1.ก.อ.เสียงข้างมากมีมติเห็นพ้อง อสส. ลดโทษ "อัยการ ช.ช้าง" ฐานเปลี่ยนความเร็วรถ "บอส" ซิ่งรถหรูชน ตร.ดับ จากไล่ออกฯ เป็นให้ออกจากราชการ ยังรับบำนาญได้!
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา มีวาระสำคัญคือ การพิจารณาลงมติผลการสอบสวนวินัยร้ายเเรงนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม หรืออัยการ ช.ช้าง อดีตอัยการอาวุโส ซึ่งอยู่ในห้องเปลี่ยนความเร็วรถยนต์ คดีที่นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหาคดีขับรถยนต์หรูชน ดต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ สังกัด สน.ทองหล่อเสียชีวิต เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย 2555 โดยนายชัยณรงค์ถูกกล่าวหาว่า ให้คำแนะนำในการกำหนดความเร็วรถยนต์คันดังกล่าวไม่เกิน 80 กม./ชม.
(ขณะที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ที่มี พ.ต.ต.ธนสิทธิ แตงจั่น เป็นผู้ตรวจสอบความเร็วของรถนายวรยุทธ ได้ส่งข้อมูลให้พนักงานสอบสวน ระบุว่า ความเร็วของรถอยู่ที่ 177 กม./ชม.)
ทั้งนี้ นายชัยณรงค์ได้ลาออกจากราชการไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งต่อมาที่ประชุม ก.อ.ได้ มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงนายชัยณรงค์ โดยผลการสอบสวนวินัยร้ายแรง คณะกรรมการอัยการเห็นว่า การกระทำของนายชัยณรงค์เป็นความผิดตามที่ถูกกล่าวหาในกรณีที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขเวลาความเร็วของรถและไม่ทุ่มเทให้ราชการ เนื่องจากขณะที่เข้าไปมีส่วนในการแก้ไขเวลาความเร็วของรถ อยู่ในเวลาทำงานราชการ คณะกรรมการเห็นว่า การกระทำเป็นความผิดวินัยร้ายแรง เสนอให้ลงโทษไล่ออกจากราชการ ซึ่งเป็นบทลงโทษขั้นสูงสุด
ด้านสำนักงาน ก.อ.พิจารณาเเล้วเห็นว่า เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง เห็นควรงดความดีความชอบ 3 ปี พร้อมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณา
ต่อมา น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุดพิจารณาเเล้วเห็นว่า การกระทำของนายชัยณรงค์เป็นความผิดวินัยร้ายแรง แต่เนื่องจากนายชัยณรงค์ไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย หรือถูกตั้งกรรมการสอบวินัยและอุทิศตนเพื่อราชการมาตลอด ยกเว้นกรณีนี้ จึงเห็นควรลดโทษ จากไล่ออกจากราชการ เป็นให้ออกจากราชการ
โดยเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ก.อ.มีมติเสียงข้างมากเห็นด้วยกับบทลงโทษของอัยการสูงสุด คือให้นายชัยณรงค์ออกจากราชการ แต่ยังสามารถรับบำนาญได้
นอกจากนี้ มีรายงานว่า นายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด ได้เผยเหตุผลที่ตนเคยมีคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ในคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต โดยยืนยันว่า เป็นการสั่งคดีตามพยานหลักฐาน ผ่านความเห็นของพนักงานอัยการ 3-4 คน ที่เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง โดยตนเองได้พิจารณาพยานหลักฐานแล้ว เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง เพราะไม่เชื่อว่าจำเลยกระทำผิด และเห็นว่า วิธีคำนวณความเร็วใหม่น่าเชื่อได้
2.อสส.ชี้ขาดสั่งฟ้อง “ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ” ผิด ม.116 คดีอภิปรายจาบจ้วงยุยงปลุกปั่นปี 63 ด้านเจ้าตัวยัน พร้อมสู้ทุกคดี ลั่น คดีต่างๆ หยุดความตั้งใจของเราไม่ได้!
