“อะไรจะโง่เขลาขนาดนั้น และเป็นความไม่รักชาติที่น่าอับอายสำหรับสหรัฐ” อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทีขย่มประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ตกลงยอมแลกตัว วิกเตอร์ บูท เจ้าของฉายา “พ่อค้าแห่งความตาย” สัญชาติรัสเซีย ผู้เป็นต้นเหตุทำให้ผู้คนเสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นล้านๆในสงครามกลางเมือง กับบริตนีย์ ไบรเนอร์ ดาราบาสเกตบอลหญิงของสหรัฐเจ้าของเหรีญทองโอลิมปิก ๒ สมัย ผู้พกน้ำมันกัญชา ๓ ขวดเข้ารัสเซีย
วิกเตอร์ บูท เป็นใคร องค์การสหประชาชาติจึงประกาศว่าเขาเป็นบุคคลอันตราย และฮอลลีวูดนำเรื่องราวของเขาไปสร้างเป็นภาพยนตร์ในเรื่อง “LORD OF WAR” ก่อนจะมาถูกจับในไทย
วิกเตอร์ บูท เป็นอดีตนักบินของกองทัพอากาศสหภาพโซเวียต มียศนาวาตรี ต่อมาเข้าสังกัดหน่วยข่าวกรอง ทำงานในหลายประเทศที่โซเวียตมีงานใต้ดิน เมื่อมิคาอิล กอร์บาชอฟ ประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต เปลี่ยนนโยบายยุติสงครามเย็น ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลายแตกออกไปเป็นหลายประเทศ ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ ธงชาติของสหภาพโซเวียตเหนือเครมลินถูกชักลง แล้วชักธงชาติรัสเซียขึ้นแทนที่ ทหารจำนวนล้านถูกปลดประจำการเพราะจะไม่มีการทำสงครามอีก ส่วนอาวุธที่สะสมไว้เต็มอัตราในช่วงทำสงครามเย็นกองอยู่เต็มโกดังทั่วไปหมด กลายเป็นของเกะกะ รัฐบาลรัสเซียแสดงท่าทีว่าไม่อยากมีภาระในการเก็บ ใครอยากได้ก็เอาไป
เรื่องนี้สะดุดความสนใจของอดีตสายลับที่ชื่อวิกเตอร์ บูท เขาเริ่มลำเลียงอาวุธเหล่านี้ไปยังประเทศต่างๆที่เคยไปทำงานใต้ดินและยังมีสงครามเข่นฆ่ากันอยู่ ลูกค้ารายแรกก็คือกลุ่มติดอาวุธในอาฟกานิสถานซึ่งกำลังต่อต้านอิทธิพลของอเมริกา พอมีเงินซื้อก็เครื่องบินของกองทัพอากาศรัสเซียที่จอดทิ้งมาได้ ๒ ลำ ดัดแปลงเป็นเครื่องบินขนส่ง ทำมาค้าขึ้นจึงซื้ออีก ๓๐ ลำ เปิดเป็นสายการบินขนส่งในชื่อ AIRCEES ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐอาหรับอามิเรตส์
เพียงเปิดได้ไม่นาน บริษัทของวิกเตอร์ บูทก็มีลูกค้ามากจนแซงหน้าทุกบริษัทที่รับขนส่งทางอากาศอยู่ในขณะนั้น นอกจากราคาถูกกว่าแล้วยังไม่มีข้อจำกัดว่าจะให้ขนสินค้าประเภทไหน และส่งถึงทุกแห่งที่ลูกค้าต้องการไม่ว่าจะทุรกันดารหรือเสี่ยงภัยแค่ไหน องค์การสหประชาชาติล่วงรู้ถึงงานเบื้องหลังของวิกเตอร์ บูท จึงขึ้นบัญชีเขาเป็นบุคคลอันตราย