องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เตือนฝุ่นละออง PM 2.5 กระทบต่อพัฒนาการทางสมองและสุขภาพของเด็ก สร้างความเสียหายให้เซลล์สมอง พัฒนาการทางสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้บกพร่อง แนะหากจำเป็นต้องออกข้างนอกใส่หน้ากากกันฝุ่น รับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีวิตามิน C, E สารต้านอนุมูลอิสระ และโอเมกา 3 สูง
วันนี้ (3 ก.พ.) องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้เปิดเผยผลกระทบของมลพิษในอากาศต่อพัฒนาการทางสมองและสุขภาพของเด็ก ระบุว่า ฝุ่นควันขนาดเล็กจากมลพิษในอากาศ หรือ PM 2.5 มีขนาดเล็กกว่าความกว้างของเส้นผมมนุษย์ถึง 25 เท่า ขณะที่หายใจเข้าฝุ่นขนาดเล็กนี้ก็เข้าสู่ร่างกายทางจมูกและปาก อากาศไหลผ่านทางเดินหายใจและในที่สุดก็ไปถึงถุงลมซึ่งเป็นถุงอากาศเล็กๆ ในส่วนลึกที่สุดของปอด ฝุ่นขนาดเล็กที่สุดเมื่อเข้ามาในปอด แทรกตัวผ่านถุงลม เข้าสู่กระแสเลือด และเคลื่อนตัวไปยังอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย และส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะเหล่านี้
อวัยวะสำคัญที่ได้รับผลกระทบได้แก่ ปอด ระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจและสมองที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา สมองจะพัฒนาได้เร็วที่สุดในช่วงแรกเกิด แต่การพัฒนาจะมีต่อเนื่องตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่น และมีบทบาทสำคัญในเรื่องความจำของเด็ก ความสนใจระยะสั้น การควบคุมอารมณ์ และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อเข้าไปถึงสมองของเด็กที่กำลังพัฒนา ฝุ่นละอองจะเข้าไปสร้างความเสียหายให้เซลล์สมอง ผลก็คือความบกพร่องในพัฒนาการทางสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้ที่อาจมีผลร้ายแรงตามมาต่อสวัสดิภาพและศักยภาพในการทำงานตลอดช่วงชีวิต
ฝุ่นละอองอาจจะสะสม ซึ่งก่อให้เกิดการเสื่อมของระบบประสาทในช่วงปลายของชีวิต นอกจากจะสร้างความเสียหายให้แก่สมองแล้ว มลพิษในอากาศยังอาจทำให้ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ตลอดช่วงชีวิตอีกด้วย ซึ่งรวมถึงสมองขาดเลือด ปอดบวม โรคหลอดเลือดหัวใจแข็ง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มะเร็งปอด ปกป้องลูกหลานของคุณจากมลพิษทางอากาศโดยอยู่ภายในอาคารเมื่อมลพิษในอากาศสูง หากจำเป็นต้องออกข้างนอก ใส่หน้ากากกันฝุ่น ติดตั้งเครื่องกรองอากาศที่บ้านหากเป็นไปได้ รับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีวิตามินซีและอีและสารต้านอนุมูลอิสระ โอเมกา 3 สูง
อ่านประกอบ : หนังสือ "เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM 2.5" จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย