1.ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ "ยิ่งลักษณ์" คดีโยกย้าย "ถวิล เปลี่ยนศรี" มิชอบ เจ้าตัวอ้าง โดนแกล้งไม่รู้จบ ชาวเน็ตสวน ย้ายถวิลแล้วตั้งญาติตัวเองแทน!
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิจารณาคดีครั้งเเรก คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
จากกรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับพวก ได้ใช้อำนาจโอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในขณะนั้น ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบเมื่อช่วงเดือน ก.ย.2554 โดยโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา
ต่อมา ศาลประทับรับฟ้อง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 27 แล้วเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา และได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยวิธีปิดหมาย กับประกาศที่หน้าศาล โดยศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 21 พ.ย.
เมื่อถึงกำหนด ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เดินทางมาศาล ส่วนจำเลยไม่เดินทางมาศาล แต่จำเลยได้ตั้งนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง และนายวิญญัติ ชาติมนตรี เป็นทนายจำเลย
ทั้งนี้ โจทก์แถลงว่า ปัจจุบันจำเลยไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดในทางการเมือง กรณีจึงไม่จำต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยอีกต่อไป
ส่วนกรณีที่จำเลยมิได้มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ศาลจึงออกหมายจับจำเลย ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28 วรรคหนึ่ง นอกจากนี้ จำเลยมิได้มาศาลให้ถือว่า จำเลยให้การปฏิเสธ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 33 วรรคสาม
ขณะที่ทนายจำเลยได้แถลงขอยื่นคำให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายใน 60 วัน ด้านศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 14 มี.ค. 2566 เวลา 13.30 น.
วันต่อมา (22 พ.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยหนีหมายจับหลายคดี ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ Yingluck Shinawatra อ้างว่า ตนเองถูกกลั่นแกล้งไม่จบเสียที โดยได้ระบุว่า “จากข่าวการออกหมายจับดิฉันจากการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี มีประเทศไทยประเทศเดียวที่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ย้ายข้าราชการคนเดียว แล้วถูกดำเนินคดี #ถูกกลั่นแกล้งไม่จบ”
อย่างไรก็ตาม ได้มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ “บวรเดช ไม่เปลี่ยนศรี” ได้เข้ามาโพสต์ข้อความชี้ให้เห็นถึงความผิด โดยระบุว่า “คุณย้ายถวิลในวันอาทิตย์นอกเวลาราชการ ใช้เวลาแค่ 4 วัน แล้วตั้งญาติตัวเองแทน ศาลให้คุณสู้คดีแล้ว คุณแพ้ นอกจากจะไม่ยอมรับผิดแล้ว ยังหนี ยังโกงจำนำข้าวอีก ความเป็นมนุษย์ยังมีอยู่บ้างไหม ถามจริง ไม่อายน้องไปท์เหรอ”
2."ตู้ห่าว" คอตกนอนคุก หลังศาลไม่ให้ประกันคดียาเสพติด ด้าน ป.ป.ส.ยึดอายัดทรัพย์สินหลายพันล้าน รวมทั้งเครื่องบินไว้ตรวจสอบ!