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ร่วมกันแถลงข่าวกรณี น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด มีคำสั่งชี้ขาดสั่งฟ้องคดีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช เป็นผู้ต้องหาที่ 1-3 กระทำความผิดข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
สืบเนื่องจากกรณีที่นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพุทธอิสระ ได้เเจ้งความเมื่อเดือน ต.ค.63 ระบุว่า นายธนาธร เคยอภิปรายเรื่องอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475 พูดถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทย 14 ตุลาคม 6 ตุลาคม 2519 เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนก่อตั้งวารสารฟ้าเดียวกัน อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่างๆ รวมทั้งงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถานบันฯ และไปปรากฎตัวในที่ชุมนุม เอางานวิชาการสมัยที่เป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกัน และหนังสือราชมัลลงทัณฑ์บัลลังก์ปฏิรูป และเอาความเห็นกรณีเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการปฏิรูปสถาบันฯ เพื่อไม่ให้เอาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมไปอยู่บนท้องถนน การชุมนุมจะได้คลี่คลายเบาบางลง โดยอ้างว่ากรณีนี้ทำให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาออกมาชุมนุม ส่วนกรณีของ น.ส.พรรณิการ์ ไปปรากฎตัวในการชุมนุม และไลฟ์สด
นายโกศลวัฒน์ กล่าวว่า เดิมคดีนี้ พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งทางคดี โดยสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ต้องหาที่ 1, นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ต้องหาที่ 2, น.ส.พรรณิการ์ วานิช ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 116 (3) แล้ว จึงส่งสำนวนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/ 1
ซึ่งภายหลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีความเห็นแย้งว่า ยังไม่อาจเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-3 ในความผิดตามข้อกล่าวหา แล้วส่งสำนวนมายังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 วรรคสอง
ซึ่งอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้ว มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ต้องหาที่ 1 นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ผู้ต้องหาที่ 3 ฐานร่วมกันล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเบิดกฎหมายแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 2, 6, 34, 49 และ 50 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 116 (2), (3)
นายธรัมพ์ กล่าวต่อว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้ง โดยให้ฟ้องคดี เพราะมองพฤติกรรมการกระทำต่างๆ ของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 116 คือ แสดงความเห็นด้วยวาจา หนังสือให้ปรากฎในหมู่ประชาชน ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในราชอาณาจักร แล้วทำให้มีการล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ทั้งจากคำปราศรัย และการแสดงความคิดเห็นทางสื่อออนไลน์ต่างๆ แต่ไม่มีข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เนื่องจากไม่มีการเเจ้งข้อหามาเเต่เเรก อย่างไรก็ตามคดีนี้ มีการพิจารณามาตั้งแต่สมัยอัยการสูงสุดคนก่อนๆ แต่เพิ่งมีคำสั่งชี้ขาดในสมัยอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน ขั้นตอนหลังจากนี้ จะแจ้งคำสั่งชี้ขาดของอัยการสูงสุดไปยังพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อตามตัวและนัดหมายผู้ต้องห มารับทราบข้อกล่าวหา และยื่นฟ้องต่อศาลอาญาต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง นายธนาธร ได้เปิดแถลงพร้อมนายปิยบุตร และ น.ส.พรรณิการ์ โดยยืนยันว่า พร้อมสู้ทุกคดี และขอย้ำว่า คดีต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจจริงของเราได้ เราจะทำงานเต็มที่ต่อไปเรื่อยๆ
3. ตำรวจบุกค้นบ้านพักทุนจีนสีเทาเครือข่าย "ตู้ห่าว" สะพัดกว้านซื้อบ้านหรูในเครือ "ชินวัตร" เกือบยกโครงการ!
