xs
xsm
sm
md
lg

“เสือสมิง” ไสยศาสตร์ในตำนาน เสือแปลงร่างเป็นคน คนกลายเป็นเสือ! ที่มาของอำเภอเขาสมิง!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



“เสือสมิง” เป็นเรื่องไสยศาสตร์เวทมนต์คาถาในสมัยโบราณที่ร่ำลือกันมานาน กล่าวกันว่า เสือสมิงก็คือเสือที่เคยกินคนมามาก จึงถูกวิญญาณคนที่ถูกกินเข้าสิง จนสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ บ้างก็ว่าเสือสมิงเป็นคนนี่เอง แต่แก่กล้าคาถาอาคมจนสามารถแปลงร่างเป็นเสือได้ บ้างก็เรียกประเภทคนเป็นเสือนี้ว่า “เสือเย็น” และมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเสือสมิงทั้งสองประเภทนี้ไว้มาก ร.๕ ก็ทรงเล่าไว้

เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า มีพรานหนุ่มคนหนึ่งออกไปนั่งห้างล่าสัตว์ในตอนกลางคืนขณะที่เมียกำลังท้องแก่ กลางดึกคืนนั้นก็มีคนมาตามถึงห้างส่องสัตว์บอกว่าเมียเจ็บท้องกำลังจะคลอด เมื่อพรานหนุ่มคนนั้นลงมาจากต้นไม้ คนที่มาตามก็กลายร่างเป็นเสือตะปบพรานกิน

แต่เสือสมิงก็ไม่ได้เก่งกว่าคนเสมอไป เจอเอาคนที่มีคาถาอาคมแก่กล้า เสือสมิงก็ต้องวิ่งหนีเหมือนกัน เล่ากันว่า ปู่กับหลานเข้าไปหาของป่าจนถลำลึกหลงป่าหาทางออกไม่ได้ ใกล้ค่ำปู่ได้ยินเสียงใบไม้กลอบแกลบอยู่ข้างหลังเหมือนมีอะไรตามมา เมื่อหยุดฟังเสียงนั้นก็หายไป ปู่จึงพาหลานปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้ใหญ่ หวังว่าเช้าค่อยหาทางออกจากป่าจะปลอดภัยกว่า กลางดึกคืนนั้นอากาศเย็นและวังเวง ขณะที่ปู่กำลังจะเคลิ้มหลับ ได้ยินเสียงใบไม้กลอบแกลบที่พื้นดินอีก จึงปลุกหลานให้ตื่นระวังตัว หลานมองไปตามเสียงเห็นผู้หญิงคนหนึ่งดูเหมือนแม่ของตนมายืนอยู่โคนต้นไม้ แล้วร้องบอกว่า “แม่มาตามหนูกลับบ้าน ลงมาหาแม่เร็ว” หลานก็ดีใจขยับจะลงไป ปู่รีบคว้ามือไว้แล้วบอกว่า “นั่นไม่ใช่แม่แกหรอก” ว่าแล้วก็เสกใบไม้ขว้างไปยังหญิงคนนั้น พลันก็มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวด พยายามจะปีนต้นไม้ขึ้นมาให้ได้ ปู่จึงเสกใบไม้ขว้างไปอีก หญิงคนนั้นจึงกลายร่างเป็นเสือ คำรามร้องด้วยความเจ็บปวดแล้ววิ่งหนีหายไป