ความคืบหน้าการจับกุมกวาดล้างกลุ่มทุนจีนสีเทา ทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งกรณีตำรวจนครบาลเข้าตรวจสอบผับจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา ได้ผู้ต้องหาชาวจีนและยาเสพติดจำนวนมาก ต่อมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรคการเมือง และอดีตผู้ประกอบการสถานบันเทิง ได้ออกมาแฉ มีนายทุนจีนผู้มีอิทธิพลหลายคนคอยหนุนหลัง ทำให้ตำรวจไม่กล้าจับกุม โดย 1 ในนั้นคือนายตู้ห่าว พร้อมส่งข้อมูลอื่นๆให้ตำรวจผู้เกี่ยวข้องดำเนินการต่อนั้น
เมื่อวันที่ 23 พ.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ชุดสืบสวนและตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน พร้อมตำรวจสายตรวจ สน.ตลิ่งชัน นำหมายค้นเข้าตรวจค้นคฤหาสน์หรูมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท เลขที่ 9/98 หมู่บ้านลดาวัลย์ เขตตลิ่งชัน กทม. ของนายตู้ห่าว หรือนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นายทุนจีนสีเทา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดและร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย เบื้องต้นไม่พบตัวนายตู้ห่าวแต่อย่างใด มีเพียง พ.ต.อ.หญิง วัทนารีย์ กรณ์ชายานันท์ ผกก. ฝ่ายความร่วมมือและกิจการระหว่างประเทศ กองการต่างประเทศ เป็นผู้นำค้น สามารถยึดตู้เซฟไปตรวจสอบ 1 ตู้ ระหว่างนั้น พ.ต.อ.หญิง วัทนารีย์ โทรศัพท์ติดต่อให้นายตู้ห่าวเข้ามอบตัวกับตำรวจ
ต่อมา ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายตู้ห่าวพร้อมทนายความ ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ที่สโมสรตำรวจ โดยให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมอบหน้าที่ให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการทางคดีทั้งหมด
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้แถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีนี้ว่า สืบเนื่องจากมีกลุ่มนายทุนจีนสีเทา 5 กลุ่ม เข้ามาประกอบธุรกิจสถานบันเทิงในไทย ประกอบด้วย 1.กลุ่มนายตู้ห่าว 2.กลุ่มนายเดวิด 3.กลุ่มนายหยู่ ฉางเฟ่ย 4.กลุ่มนายโทนี่ และ 5.กลุ่มนายหมิง ขณะนี้จับกุมไปแล้ว 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนายตู้ห่าว กลุ่มนายเดวิด และกลุ่มนายหยู่ ฉางเฟ่ย ส่วนกลุ่มนายโทนี่อยู่ระหว่างติดตามจับกุมและหลบหนีอยู่ในประเทศไทย ส่วนกลุ่มนายหมิงหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว อยู่ระหว่างการออกหมายจับตำรวจสากล ทั้ง 5 กลุ่มมีความสัมพันธ์รู้จักกัน โดยแต่ละกลุ่มจะแยกย้ายไปทำธุรกิจผับในพื้นที่ต่างๆ
สำหรับการตรวจสอบภรรยาของนายตู้ห่าว ที่เป็นนายตำรวจยศ พ.ต.อ. ถึงเรื่องเงินกว่า 200 ล้านบาท ที่นำมาซื้อบ้าน เจ้าตัวต้องชี้แจงที่มาของเงินให้ได้ เพราะลำพังเงินเดือนข้าราชการไม่น่าจะมีทรัพย์ขนาดที่จะซื้อบ้านหลังดังกล่าวได้ หากชี้แจงที่มาที่ไปได้ ก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนกรณีภรรยาของนายตู้ห่าวเป็นหลานของอดีต ผบ.ตร. จะมีการช่วยเหลือหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่า อดีต ผบ.ตร.ท่านนั้นยินดีที่จะให้ดำเนินคดีตามหลักฐานที่ปรากฏอย่างตรงไปตรงมา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยด้วยว่า “ตำรวจได้ขอหมายค้นพื้นที่เกี่ยวข้องรวม 4 จุด 1 ในนั้นคือบ้านพักของนายตู้ห่าว มูลค่าบ้านมากกว่า 200 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ยึดอายัดทรัพย์สินของนายตู้ห่าว ทั้งอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ เงินสด มากกว่า 1,000 ล้านบาท ที่ผ่านมาตำรวจระดมตรวจค้นแล้ว 20 จังหวัด 75 จุด จับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายเดียวกัน 93 คน รวมทั้งขยายผลตรวจสอบทะเบียนราษฎรผู้ที่เกี่ยวข้องในเครือข่าย รวมทั้งเส้นทางการเงิน และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ตม.