เมื่อวันที่ 29 พ.ย. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำหมายศาลพร้อมกำลังตำรวจเข้าตรวจค้นภายในหมู่บ้านหรู ย่านซอยลาซาล หลังพบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของนายตู้ห่าว กลุ่มธุรกิจจีนสีเทา ที่เข้ามอบตัวหลังศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับ ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันค้ายาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพบว่า บริเวณทางเข้าออกมีพนักงานรักษาความปลอดภัย คอยดูแลการเข้าออกอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ ในชั้นสืบสวน เจ้าหน้าที่พบว่า หมู่บ้านหรูดังกล่าวมีทั้งหมด 66 หลัง แต่ละหลังมีมูลค่า 35-60 ล้านบาท โดยมีคนจีนที่เข้ามาซื้อในนามตัวแทน 50 หลัง ส่วนที่เหลือเป็นคนไทย 16 หลัง นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ตั้งแต่ปี 2563 คนจีนเหล่านี้ได้เข้ามาซื้อบ้านลักษณะเป็นกลุ่มก้อน รวม 50 หลัง โดยเป็นการซื้อด้วยเงินสด และกระจายกันอยู่เต็มหมู่บ้าน ที่ผ่านมาได้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนไทยที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว เพราะมักจะมีการจัดปาร์ตี้ส่งเสียงดัง ส่งผลให้บ้านของคนไทย 16 หลังในหมู่บ้านเดียวกัน ทนพฤติกรรมไม่ไหว ได้ทยอยขายบ้าน
นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายตู้ห่าวเข้ามอบตัวกับตำรวจ คนจีนในหมู่บ้านดังกล่าวได้ทยอยขนย้ายข้าวของภายในบ้านและนำรถยนต์หรูไปซุกซ่อนตามจุดต่างๆ ก่อนตำรวจจะเข้ามาตรวจค้น เหลือเพียงคนที่ยังไม่รู้ข่าวความเคลื่อนไหวของนายตู้ห่าว ขณะที่บ้านคนจีนบางหลังก็เหลือไว้เพียงคนรับใช้และแม่บ้านชาวไทยเท่านั้น
มีรายงานว่า หมู่บ้านหรู ย่านซอยลาซาล ที่ตำรวจเข้าตรวจค้น ก็คือ หมู่บ้านแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด มีบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีตระกูล "ชินวัตร" และ "ดามาพงศ์" ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนมากกว่า 64.26% ของทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วทั้งหมดจำนวน 4,220,770,565 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรประกอบด้วย 1.ธุรกิจเพื่อขาย เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และอาคารชุดพักอาศัย 2.ธุรกิจเพื่อให้เช่า 3.ธุรกิจที่ปรึกษาและบริหารงานด้านการบริหาร เทคนิควิศวกรรม และระบบงานสนับสนุน มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) 17,389.57 ล้านบาท (30 พ.ย.65 ราคาปิดที่ 4.12 บาท/หุ้น)
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ (ลูกเขย นายทักษิณ ชินวัตร สามีของ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์) ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
สำหรับผู้ถือใหญ่ 10 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถือหุ้น 1,216,149,870 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 28.82% 2.น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ถือหุ้น 1,176,915,495 หุ้น สัดส่วน 27.89% 3.นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ถือหุ้น 201,234,375 หุ้น สัดส่วน 4.77% 4.คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ถือหุ้น 117,109,887 หุ้น สัดส่วน 2.78% 5.กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาวถือหุ้น 116,104,512 หุ้น สัดส่วน 2.75% 6.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัดถือหุ้น 104,904,347 หุ้น สัดส่วน 2.49% 7.นายโสภณ มิตรพันธ์พานิชย์ถือหุ้น 56,395,016 หุ้น สัดส่วน 1.34% 8.นายวิทวัส พรกุลถือหุ้น 52,000,000 หุ้น สัดส่วน 1.23% 9.กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นระยะยาว75/25 ถือหุ้น 39,524,675 หุ้น สัดส่วน 0.94% 10.นางสมทรง ลาภานันต์รัตน์ถือหุ้น 39,085,800 หุ้น สัดส่วน 0.93%
ขณะที่ฐานะและผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2562 กำไรสุทธิ 2,026.42 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.48 บาท, ปี 2563 กำไรสุทธิ 1,897.94 ล้านบาท, ปี 2564 กำไรสุทธิ 2,062.13 ล้านบาท ล่าสุดผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ 30 ก.ย.2565 กำไรสุทธิ 1,620.98 ล้านบาท
หลังข่าวทุนจีนสีเทาซื้อบ้านหรูหมู่บ้าน แกรนด์ บางกอก บลูเลอวาร์ด ที่เจ้าของโครงการ คือ SC Asset ของตระกูลชินวัตร ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย (พท.) บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. นายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรค พท. ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ในลักษณะปกป้อง น.ส.แพทองธารและตระกูลชินวัตร แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการยอมรับว่า กลุ่มทุนจีนสีเทาซื้อบ้านหรูในโครงการ SC Asset ของตระกูลชินวัตรจริง โดยระบุว่า "1.การซื้อบ้านอยู่อาศัยของทุนจีนสีเทา เป็นการซื้อจากเจ้าของบ้านคนไทยซึ่งเป็นเจ้าของที่รับโอนไปจากเจ้าของโครงการแล้ว 2.การซื้อแบบเดียวกัน เป็นการกว้านซื้อจากหลายๆ โครงการ มิใช่ซื้อจากเครือชินวัตรเจ้าเดียว"
4. ศาล รธน.มีมติเอกฉันท์ ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. สูตรหาร 100 ตราขึ้นโดยถูกต้อง ไม่ขัด รธน.!