ห้ามเดินทางระหว่างประเทศ แต่ก็น่าแปลกใจที่บุคคลสำคัญในวงการเมืองของสหรัฐ อย่างบริษัทที่มีนายดิก ชีนีย์ อดีตรองประธานาธิบดีสมัยจอร์ช บูทผู้พ่อ เป็นผู้บริหาร ก็ใช้บริการของเขา รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองกำลังสันติภาพของสหประชาชาติเองก็ใช้บริการของบูทในการเดินทางไปในแดนทุรกันดารและส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ แม้แต่รัฐบาลสหรัฐก็จ้างให้เขาขนทหารอเมริกันและยุทโปกรณ์ไปทำสงครามกับอิรัค
สายการบินของบูทบินไปเกือบทุกทวีปที่มีสงครามกลางเมืองและสงครามล้างเผ่าพันธุ์ ทั้ง อาฟกานิสถาน โคลอมเบีย เลบานอน เซียร่า เลโอน ไลบีเรีย ซูดาน คองโก รวันดา ฯลฯ อาวุธที่ส่งไปมีตั้งแต่ปืนเล็กยาว ระเบิดแสวงเครื่อง จนถึงปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน บางแห่งสงครามทำท่าว่าจะสงบลง แต่เมื่อเครื่องบินของบริษัท AIRCEES บินไปถึงสงครามก็กลับรุนแรงขึ้นอีก และหลายกลุ่มในจำนวนนี้ก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายในการต่อต้านอเมริกา ในปี ๒๕๔๑ สถานทูตสหรัฐในเคนยาและเทนซาเนียถูกวางระเบิด มีคนตายถึง ๒๒๔ คนรวมทั้งคนอเมริกัน ทางการสหรัฐจึงต้องการหาตัวผู้ที่ขายอาวุธให้กับพวกหัวรุนแรงนี้ให้ได้
อังกฤษก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ส่งทหารเข้าไปมีบทบาทในอาฟริกา และถูกซุ่มโจมตีจากพวกก่อการร้ายในเซียร์ราลีโอน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงต่างประเทศอังกฤษซึ่งรับผิดชอบด้านทวีปอาฟริกา สืบทราบว่าอาวุธที่พวกก่อการร้ายนำมาโจมตีทหารอังกฤษนั้น ซื้อมาจากคนขายที่ชื่อ วิกเตอร์ บูท ซึ่งตรงกับผู้ที่ขายให้รายอื่นๆ เขาจึงเรียกวิกเตอร์ บูทว่า “Merchant of Death” “พ่อค้าแห่งความตาย” และจะต้องหาทางยุติบทบาทของเขาให้ได้ ก่อนที่ความรุนแรงจะมากไปกว่านี้
ในปี ๒๕๔๗ ประธานาธิบดี จอร์ช บุชผู้ลูก ก็ลงนามในคำสั่ง Executive Order ให้ตามจับวิกเตอร์ บูทให้ได้ ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดกับการคุกคามชีวิตพลเมืองอเมริกัน
ประเทศที่มีสงครามกลางเมืองหรือมีกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นประเทศยากจนทั้งนั้น แต่กลับมีเงินซื้ออาวุธมีจำนวนมหาศาล หลายกลุ่มหาเงินเพื่อการนี้จากการค้ายาเสพติด รัฐบาลสหรัฐจึงมอบหน้าที่ในการตามจับวิกเตอร์ บูทให้ “สำนักงานปราบปรามยาเสพติด” Drug Enforcement Administration หรือ DEA. เป็นผู้ดำเนินการ