อุดร ตม.ขอนแก่น ตม. แพร่ และ ตม.เชียงใหม่ ว่ามีการอนุญาตให้เปลี่ยนวีซ่าจากนักท่องเที่ยว เป็นวีซ่านักศึกษาได้อย่างไร เนื่องจากผู้ต้องหาบางคนอายุมากกว่า 50 ปี และการจะขอวีซ่านักเรียนได้นั้น ต้องมีโรงเรียนรับรอง ซึ่งก็ต้องตรวจสอบโรงเรียนที่เป็นผู้รับรองด้วย”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า คดีนี้ พบนายตำรวจระดับพนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา รอง ผกก.จร.สน.ลาดพร้าว และรอง ผบก.น.6 เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ในลักษณะการปล่อยตัวผู้ต้องหาสำคัญและปล่อยรถหรูซึ่งเป็นของกลางในคดี มีหลักฐานยืนยันมีการแลกรับผลประโยชน์ประมาณ 8 ล้านบาท เป็นค่านำรถยนต์ของกลางออก 4 คัน หลังจากนี้ต้องขยายผลไปถึงผู้ร่วมขบวนการที่มีตำแหน่งใหญ่กว่า รอง ผบก.น.6 ส่วนตัวเชื่อว่าต้องมี
ทั้งนี้ หลังสอบปากคำนานกว่า 3 ชม. ตำรวจได้คุมตัวนายตู้ห่าวไปสอบปากคำต่อที่ สน.ยานนาวา เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อถึง สน.ยานนาวา ระหว่างที่ตำรวจกำลังควบคุมตัวนายตู้ห่าวขึ้นไปยังห้องประชุม ปรากฏว่า นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ได้ปรากฏตัวพร้อมยกมือขึ้นตะโกนเรียกว่า “ห่าวๆ”
วันต่อมา (24 พ.ย.) พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวาได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ขอฝากขังครั้งแรกนายตู้ห่าว เชื้อชาติจีน-สัญชาติไทย ผู้ต้องหาตามหมายจับ คดีกระทำความผิดประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งญาติของผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว
ด้านศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง ยาเสพติดของกลางมีจำนวนมาก และพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงไม่อนุญาต หลังจากนั้น ผู้ต้องหาได้ถูกนำตัวไปควบคุมยังสถานบำบัดพิเศษกลาง ระหว่างการฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.-5 ธ.ค.นี้
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวสับสนว่า เจ้าหน้าที่ได้ยึดเครื่องบินของนายตู้ห่าว ที่สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ด้วยหรือไม่ หลังจับกุมนายตู้ห่าวนั้น
ล่าสุด (26 พ.ย.) ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม ได้ออกมายืนยันว่า ป.ป.ส. ได้ยึดอายัดเครื่องบินดังกล่าวจริง หลังพบหลักฐานในเอกสารปรากฎชื่อ “ตู้ห่าว” เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท เเละเครื่องบินซื้อขายในนามชื่อบริษัทดังกล่าว รวมทั้งมีรายการทรัพย์สินอื่นๆ ที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มายื่นหลักฐานอีกจำนวนหลายรายการ มูลค่าหลายพันล้านบาท อาทิ โรงแรม ที่ดิน ฯลฯ แต่อยู่ระหว่างขยายผลตรวจสอบว่า เชื่อมโยงกับบุคคลใดบ้าง นอกจากนี้ยังมีชุด “พาลีปราบยา” ภายใต้การกำกับดูแลของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ดำเนินการตรวจสอบ เพื่อตามยึดอายัดทรัพย์สินต่างๆ ให้มากที่สุด
3. เกิดเหตุคาร์บอมบ์แฟลตตำรวจกลางเมืองนราธิวาส ตำรวจดับ 1 เจ็บหลายสิบราย พอทราบเบาะแสคนร้ายแล้ว ด้าน ผกก.เมืองนราธิวาส ถูกเด้งเซ่นคาร์บอมบ์!