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติกรณีที่ประธานรัฐสภา ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 105 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 132 ว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 25 และ มาตรา 26 ซึ่งเป็นบบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 มาตรา 94 หรือไม่ และตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่
โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ตราขึ้นโดยถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 132 ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 93 และมาตรา 94 โดยมองว่า ที่คำร้องของ ส.ว.มีการอ้างถึงการประชุมรัฐสภา มีเจตนาทำให้การประชุมล่ม และไม่สามารถพิจารณาร่างกฎหมายได้ทันตามกรอบเวลา ทำให้ต้องกลับไปใช้ร่างแรก ที่ ครม.เสนอมา จากสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อหารด้วย 500 กลับไปเป็นหารด้วย 100 เป็นเทคนิคการพิจารณาของรัฐสภา เป็นไปตามข้อบังคับการประชุม ไม่ได้เป็นการกระทำขัดต่อกฎหมาย แต่เป็นของจริยธรรม ที่หากจะมีใครไปยื่นร้องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 วินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 26 ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 93 และมาตรา 94 โดยตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คน คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายจิรนิติ หะวานนท์ ที่เห็นว่า มาตรา 26 ของร่างกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะมีการยกเลิกมาตรา 131 ทั้งมาตรา หากมีการทุจริตเลือกตั้ง และต้องมีการเลือกตั้งใหม่ใน 1 ปี จะต้องมีการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อใหม่ แต่มาตราดังกล่าวถูกตัดทิ้งไป จึงอาจมีปัญหาในทางปฏิบัติในการจัดเลือกตั้งหรือไม่
ขณะที่ตุลาการเสียงข้างมาก 7 คน เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องบัญญัติไว้ เพราะว่าใช้ไม่ได้อยู่แล้ว เนื่องจากระบบเลือกตั้งมีบัตรสองใบ การนับคะแนนก็ต้องแยกกันคนละส่วน โดยเฉพาะการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อเป็นอำนาจของ กกต. ซึ่งมีอยู่ในบทบัญญัติแล้วมาตรา 27 และตุลาการไม่อาจจะไปชี้ได้ว่า จะต้องมีการคำนวณอย่างไร เพราะเป็นหน้าที่ของ กกต. อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ 30 วัน จะมีการออกคำวินิจฉัยกลาง และเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการแต่ละคน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีมติเอกฉันท์ว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 และ มาตรา 10 ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 มาตรา 83 มาตรา 86 มาตรา 90 มาตรา 91 และ มาตรา 258 ก.ด้านการเมือง (2)
5. ศาลให้ประกันตัว "พิ้งกี้" แล้ว คดีฉ้อโกงแชร์ Forex-3D ตีราคาประกัน 5 ล้านบาท ห้ามออกนอกประเทศ!
