“ยิงปืนขึ้นฟ้า” เป็นธรรมเนียมของพวกคะนองปืนโดยไร้ความรับผิดชอบมาแต่โบราณกาล ไม่สนใจว่าจะทำให้ใครตกอกตกใจ หรือลูกปืนจะหล่นใส่กบาลใคร แม้จะมีคนที่รับเคราะห์ในเรื่องนี้มามากแล้ว บ้างเดินอยู่บนถนนดีๆ ก็ถูกกระสุนหล่นลงมาโดนหัว คนนอนอยู่ในบ้านถึงตายก็มีมาแล้ว แต่พวกคะนองปืนไร้ความคิดก็ยังไม่รับรู้ พอถึงเทศกาลหรืองานเฉลิมฉลองก็ต้องควักปืนขึ้นมายิงขึ้นฟ้า บางงานรัวกันเป็นร้อยนัด ไม่คำนึงว่าลูกปืนจะไปหล่นลงที่ไหน ในสมัยโบราณคนพวกนี้ถูกจับไปเฆี่ยนแล้วเอาไปแห่ประจานทั้งทางบกทางเรือไม่ให้คนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง จากนั้นก็เอาไปเข้าคุก สมัยนี้โทษก็หลายกระทง ถ้าทำให้คนตายคนคะนองก็กลายเป็นฆาตกรไปทันที ต้องติดคุกหลายปี ทั้งยังต้องรับผิดชอบความเสียหายในคดีแพ่งอีก จากความคะนองไร้สติ
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ก็ยอมให้มีการยิงปืนเอาฤกษ์เอาชัยหรือขับไล่สิ่งชั่วร้าย แต่ต้องแจ้งกับทางการก่อน เรียกว่า “บอกศาลา” ถ้าไม่แจ้งก็ถือว่าเป็นความผิด สมัยรัชกาลที่ ๔ มีประกาศใน พ.ศ.๒๔๑๐ เรื่อง “ตั้งผู้จับคนยิงปืนในแขวงกรุงเทพฯ ซึ่งมิได้บอกปากเสียง” มีความตอนหนึ่งว่า
“...ถ้าผู้ใดบังอาจยิงปืนในเพลากลางวันกลางคืน ไม่บอกปากเสียง ให้จับเอาตัวคนที่ยิงปืนมาส่งให้ผู้รับสั่ง ...”
เมื่อมีประกาศเป็นกฎหมายแล้วก็ต้องมีการใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ดังมีคดีว่า นายกล่อม บุตรหลวงฤทธิสำแดง เจ้ากรมฝรั่งปืนใหญ่ ให้หมื่นนิพนธอักษรมาบอกศาลาว่าจะขอทำงานปีที่วัดฝรั่งปากคลองผดุงกรุงเกษมข้างใต้ จะมีจุดดอกไม้ไฟ ๓ ตับ และดอกไม้ไฟอื่นๆอีก แต่ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้ยินเสียงปืนด้วยอีกหลายนัด จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียรให้เอาตัวนายกล่อมกับหมื่นนิพนธอักษรมาชำระไล่เลียง เพราะขอแต่จุดดอกไม้ไฟไม่มียิงปืน
ต่อมาในวันรุ่งขึ้นเวลาย่ำค่ำแล้ว ทรงได้ยินเสียงปืนอีกครั้งหนึ่ง จึงดำรัสสั่งให้กรมพระนครบาลไปสืบหา พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมืองได้ตัว อ้ายไช อ้ายเท้ง ๒ คนมาถามได้ความว่า อ้ายไช อ้ายเท้ง อ้ายแหยม อ้ายเกด ๔คน คบคิดกันเอาดินตับพลุใส่กระบอกไผ่จุดไฟยิงเล่นแทนปืนที่ลานหน้าวัดสุทัศนเทพวนาราม ทรงพระดำริว่า บัดนี้ชะรอยคนพวกนี้จะเมา ได้ยินเสียงปืนฝรั่งยิง ก็ชะรอยจะคิดว่าฝรั่งเมาสุรายิงปืนเล่นได้ ก็พลอยยิงเล่นบ้าง เข้าใจว่าไม่มีใครว่าได้แล้ว ดังนี้เป็นเหตุให้ผู้อื่นดูอย่างต่อๆไป การก็จะไม่สงบลง จึงทรงดำรัสให้กรมพระตำรวจเอาตัวนายกล่อม หมื่นนิพนธอักษร อ้ายไช อ้ายเท้ง อ้ายแหยม อ้ายเกด ๖ คน ไปลงพระราชอาญาเฆี่ยนคนละ ๕๐ ทีในที่ยิงปืนนั้น แล้วให้ตระเวนบก ๓ วัน ตะเวนเรือ ๓ วัน เพื่อจะมิให้มีผู้ดูเยี่ยงอย่าง จากนั้นให้เอา ๕ คนไปจำไว้เพราะมีโทษมาก ส่วนนายกล่อมฝรั่งให้ปล่อยตัวไป เพราะการยิงปืนในวัดฝรั่งเคยทำมาแต่ก่อน ไม่สู้ผิดนัก