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. เวลา 12.50 น. ได้เกิดเหตุคาร์บอมบ์ภายในบริเวณลานจอดรถหน้าอาคารแฟลตตำรวจ สภ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส หลังได้รับแจ้ง พ.ต.อ.เจฟฟรีย์ ไศลมานกุล ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หลายหน่วย ได้รุดไปยังที่เกิดเหตุ พบเพลิงกำลังลุกไหม้รถยนต์ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถ จึงรีบประสานเจ้าหน้าที่เข้าฉีดน้ำดับไฟและช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
ทั้งนี้ ระเบิดอานุภาพร้ายแรง ได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บกว่า 30 ราย โดยผู้เสียชีวิต คือ ร.ต.อ.สุทธิรักษ์ พันธนิยะ รองสารวัตรจราจร สว.จร.สภ.เมืองนราธิวาส ส่วนผู้บาดเจ็บ ประกอบด้วย นางวนิดา ธนะพันธ์, ด.ช.ธเนศวร ธนะพันธ์, น.ส.เจริญตา บุญส่ง, ส.ต.อ.อาริส หะยี, จ.ส.ต.วราวุฒิ ดำรัตน์, นายแวอัมรี เจ๊ะหมิ, ส.ต.ปฐวี ปั่นแก้ว, น.ส.พรทิตา คงบุญทอง, น.ส.อัญนิการ์ วงศ์ไซยา, ส.ต.อ.ณัฐพล จันทร์ชื่น, น.ส.อุไรวรรณ สุวรรณพวง, น.ส.ภิญญาพัฒน์ ก้อสตาร์, ด.ต.รัตชัย สุขนันท์, นางมาลัยรัตน์ สาระพิชยาภรณ์, นายฮันชรัน มะยูโซ๊ะ, ด.ต.วีรศักดิ์ สาระพิชยาภรณ์, นายพงศ์เทพ สารบุตร, น.ส.นินาตาซาไอนา สะแลแม, ด.ญ.ภัสมาริน ดือราสอ, ดต.นิกร แก้วสุกใส, ส.ต.ท.อิริยะ อูแล, นางมะลยานี สุหลง, ด.ซ.ธนกฤต์ อูแล, จ.ส.ต.ไพจิตต์ สุวรรณมณี, ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ สุวรรณพงศ์, ด.ต.(ญ)จินตนา เทพทอง, ส.ต.อ.อภิชาติ คงบุญทอง, นายศิวกร เพ็งรัตน์, นางอุบล จันทวาส, ส.ต.ต.ภคนันท์ ศรีอ่อน และ ส.ต.ต.ซากีรีน หวันดู
หลังเพลิงสงบ เจ้าหน้าที่อีโอดีได้เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบอาคารแฟลต 2 ชั้น หลังเก่าที่มีการต่อเติมเป็นเพิงหน้าบ้านพัก เพื่อให้เจ้าหน้าที่จอดรถ ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหาย 8 หลัง จาก 10 หลัง แรงระเบิดยังส่งผลให้หลังคากระเบื้องชั้น 2 เสียหายไปด้วย นอกจากนี้ยังมีรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของเจ้าหน้าที่ได้รับความเสียหายอีกหลายคัน
ส่วนรถที่ถูกใช้เป็นคาร์บอมบ์อยู่ในสภาพพังเสียหายทั้งคันเหลือเพียงตัวถังรถ ส่วนชิ้นส่วนรถกระเด็นไปตกตามที่ต่างๆ ในรัศมี 200 เมตร จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบว่า คนร้ายได้ขับรถกระบะอีซูซุ ดีแม็กซ์ สีดำ 4 ประตู เข้ามาจอดบริเวณกลางลานถนนภายในแฟลต จากนั้นมีชายอีกคนขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ สีแดง ใส่หมวกกันน็อค มารอรอรับหน้าแฟลต แล้วขี่รถหลบหนีไป
ด้าน พ.ต.อ.ดุลยมาน แยนา รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส เชื่อว่า เหตุคาร์บอมบ์ที่เกิดขึ้นเป็นการตอบโต้ของกลุ่มคนร้ายที่เคลื่อนไหวเชื่อมโยงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้วิสามัญฆาตกรรมนายฮาซัน แว คนร้ายคนสำคัญที่ก่อเหตุวางระเบิดในพื้นที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ได้เปิดแผนเชิงรุกในการจับกุมและวิสามัญฯ คนร้ายไปหลายราย จึงคาดว่าเหตุที่เกิดขึ้น เป็นการตอบโต้ของกลุ่มคนร้ายที่ต้องการแสดงศักยภาพให้สมาชิกแนวร่วมมีความฮึกเหิม
ขณะที่ พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9 รักษาการ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ได้สั่งการไปยัง ผกก.ทั้ง 13 โรงพัก ให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตรายานพาหนะของบุคคลที่ขับเข้าไปติดต่อราชการ รวมทั้งรถยนต์ของตำรวจและของทางรายการทุกคัน ก่อนจะขับเข้าไปจอดใน สภ.เพื่อป้องกันเหตุร้ายซ้ำรอยขึ้นมาอีก
ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์เหตุคาร์บอมบ์ด้วยตนเอง ก่อนเผยในเวลาต่อมาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสียหายหนัก มีรถยนต์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จอดไว้ 2 ฝั่งของอาคารแหลต 2 ชั้น และ 4 ชั้น ได้รับความเสียหายกว่า 10 คัน โดยเฉพาะแฟลต 2 ชั้น เสียหายทั้งชั้นบนและชั้นล่าง 8 ห้อง นอกจากนี้ยังมีเศษซากชิ้นของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุงต้ม หนัก 50 กก.จุดชนวนด้วยการตั้งเวลาจากวงจร ไอ.ซี.ไทม์เมอร์ รวมทั้งเศษชิ้นส่วนของเหล็กเส้นตัดสั้น ผบ.ตร.เผยด้วยว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 36 ราย โดยอาการสาหัส 2 ราย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจรถกระบะที่คนร้ายนำมาทำคาร์บอมบ์ พบว่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ออกใบสั่งให้ น.ส.ฟาตียะ ประดู่ อายุ 32 ปี ภูมิลำเนาอยู่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ข้อหาขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตตรงบริเวณทางหลวงแยกสะปอม ต.กะลุวอเหนือ อ.เมืองนราธิวาส ขณะเขียนใบสั่ง เห็นผู้ชาย 1 คน นั่งคู่กับ น.ส.ฟาติยะ ล่าสุด ใบสั่งดังกล่าว น.ส.ฟาติยะ ยังไม่ได้เสียเงินค่าปรับ 400 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดี กำลังเร่งตรวจสอบประวัติรถดังกล่าวว่า น.ส.ฟาติยะ เจ้าของรถได้ขายด้วยการโอนลอยหรือให้ใครยืมไป ก่อนจะมีคนร้ายใช้ซุกซ่อนระเบิดเข้ามาก่อเหตุหรือไม่ โดยแจ้งให้ น.ส.ฟาติยะ เข้ามาให้ข้อมูลต่อตำรวจ
ด้าน พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เผยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการมายัง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ให้เร่งรัดให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว และว่า เจ้าหน้าที่พอทราบเบาะของคนร้ายแล้ว เนื่องจากรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ ไม่ได้มีการแจ้งหาย หรือถูกปล้นชิงทรัพย์ ขณะนี้ทราบผู้ครอบครองรถแล้ว กำลังดูว่ามีการเชื่อมโยงกับกลุ่มคนร้ายหรือไม่
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ 2 วัน (24 พ.ย.) พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ได้มีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.เจฟฟรีย์ ไศลมานกุล ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส และให้ พ.ต.อ.รณณ สุระวิทย์ ผู้กำกับ(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส รักษาราชการแทน โดยให้เหตุผลในการสั่งย้ายว่า หลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ ส่งผลให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวและขาดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการและการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมของสถานีตำรวจภูธรเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ สามารถปฏิบัติการเชิงรุกควบคุมพื้นที่ และแสวงหาความร่วมมือกับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น จึงมีคำสั่งดังกล่าว
4. ศาล รธน. มีมติเอกฉันท์ร่าง พ.ร.ป.พรรคการเมือง ไม่ขัด รธน. เตรียมวินิจฉัย ร่าง พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. ขัด รธน.หรือไม่ 30 พ.ย.นี้!