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของชาวไทยพวน เล่าเรื่องของคนกลายเป็นเสือไว้ว่า มีเจ้าอาวาสวัดหนึ่งอายุมากแล้ว เป็นคนเรียนวิชาอาคมแก่กล้า และเป็นคนไม่ชอบอาบน้ำ แต่ก่อนก็มีพระเณรและเด็กวัดอาศัยอยู่ด้วยหลายคน ต่อมาก็หายไปทีละคนจนเหลือเจ้าอาวาสเพียงองค์เดียว วันหนึ่งมีพ่อค้าคนหนึ่งเดินทางมาจากในเมืองไปขออาศัยวัดนอน ชาวบ้านเตือนว่าเจ้าอาวาสวัดนี้เล่นคาถาอาคมมากให้ระวังตัว พ่อค้าถือดีว่าตัวเองก็มีคาถาอาคมเหมือนกันจึงไปขอนอนในวิหาร เจ้าอาวาสก็มาคุยอยู่ด้วยจนค่ำจึงกลับกุฏิ พอตกดึกเจ้าอาวาสก็มาตะโกนถามว่าหลับหรือยัง ไม่หลับก็ออกมาคุยกันหน่อย พ่อค้ารู้ทันจึงไม่ออกไป แล้วเอาตอกไม้ไผ่ที่จักไว้มาสานเป็นรูปวัว ทำพิธีเสกคาถาให้เป็นวัวธนู ครู่ใหญ่เจ้าอาวาสก็เรียกอีก พ่อค้าไม่ยอมตอบ และได้ยินเสียงคล้ายเสืออยู่หน้าประตูวิหาร ก็รู้ว่าเสือเย็นออกล่าเหยื่อแล้ว จึงปล่อยวัวธนูออกไป มีเสียงวัวต่อสู้กับเสืออย่างดุเดือด ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเสือร้องอย่างเจ็บปวดขณะที่วิ่งหนีไป รุ่งเช้าออกไปดูก็เห็นเสือตัวหนึ่งนอนตายอยู่ไม่ไกลวิหาร และหลังวิหารก็พบกองกระดูกคนและสัตว์เป็นจำนวนมาก

เรื่องของเสือเย็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นตำนานของอำเภอเขาสมิงในจังหวัดตราด กล่าวว่า เขาเล็กๆลูกหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ ๓ กม. ซึ่งเป็นต้นเหตุให้อำเภอทุ่งใหญ่ซึ่งตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นอำเภอเขาสมิงในวันนี้ ว่ามีชายคนหนึ่งหมกมุ่นในเรื่องคาถาอาคม ได้ทำพิธีเสกของไสยศาสตร์ขึ้น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเรียกว่า น้ำมันสมิง เมื่อนำมาทาตัวจะทำให้กลายเป็นเสือสมิงได้ กับอีกอย่างคือน้ำมนต์ เพื่ออาบร่างเสือสมิงให้กลับเป็นคน ต่อมาเขามีความแค้นเพื่อนคนหนึ่งถึงกับต้องการฆ่า จึงเอาน้ำมันสมิงทาตัว แต่ก่อนจะทาได้นำน้ำมนต์ไปให้ภรรยาไว้ บอกว่าถ้ามีเสือเดินมาหาให้เอาน้ำมนต์นี้สาดลงบนตัวเสือ เขาก็จะกลับเป็นคนตามเดิม ครั้นล้างแค้นเพื่อนได้สำเร็จกลับมาหาภรรยา แต่พอภรรยาเห็นเสือก็ตกใจ มือสั่นทำขันน้ำมนต์ตกหกหมด เขาจึงกลับเป็นคนไม่ได้ เกิดความเสียใจอย่างมาก นั่งร้องไห้จนตายกลายเป็นภูเขา ผู้คนเรียกกันว่า เขาสมิง มาจนถึงวันนี้
อีกตำนานกล่าวเป็นคนละเรื่องเลยว่า ภูเขาลูกนี้แต่ก่อนเป็นที่อยู่ของผู้แก่กล้าคาถาอาคม จนไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้คนในหมู่บ้านได้ต้องหนีมาปลีกวิเวก มีชายคนหนึ่งเชื้อสายเขมร ชื่อว่า สมิง มีวิชาแปลงร่างเป็นเสือสมิง แต่ก่อนมาหมกมุ่นในไสยศาสตร์ก็เป็นคนถือศีลไม่กินเนื้อสัตว์ เมื่อเป็นเสือสมิงจึงเป็นเสือที่ไม่กินเนื้อ แต่ก็เกิดความว้าเหว่อยากเจอเพื่อนมนุษย์ จึงใช้เถาสะบ้าซึ่งเป็นเถาวัลย์อย่างหนึ่งโหนตัวข้ามแม่น้ำตราดไปร่วมกับชาวบ้านฝั่งตรงข้ามที่ลานนวดข้าวตอนกลางคืนเป็นประจำ ในชุดมีผ้าคาดพุง ถือไต้สำหรับจุดไฟอันใหญ่ไว้ในมือ ซึ่งชาวบ้านก็ต้อนรับอย่างอบอุ่นในวงเหล้า แต่สังเกตเห็นความแปลกบางอย่างของเขา คือเป็นคนไม่มีเงา และต้องมีไต้ไว้ข้างตัวเสมอ เมื่อออกไปรำวงในลานนวดข้าวก็ต้องคว้าไต้เหน็บผ้าคาดพุงไปด้วย อีกทั้งเสียงหัวเราะของเขายังกระหึ่มเกินเสียงคน และไม่มีใครเคยเห็นบ้านของเขา
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสมิงมาที่หมู่บ้านนี้ พืชพันธุ์ธัญญาหารได้ผลดีกว่าที่เคย บางปีที่ฝนตกหนักน้ำป่าหลาก สมิงก็จะเตือนชาวบ้านให้รู้ล่วงหน้า ปีที่ฝนแล้งสมิงก็จะเตือนให้กักเก็บน้ำไว้ใช้ มีความห่วงใยชาวบ้านเหมือนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน

