร อย่างไร รับรองว่าไม่มีการออกกฎหมาย อย่าไปคิดว่าจะเกี้ยเซียะกับพลังประชารัฐ เพื่อจะขอกลับ ไม่มี
นายทักษิณ ยังได้เปรียบเปรยนายจตุพร ว่าเป็น "ตู่เห่า" (เลียนเสียง “ตู้ห่าว”) หลังจากมีคนถามว่ากรณีรายจตุพรออกมาวิพากษ์วิจารณ์ โดยนายทักษิณบอกว่ามีคนเรียกหลายชื่อ ว่า แม้ว ทักษิณ โทนี่ คิดว่าจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ตู่เห่า" ตลอด 16 ปี ตนโดนเห่ามาตลอด ใครนึกอะไรไม่ได้ก็เห่าตนไว้ก่อน ทักษิณ บอกว่า มีการแก้กฎหมายฟ้องหมิ่นประมาท ใครอยู่นอกประเทศฟ้องร้องไม่ได้ ตนไม่ได้อยู่ในประเทศ คนกล่าวหาตนเพราะรู้ว่าฟ้องไม่ได้ จึงโดนประจำ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็เฉยๆ โดนมาเยอะ
นายสนธิ ให้ข้อมูลในประเด็นนี้ว่า กรณีแก้กฎหมายให้คนที่ไม่อยู่ในประเทศฟ้องร้องไม่ได้นั้น สมเหตุสมผลแล้ว เพราะตนเคยโดนนายทักษิณฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทร่วม 20 คดี ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศ ให้ตัวแทนรับมอบอำนาจมากล่าวคำฟ้องร้อง พอทนายของตนซักตัวแทน ตัวแทนก็ตอบว่าไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นแค่ผู้รับมอบอำนาจ ด้วยเหตุนี้ศาลก็เลยเห็นว่าถ้าคนที่อยู่ต่างประเทศแล้วไม่มายื่นฟ้องด้วยตัวเอง เป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกฟ้องซึ่งมีสิทธิในฐานะจำเลยที่จะซักถามโจทก์ที่ฟ้อง แต่เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้คนอื่นมาพูด พอถูกซักเขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องเพราะเขามีหน้าที่แค่รับมอบอำนาจ นี่คือเหตุผลที่ทำไมศาลบอกว่าถ้าหากอยู่ต่างประเทศไม่สามารถกลับมาขึ้นศาลได้ก็ไม่สามารถจะฟ้องได้
“จตุพร” ซัด “ทักษิณ” ถ้าผมเป็นหมา ท่านก็เป็นหัวหน้าหมา
วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ พูดถึงกรณีนายทักษิณตั้งฉายาให้ตนเองว่าตู่เห่า เปรียบเทียบว่าเป็นหมา ว่า “ผมกับนายทักษิณ ปราศรัยเวทีเดียวกัน ไม่ว่าจะช่วงอยู่ประเทศไทย และผ่านวิดีโอลิงก์ ต่างกรรมต่างวาระมายาวนาน ถ้าการพูดของผมเป็นการเห่าบนเวทีนี้ ท่านก็ร่วมเห่ากับผมด้วย ถ้าผมเป็นหมา ท่านก็เป็นหมา ท่านอาจจะเป็นหัวหน้า เป็นจ่าฝูงหมา ถ้านับบรรดาศักดิ์ในบรรดาหมู่หมาด้วยกัน”
ดีลลับ พปชร.-เพื่อไทย
นายสนธิได้วิเคราะห์การเมืองในภาพรวมในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าว่า พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย จะได้เสียงเหลื่อมๆ กัน ไม่ตัดกันแรง เพราะอีกฝั่งจะตัดแรงกว่า และเชื่อว่าแกนนำฝ่ายต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย ได้ตกลงแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงกันไว้หมดแล้ว อย่างน้อย นายทักษิณ ชินวัตร ถ้าได้ร่วมรัฐบาล ก็จะขอคุมกระทรวงยุติธรรม ราชทัณฑ์ ดีเอสไอ แล้วแก้ระเบียบพักโทษ อภัยโทษ ให้กับพรรคพวกตัวเองอย่างแน่นอนที่สุด
ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ส.ส.ที่ไปอยู่รวมที่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตอนนี้มีแต่ ส.ส.นกแล คือไม่มีเสียงของตัวเอง เป็น ส.ส. หน้าใหม่ คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานการเมือง ไม่ได้มีเส้นสายหรือสืบสายจากนักการเมืองรุ่นก่อน
พรรคประชาธิปัตย์จะถดถอยลงอย่างมาก ปัจจุบันเหลือแค่คนใกล้ชิดนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เท่านั้น ในการเลือกตั้งคราวนี้ มองว่าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรต้องขอเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย ขอให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นั่งอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์เหมือนเดิม และนายเฉลิมชัย นั่งอยู่กระทรวงเกษตรฯ เหมือนเดิม คนอื่นในพรรคไม่ได้รัฐมนตรี เขาไม่ว่า ขอให้ได้เข้าร่วมเถอะ ไม่มีอีกแล้วอุดมการณ์
ส่วนแคนดิเดตนายกฯ นายสนธิมองว่าปัจจุบันพยายามมีการชูตัวเลือก 3-4 พรรค “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ แต่ด้วยเงื่อนไขทางการเมือง ณ ปัจจุบัน ตัวเลือกที่แท้จริงมีอยู่แค่ 2 คน คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เท่านั้น สังเกตว่าช่วงหลัง พล.อ.ประวิตร ฟิตมาก ปาดหน้าไปหาเสียง ทั้งราชบุรี เยาวราช รวมทั้งที่อื่น อีกทั้งพยายามปรับภาพลักษณ์ให้ดูซอฟต์ลง เข้าถึงง่าย ใส่กางเกงยีนส์ ใส่เสื้อแจ๊กเก็ต ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงความแข็งกระด้าง และหยิ่งยะโสโอหังเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังเป็นที่สังเกตว่า ช่วงหลังพรรคเพื่อไทยลดโทนการโจมตีเรื่องกัญชาในสภาฯ เพราะอาจจะรู้ตัวว่าถ้าเป็นรัฐบาลจะขาดภูมิใจไทยไม่ได้ ก็เลยเงียบๆ เพราะอาจจะรวมกับภูมิใจไทย ซึ่งดีกว่ากับก้าวไกลที่เอาแต่ชูมาตรา 112 ก็เลยเดินแคมเปญ “รักก้าวไกลให้เลือกเพื่อไทย”
“คาดการณ์ว่าหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกล จะเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน อาจจะมีพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งอาจจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมคิดว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีทางเลือก พรรคประชาธิปัตย์โดยการนำของจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และ เฉลิมชัย ศรีอ่อน จะพร้อมที่จะร่วมกับพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย อย่างแน่นอนที่สุด”นายสนธิกล่าวทิ้งท้าย