บูทก็รู้ตัวดีจึงเก็บตัวอยู่แต่ในรัสเซีย ฝ่ายอเมริกาจึงวางแผนล่อให้เขาออกมาให้ได้ โดยสร้างเรื่องว่า “กองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ต่อต้านรัฐบาลโคลอมเบีย” ในทวีปอเมริกาใต้ ที่มีชื่อย่อว่า FARC ซึ่งทำธุรกิจค้าโคเคน ต้องการซื้ออาวุธเป็นจำนวนมากเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลที่มีอเมริกาหนุน
ส่วนนกต่อนั้น ดีอีเอ.สืบทราบว่า แอนดรู สมูลเลี่ยน ชายผิวขาวชาวอาฟริกาใต้ ซึ่งได้พบกับบูทในงานโชว์อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเป็นผู้เปิดตลาดอาฟริกาให้บูท ยังติดต่อกันทางโทรศัพท์กับอีเมล์กันอยู่ ตอนนั้นแอนดรูอายุ ๖๘ ปีแล้วและกำลังยากไร้ จึงยอมให้ความร่วมมือที่จะเป็นนกต่อล่อเมื่อได้รับการทาบทาม
สำหรับนกต่ออีกราย ดีอีเอ.กำหนดตัว ไมค์ สโนว์ ชาวคองโก ผู้เคยร่วมงานกับวิกเตอร์ บูท ซึ่งไมค์ก็ให้ข้อมูลกับ ดีอีเอ.และยอมเป็นนกต่อด้วย
คนสำคัญที่จะเข้าเจรจากับบูทครั้งนี้ก็คือ คาร์ลอส โทโร อดีตนายทหารของขบวนการฟาซ ซึ่งแยกตัวจากฟาซมาเป็นสายลับให้ ดีอีเอ. สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ถูกอุปโลกน์ให้เป็นเจ้าหน้าที่ขนส่งและลำเลียงของฟาซ โดยมีข้อตกลงว่าหากว่างานนี้สำเร็จจับวิกเตอร์ บูทได้ คาร์ลอสจะได้เงินตอบแทนถึง ๗ ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนอีกคน ๑ ในจำนวน ๔ คนที่จะเข้าพบกับบูท ชื่อ ริคาโด ถูกอุปโลกน์ให้เป็นผู้บัญชาการคนหนึ่งของฟาซ ซึ่งจะแสดงเป็นผู้ตัดสินใจในการตกลงซื้ออาวุธครั้งนี้
สำหรับประเทศที่จะเปิดการเจรจานั้น จะต้องเป็นประเทศที่ให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการร่วมกับ ดีอีเอ. อันดับแรกได้เสนอประเทศในยุโรปตะวันออกซึ่งเป็นเขตอิทธิพลเก่าของสหภาพโซเวียต คือโรเมเนีย แต่บูทรู้ว่าตอนนี้โรเมเนียหันไปซบอเมริกาแล้วจึงปฏิเสธ เสนอไปอีกหลายแห่งก็ไม่เป็นที่ตกลงกัน ในที่สุดก็เสนอกรุงเทพฯ ซึ่งบูทเอ่ยถึงว่าเคยมาในงานมหกรรมขนส่งทางอากาศ บูทเลยยอมตกลง
การเจรจากำหนดขึ้นในวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๑ ที่ห้องประชุมชั้น ๒๐ ของโรงแรมโซฟิเทล โรงแรมหรูย่านสีลม ใจความในการเจรจาคือฝ่ายฟาซต้องการอาวุธอะไรบ้าง จำนวนเท่าไร แต่เมื่อเจรจาไป ๙๐ นาที ตำรวจไทยร่วมกับฝ่ายปราบปรามยาเสพติดสหรัฐก็กรูกันเข้ามา วิกเตอร์ บูทเตรียมใจไว้แล้วว่าวันหนึ่งก็คงต้องพบเรื่องนี้ จึงมีใบหน้าเรียบเฉย กล่าวแต่เพียงว่า “GAME OVER!”