ความคืบหน้ากรณีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 77 คนได้เข้าชื่อยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 และมาตรา 10 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 มาตรา 83 มาตรา 86 มาตรา 90 มาตรา 91 และมาตรา 258 ก.ด้านการเมือง (2) หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งรับคำร้องเมื่อวันที่ 21 ก.ย. พร้อมแจ้งผู้ร้องและผู้ถูกร้องให้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์ 9 เสียง ว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 และมาตรา 10 ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
สำหรับมาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 และมาตรา 10 ของร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลดค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรค เดิมปีละไม่เกิน 100 บาท เหลือไม่เกิน 20 บาท ตลอดชีพลดเหลือไม่เกิน 200 บาท จากเดิมไม่น้อยกว่า 2,000 บาท ซึ่ง ส.ว.ที่เข้าชื่อยื่นคำร้องเกรงว่า จะเป็นการเปิดช่องให้เกิดนายทุนครอบงำพรรค ทำให้ไม่เป็นพรรคของประชาชน รวมถึงการตัดคุณสมบัติผู้ต้องคดีอาญา การฉ้อโกง ยาเสพติด การพนัน การค้ามนุษย์และการฟอกเงิน หากคดีไม่ถึงขั้นติดคุก ก็สามารถสมัครเป็นสมาชิกพรรคได้
ขณะที่ประเด็นการตั้งตัวแทนพรรคประจำจังหวัด ที่แก้ไขให้สามารถเลือกผู้สมัครได้จากเดิมที่จะเป็นหน้าที่ของตัวแทนประจำเขตเลือกตั้ง ซึ่ง ส.ว.ที่เข้าชื่อยื่นคำร้องมองว่า อาจขัดกับรัฐธรรมนูญที่ให้แต่ละเขตเลือกผู้สมัคร ประกอบกับการให้เลือกบุคคลจากรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครคัดเลือกมา ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะจะขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการเลือกผู้สมัคร รวมทั้งการตัดเรื่องห้ามสมาชิกเรียกรับผลประโยชน์ หรือใช้อิทธิพลข่มขู่ในการเลือกผู้สมัคร ส.ส.ทั้งแบบเขตและแบบบัญชีรายชื่อ
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะแจ้งผลการวินิจฉัยให้ประธานรัฐสภาได้รับทราบ และประธานรัฐสภาจะส่งร่างฯ ให้นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังเหลือร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ ส.ว. 105 คน ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภา ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 25 และ มาตรา 26 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 มาตรา 94 หรือไม่ และตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยในวันที่ 30 พ.ย. นี้ เวลา 09.30 น.
5. "ไทยพีบีเอส" ขออภัยเสนอข่าวปลากุเลาตากใบผิดพลาด "เทพชัย" รับผิดชอบลาออกจาก ผอ.อาวุโส ส่วน ผอ.สำนักข่าว-บก.บห.ข่าว ตัดเงินเดือน 10% 1 เดือน!