ต่อมามีสำเภาค้าลำหนึ่งเข้ามาในแม่น้ำตราด เสากระโดงได้เกี่ยวกับเถาสะบ้าที่สมิงใช้โหน ทำให้เรือผ่านไปไม่ได้ นายเรือจึงสั่งให้ตัดเถาสะบ้าออก ทันใดก็มีเสียงคำรามขึ้น ท้อง สฟ้ามืดมัวลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพายุก่อตัวขึ้น ก่อคลื่นลูกใหญ่ซัดสาดสำเภาจนพลิกคว่ำ

จากวันนั้นชาวบ้านก็ไม่พบกับสมิงอีก นอกจากจะได้ยินเสียงโหยหวนคล้ายเสียงของเสือมาจากฝั่งตรงข้าม ชาวบ้านต่างอาลัยโหยหาสมิง ชายไม่มีเงา ผู้ไม่เคยปรากฏตัวในเวลากลางวัน และไร้บ้าน จึงร่วมกันสร้างศาลเล็กๆไว้ที่ริมตลิ่งเถาสะบ้า และทำพิธีบวงสรวงเชิญวิญญาณสมิงให้สถิต
 
ในการเสด็จประพาศต้นป่าเมืองจันทบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชนิพนธ์ถึงความเชื่อเรื่องเสือสมิงของผู้คนในแถบนี้ว่า

“...ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิงกันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวกลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัวเข้า กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นเขาจะเอาลูกของเขา จึงมาเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบปะเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤๅมิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลับเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังไม่ทันกินคน รังควานทับเสียแล้ว ถึงจะทำวิธีที่บอกก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้...”

ความเชื่อเรื่องคนกลายเป็นสัตว์นี้ไม่ใช่มีเฉพาะชาวตะวันออกเท่านั้น ชาวตะวันตกก็เคยเชื่อในเรื่องนี้เช่นกัน อย่างเชื่อกันว่าด้วยอำนาจเวทมนต์ มนุษย์สามารถแปลงร่างเป็นหมาป่าได้ในคืนพระจันทร์เต็มดวง และไม่ใช่แค่หมาป่าเท่านั้น เป็นเสือ หมี สิงโต แมว และสัตว์อีกหลายประเภท อย่างรูปประกอบครึ่งเสือครึ่งคนในเรื่องนี้ เป็นภาพเขียนของชาวตะวันตกใน ค.ศ. ๑๗๖๓ จากวิกิพีเดีย
ปัจจุบัน ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ที่ขัดกับหลักความเป็นจริงนี้ เป็นสิ่งที่คนสมัยใหม่ไม่ยอมรับกันแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น