ยุคนั้นฝรั่งมีบารมีมากหน่อย แต่ก็ถูกเอามาเฆี่ยนแล้วแห่ประจานเหมือนกัน
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการยิงปืนเล่นกันอีก ดังพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงกรมหมื่นภูธเรศธำรงศักดิ์ เสนาบดีกรมพระนคร เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๕ มีความว่า
“...ด้วยเวลาก่อนทุ่ม ฉันได้ยินเสียงปืนทางแม่น้ำไม่ตกใจอันใด แต่การยิงปืนกันในแม่น้ำนี้เปนที่รำคานใจมานมนานหนักหนา ได้สั่งพระยาราชรองเมืองให้ห้ามก็ไม่เห็นว่าได้ห้ามตลอดไป เจ้าพระยาภาณุวงษก็ได้ร้องถึง ๒ ครั้งว่าเป็นที่น่ากลัวหวาดหวั่น แลเป็นเหตุให้คนทั้งปวงชินไปเสีย เหตุการณ์อันใดก็จะไม่เป็นที่สังเกตที่จะได้มาช่วยกัน การที่จะห้ามยิงปืนขึ้นเป็นการขัดข้องอย่างไรอยู่ฤา ถ้าห้ามได้ก็ห้ามเสียให้ขาด ธรรมเนียมบอกศาลาก็มีมาแต่ปุรมโบราณ แต่เจ้าพนักงานละเลยเสีย จนไม่มีใครถือธรรมเนียมมาช้านานแล้ว...”
แม้ในขณะนั้นผู้คนยังเบาบาง ที่ว่างยังมีมาก แต่กระสุนปืนที่ยิงตกใส่คนก็ยังมี เรื่องหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในบันทึกว่า เมื่อคืนวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๔๔๔ เวลา ๒ ทุ่ม คนในบ้านพระยาอนุชิตชาญไชยที่อยู่ริมแม่น้ำฝั่งธนบุรีแถวปากคลองสาน ได้ใช้ปืนยิงค้างคาวบนต้นไม้ กระสุนข้ามฟากมาตกท้ายเรือกลไฟของฝรั่งที่จอดอยู่หน้าธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ ปากคลองผดุงกรุงเกษม ลงบนโต๊ะที่กัปตันกำลังนั่งคุยกันอยู่ท้ายเรือ จึงได้แจ้งไปยังสถานกงสุล กงสุลแจ้งไปยังกระทรวงต่างประเทศ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคมต่อมาว่า
“เรื่องยิงปืนกันเลอะๆ เทอะๆ ไม่มีกำหนด ชุกชุมหนักขึ้นเช่นนี้ เธอจะคิดอ่านห้ามปรามอย่างไรไม่ได้แล้วหรือ”
จนถึงวันนี้เรื่องยิงปืนกันเลอะๆ เทอะๆ ก็ยังไม่จบ ทั้งๆที่กฎหมายก็กำหนดโทษไว้หลายกระทง เช่น
การยิงปืนขึ้นฟ้าแล้วกระสุนตกลงมาทำให้คนอื่นบาดเจ็บ ทรัพย์สินเสียหาย จำคุกไม่เกิน ๓ ปี ปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้ากระสุนตกทำให้คนอื่นเสียชีวิต มีโทษจำคุกไม่เกิน ๑๐ ปี ปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท
ทั้งยังมีแถมข้อหาพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีใบอนุญาตให้มีอาวุธติดตัว จำคุกไม่เกิน ๕ ปี ปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท
ยิงปืนขึ้นฟ้าแม้นัดเดียวก็เหมาหมดไปทุกกระทง
แต่วันนี้ก็ยังมีคนคะนองโดยไม่กลัวกฎหมาย มีคนต้องรับเคราะห์จากความไร้สตินี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเดินอยู่ตามถนนหรือนอนอยู่ในบ้าน เลยอยากจะอัญเชิญพระราชหัตถเลขามาถามอีกครั้งว่า
“เธอจะคิดอ่านห้ามปรามอย่างไรไม่ได้แล้วหรือ”