ความคืบหน้ากรณีที่ทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 3 ล้านบาท ต่อศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว "พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช" นักแสดงสาวชื่อดัง จำเลยที่ 7 คดีร่วมกันกู้ยืมเงินแชร์อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือคดีแชร์ Forex-3D มูลค่าความเสียหายนับหมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 25 พ.ย. แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างพิจารณามาแล้ว โดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณียังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงยกคำร้องนั้น
ต่อมา 29 พ.ย. ศาลอาญาได้นัดตรวจพยานหลักฐานคดีนี้ หลังจากได้มีคำสั่งให้รวมสำนวนพิจารณา 2 สำนวน เป็นคดีเดียวกัน โดยมีนายอภิรักษ์ โกฎธิ เป็นจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวก 24 คน ซึ่งมีนายกิตติเชษฐ์ หรือสรายุทธ ไชยเดช จำเลยที่ 6 พี่ชายพิ้งกี้ น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ จำเลยที่ 7 และนางสรินยา ไชยเดช มารดาพิ้งกี้ จำเลยที่ 8 รวมอยู่ด้วย และให้เบิกตัวจำเลยทุกคนมาฟังการพิจารณา
หลังจากนั้น วันต่อมา (30 พ.ย.) ญาติของ น.ส.สาวิกา หรือพิ้งกี้ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นแคชเชียร์เช็คมูลค่า 5 ล้านบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคดีของศาลอีกครั้ง
ซึ่งศาลอาญาพิจารณาแล้ว เห็นว่า น.ส.สาวิกา ให้การปฎิเสธโดยยืนยันชั้นตรวจพยานหลักฐานว่า เป็นเพียงนักลงทุน มีพยาน 8 ปาก วงเงินเป็นหลักประกันน่าเชื่อถือ อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณา โดยตีราคาประกัน 5 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร หากเปลี่ยนถิ่นที่อยู่ให้แจ้งต่อศาลภายใน 7 วัน และให้รายงานตัวต่อศาลทุกเดือน จนกว่าจะมีเหตุเปลี่ยนแปลง และให้แจ้ง ตม.ทราบด้วย
ทั้งนี้ น.ส.สาวิกา ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงกลางในช่วงค่ำวันเดียวกัน โดยขณะที่ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงกลาง ได้มีรถฟอร์จูนเนอร์ สีขาว มารับนางเอกสาวออกจากเรือนจำ โดยคนขับเป็นผู้ชาย และมีผู้หญิงตัวเล็กๆ อีกคนมาคอยรับพิ้งกี้ที่หน้าเรือนจำ ขณะที่พิ้งกี้เดินออกมาด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมแมสก์ และขึ้นรถทันที
อย่างไรก็ตาม แม้พิ้งกี้ไม่ได้เปิดกระจกรถออกมาทักทายสื่อมวลชน แต่ก็มีสีหน้ายิ้มแย้ม โบกมือทักทายระหว่างนั่งอยู่ในรถ พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณทุกคน โดยในจังหวะที่รถเคลื่อนออกไป พิ้งกี้ได้ชูมือไอเลิฟยูส่งให้สื่อมวลชนด้วย
ทั้งนี้ หลังได้ประกันตัว เพจ พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช ได้เคลื่อนไหวโดยโพสต์เป็นคลิปสั้นๆ ที่แชร์มาจากติ๊กต็อกอีกที พร้อมข้อความว่า “Welcome Home ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้สาวิกานะคะ #Pinkysavika #พิ้งกี้สาวิกา” ซึ่งมีแฟนคลับเข้าไปให้กำลังใจจำนวนมาก
สำหรับคดีนี้ อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 ยื่นฟ้องนายอภิรักษ์ โกฏธิ อดีตผู้บริหารแชร์ FOREX 3-D กับพวกรวม 24 คน รวมทั้งนายกิตติเชษฐ์ ไชยเดช พี่ชาย นางสรินยา ไชยเดช มารดา โดยศาลนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก วันที่ 10 ส.ค. 2566 เวลา 09.00 น.
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากพิ้งกี้ได้ประกันตัว ปรากฏว่า วันต่อมา (1 ธ.ค.) ได้มีญาติของจำเลยจำนวน 8 คน คดีฉ้อโกงแชร์ Forex-3D ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์คนละ 500,000 บาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราว ระหว่างการพิจารณาบ้าง แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลเคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ยกคำร้อง