xs
xsm
sm
md
lg

สัมพันธ์ 3 ป.จาก “รัก Forever” สู่ “ร้าว Forever” “พี่ป้อม-น้องตู่”ทางใครทางมัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” มองความสัมพันธ์ส่วนตัว 3 ป.ยังเคารพกันอยู่ แต่ผลประโยชน์ทางการเมือง “ประยุทธ์-ประวิตร” ต่างเดินทางเดินทางใครทางมันกันแล้ว หลัง “บิ๊กตู่” จัดอีเวนต์ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ รทสช. ขณะ “บิ๊กป้อม” ออก จม.ตัดพ้อพร้อมลั่นวาจานำ พปชร.เป็นแกนนำรัฐบาล และจะร่วมได้กับทุกขั้ว โดยมี 250 ส.ว.ในมือเป็นข้อต่อรอง

ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง เกี่ยวกับพี่น้อง 3 ป. ที่ส่งแรงสะเทือนทางการเมืองที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะต่อการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กรณีเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จัดอีเวนต์ใหญ่ ประกาศตัวเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค เหมือนเป็นการประกาศแยกตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อย่างเป็นทางการ


ถัดมาอีก 4 วัน วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566 พล.อ.ประวิตร ออกจดหมายเปิดใจผ่านเพจเฟซบุ๊ก "พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ" มีเนื้อหาแทรกความระหว่างบรรทัด ระบุว่า ถึงแม้จะย้ำความสัมพันธ์พี่น้องอย่างแนบแน่น แต่ความระหว่างบรรทัดบ่งชัดว่าจำเป็นต้องเป็นคู่แข่ง และทั้งคู่ใส่สองเท้าคอนเวิร์สไปแล้ว คือเดินไปทางใครทางมัน

ใจความตอนหนึ่งของจดหมายบอกเอาไว้ว่า "ในช่วงเวลาของการเป็นแกนนำรัฐบาล มีทั้งเรื่องที่ผมเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจใน ครม.แต่จำเป็นต้องสงวนท่าทีตามมารยาททางการเมือง ประกอบกับยังไม่มีอะไรชัดเจนว่ามติในเรื่องใดๆ จะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นกับบ้านเมือง มาบัดนี้ ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ แสดงจุดยืนทางการเมืองเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ว่าจะแยกทางจากพรรคพลังประชารัฐที่เคยสนับสนุนขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ตรงกับที่สื่อมวลชนไปสืบข่าวมาก่อนหน้านี้ ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นพรรคสำรองให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ผมเคยกล่าวไว้ว่า '3 ป. Forever' มาวันนี้ ผมก็ยังมีความรู้สึกเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในเมื่อท่านตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ผมก็ไม่สามารถจะบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ คงจะบอกได้เพียงว่า ผมขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางการเมืองใหม่ที่ท่านได้ตัดสินใจเลือกแล้ว สำหรับผม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขอประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะขอรับผิดชอบและจะไม่มีวันทอดทิ้งสมาชิกพรรคทุกคน ที่เคยทำงานการเมืองมาด้วยกัน และพร้อมจะเดินนำทุกคนที่มีความเชื่อมั่นในความตั้งใจอันแน่วแน่ของผม เข้าสู่การเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป เพื่อกลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารบ้านเมืองอีกครั้ง"


พล.อ.ประวิตร ประกาศชัดว่า มีเป้าหมายอยู่ที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ทางเดินข้างหน้าของพี่น้อง "2 ป." จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ะต้องเป็นคู่แข่งที่ต่างคนต่างต้องดำเนินการในแนวทางของตัวเองเพื่อไปสู่จุดหมาย

นายวิรัช รัตนเศรษฐ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเวลานี้เป็นแกนนำสำคัญข้างกาย พล.อ.ประวิตร ย้ำด้วยว่า ลุงป้อม เป็นโซ่ห่วงกลางที่สามารถเชื่อมได้กับทุกๆ ฝ่าย

นายสนธิกล่าวว่า ลึกๆ แล้วในเชิงความสัมพันธ์ส่วนตัว เชื่อว่า "3 ป." ยังเคารพกันอยู่ แต่เรื่องผลประโยชน์นั้น ทางใคร-ทางมัน สิ่งที่ พล.อ.ประวิตร ทำนั้นไม่ผิด เพราะต่างฝ่ายต่างน้อยใจกัน ต่างฝ่ายต่างมีคนรอบตัว คนรอบตัว พล.อ.ประวิตร ก็มีคนที่ พล.อ.ประยุทธ์ เกลียด ไม่ว่าจะเป็นน้องชายคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ หรือ ผู้กองธรรมนัส ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ชัดแล้วว่าจะกลับมาซบพรรคพลังประชารัฐแน่นอน ดูจากอีเวนต์ที่ พล.อ.ประวิตร ขึ้นเหนือไปปราศรัยที่ลำปาง และ พะเยา เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา ตอนที่ พล.อ.ประวิตร ขึ้นเวทีปราศรัยที่้จังหวัดพะเยา ผู้กองธรรมนัส พร้อมด้วย ส.ส. ในกลุ่ม ได้ถือพวงมาลัยขึ้นไปบนเวที จากนั้นก็คุกเข่า มอบพวงมาลัย และยกมือไหว้ พล.อ.ประวิตร จังหวะนั้น นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ถือไมค์เป็นโฆษกบนเวที ก็ประกาศว่า "เวลานี้ลุงป้อมเปรียบเหมือนพ่อ วันนี้ลูกกลับมาบ้าน มาช่วยพาบ้านพลังประชารัฐให้เข้มแข็งและแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจังหวัดพะเยา ยกทีม ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้เลยว่า ลูกๆ กลับมาบ้านแล้ว พ่อดีใจมากเลยครับ หุงข้าวไว้รอเลย" คนหนึ่งกำลังหามือทำงาน ก็คือ พล.อ.ประวิตร อีกคนหนึ่งก็ไม่มีที่ไป ก็คือ ร.อ.ธรรมนัส แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าพลังประชารัฐได้รับ ร.อ.ธรรมนัส กับบรรดา ส.ส. กลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้ระหกระเหินไปพรรคโน้นพรรคนี้อยู่เป็นปี


กลับมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ในเมื่อทีมงานแต่ละฝ่ายเกลียดกัน "2 ป." ก็เลยต้องใส่คอนเวิร์ส และสุดท้าย พรรคพลังประชารัฐ ของ พล.อ.ประวิตร ก็อาจจะออกมาในแบบที่ ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาล “ต้องมีกูร่วมด้วย” เพราะอย่างน้อยที่สุด เสียงของวุฒิสมาชิกจำนวน 250 เสียง ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า อย่าคิดว่าแลนด์สไลด์ ได้เก้าอี้ 251 เสียงขึ้นไปแล้วจะสามารถก้าวขึ้นสู่นายกรัฐมนตรีได้ เพราะในความเป็นจริง ถ้าจะเป็นนายกฯ คุณต้องมีเสียง ส.ส. + ส.ว. ถึง 376 เสียง จากทั้งหมด 750 เสียง มิฉะนั้นจะไม่มีสิทธิ์ แล้วใครเป็นคนกุมเสียงของ ส.ว. 250 เสียงอยู่


กำลังโหลดความคิดเห็น