ในวันที่บูทถูกจับนั้น วิกเตอร์ บูทมีอายุ ๔๑ ปี และคาดว่าเขามีทรัพย์สินจากการค้าอาวุธถึง ๖ พันล้านดอลล่าร์ หรือราว ๒.๑ แสนล้านบาท
เกมของบูทจบแล้ว แต่เกมของฝ่ายจับยังไม่จบ สหรัฐอเมริกาเรียกร้องจะขอตัววิกเตอร์ บูทไปดำเนินคดีในสหรัฐ เพราะมีความผิดฐานคุกคามชีวิตคนอเมริกัน ส่วนฝ่ายรัสเซียก็เป็นที่รู้กันว่าในรัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งแต่ประธานาธิบดีปูตินลงไปหลายคนมาจาก เคเจบี.เช่นเดียวกับวิกเตอร์ บูท จึงยอมให้เขาตกไปอยู่ในมือของสหรัฐไม่ได้ เรียกร้องที่จะขอตัววิกเตอร์ บูทไปดำเนินคดีในรัสเซีย ไทยจึงตกอยู่ในฐานะลำบากใจ จะไปข้างไหนก็มีแต่เสีย จึงใช้กฎหมายเป็นทางออก
บูทถูกนำตัวขึ้นศาลอาญากรุงเทพฯในวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ ศาลได้ตัดสินว่าคดีนี้เป็นคดีการเมือง เพราะขบวนการฟาซเป็นขบวนการทางการเมือง จึงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน นอกจากนี้โจทก์ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าจำเลยร่วมมือกับขบวนการฟาซ มีแต่ข้อหาลอยๆ จึงยกคำร้อง ให้ปล่อยตัวจำเลยเป็นอิสระภายใน ๗๒ ชั่วโมง
สหรัฐไม่พอใจกับคำตัดสิน มีข่าวว่า ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้โทรศัพท์สายตรงถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แสดงความไม่พอใจกับการตัดสินที่ว่าฟาซเป็นขบวนการทางการเมือง จึงขอให้ส่งตัววิกเตอร์ บูท ไปอเมริกตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยังเรียกตัวนายดอน ปรมัตถฺวินัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันเข้าพบ
แต่ก่อนจะครบ ๗๒ ชั่วโมงที่ต้องปล่อยตัววิกเตอร์ บูทตามคำตัดสินของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็ตัดสินเป็นที่สิ้นสุดในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ให้ส่งตัววิกเตอร์ บูทไปดำเนินคดีในสหรัฐอเมริกา
ในทันทีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียก็เรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงมอสโควเข้าพบ แสดงความไม่พอใจ และแถลงข่าวกับนักข่าวทั่วโลกว่า ศาลไทยไม่ได้ยึดกฎหมาย แต่เป็นการเมือง ถูกแรงกดดันอย่างสูงจากต่างชาติ แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นชาติใด
อัยการสหรัฐยื่นฟ้องวิกเตอร์ บูทต่อศาลนิวยอร์คในข้อหาก่อการร้าย ระบุว่าบูทได้บอกกับสายลับของ ดีอีเอ.ที่ปลอมตัวเป็นสมาชิกฟาซว่า เขาจะขายจรวดแซมให้ขบวนการฟาซ ๗๐๐-๘๐๐ ลูก กระสุนปืนเป็นล้านๆนัด พร้อมปืนอาก้า เครื่องบินขนส่ง ๒ ลำ และเครื่องบินไร้คนขับ เพื่อทิ้งระเบิดทำลายสถานีเรด้าที่สหรัฐสร้างไว้ในโคลอมเบีย ในที่สุดวิกเตอร์ บูทถูกตัดสินจำคุก ๒๕ ปี
ฝ่ายรัสเซียยังไม่ละความพยายาม หลังจากวิกเตอร์ บูทติดคุกสหรัฐมา ๑๑ ปี รัสเซียก็มีข้อเสนอ ขอแลกตัวบูทกับ บริตนีย์ ไกรเนอร์ ดาวดังบาสเก็ตบอลหญิงของสหรัฐ ซึ่งถูกจับในรัสเซียด้วยข้อหาครอบครองยาเสพติด คือน้ำมันกัญชา ๓ ขวด กับ พอล วีแลน นาวิกโยธินสหรัฐ ที่ถูกจับข้อหาสอดแนม แต่ ชีรา เอ. ไชน์ดริน อดีตผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีบูท คัดค้านอย่างเต็มที่ อ้างว่าไม่เห็นด้วยที่จะแลกตัวนักค้าอาวุธที่สังหารคนมามากมาย กับคนที่มีแค่กัญชาเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ทำร้ายใครเลย ข้อเสนอของรัสเซียเลยตกไป
แต่วันนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนยอมแล้ว แลกตัววิกเตอร์ บูทกับบริตนีย์ ไกรเนอร์เป็นที่เรียบร้อยที่สนามบินในอาบูดาบี ถิ่นสายการบิน AIRCEES ของบูทนั่นเอง
นี่แหละรัฐบาลอเมริกัน ทำทุกอย่างได้แบบหน้าตาเฉย และคัดค้านทุกเรื่องของคนอื่นที่ตัวไม่อยากให้ทำ