จากกรณี "ปลากุเลาจากตากใบ" ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในเมนูอาหารที่จะเสิร์ฟในงานเลี้ยงกาลาร์ดินเนอร์แก่ผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) 2022 ซึ่งถือเป็นการโปรโมตของดีจังหวัดชายแดนใต้ ให้โด่งดัง เพราะ "ปลากุเลาเค็มตากใบ" เป็นปลาสายพันธุ์ท้องถิ่นของ จ.นราธิวาส ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา
แต่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กลับนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ว่า "จับโป๊ะ Soft Power "ปลากุเลาเค็ม" ขึ้นโต๊ะผู้นำเอเปค ไม่ได้มาจากตากใบ" โดยเนื้อหาข่าวเป็นการให้สัมภาษณ์ของผู้ประกอบการในพื้นที่ตากใบบางคนที่ให้ข้อมูลว่า ไม่เห็นรู้เรื่องว่ามีการซื้อปลากุเลาเค็มจากร้านใดร้านหนึ่งใน 9 ร้านที่ได้ขึ้นทะเบียน GI ของจังหวัดไปเลย จึงสรุปได้ว่า ที่รัฐบาลโปรโมทว่าจะนำเอาปลากุเลาเค็มไปทำอาหารในการประชุมเอเปคนั้น ไม่จริง
อย่างไรก็ตาม ความจริงได้ถูกเปิดเผยโดยเชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟมิชเชอร์ลินสตาร์ ที่เป็นหนึ่งในทีมทำอาหารเลี้ยงผู้นำเอเปค โดยยืนยันว่า ทางทีมเชฟได้ซื้อปลามาจากร้าน “ปลากุเลาเค็มป้าอ้วนตากใบ” ซึ่งอยู่ที่ 40/1 หมู่ที่ 3 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เบอร์โทรร้าน 086-9636422
ซึ่งทางร้านก็ได้ออกมาประกาศผ่านเฟซบุ๊กของร้านว่า ร้านเป็นผู้จัดจำหน่ายปลากุเลาเค็ม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ระดับ 5 ดาวของชุมชน โดยก่อนหน้านี้มีเจ้าหน้าที่มาซื้อปลากุเลาเค็มไป 1 ตัวเพื่อนำไปชิม และภายหลังมีการสั่งออนไลน์วันละหลายหมื่นบาทในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา
ด้าน ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ออกมาประณามการเสนอข่าวของช่องไทยพีบีเอสว่า เสนอข้อมูลบิดเบือนใส่ร้ายเชฟชุมพล และประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพเอเปค 2022 ด้วยการกุเรื่องว่า ปลากุเลาเค็มที่ขึ้นโต๊ะอาหารผู้นำเอเปคไม่ได้มาจากตากใบ
ทั้งนี้ ผศ.ดร.วรัชญ์ ได้ตั้งคำถามว่า ไทยพีบีเอสทำแบบนี้ ไม่แน่ใจว่า ทีมข่าวเรียนจบวารสารศาสตร์และมีกอง บก.หรือไม่ ทำไมจึงพยายามสร้างเนื้อหาที่ไม่สมเหตุผล ด้วยการไปสัมภาษณ์ร้านที่ไม่ได้รับการติดต่อซื้อ แล้วไปสรุปว่า ไม่มีการซื้อจริง
ผศ.ดร.วรัชญ์ ยังระบุด้วยว่า ไทยพีบีเอสจะรับผิดชอบอย่างไรต่อชื่อเสียงของเชฟชุมพล และชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพ APEC และไทยพีบีเอสยังเคยทำเรื่องแบบนี้มาหลายครั้ง และทุกครั้งก็รับปากว่า จะแก้ไข แต่ก็ทำซ้ำเหมือนเดิมเรื่อยๆ จนมาถึงครั้งนี้ สุดท้ายประชาชนเสียเงินภาษีปีละ 2,000 ล้านบาทเลี้ยงช่องไทยพีบีเอส ก็ควรได้ช่องข่าวที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ไม่ใช่ได้ช่องทีวีที่ผลิต Fake News
เมื่อความจริงไม่ได้เป็นดังที่ไทยพีบีเอสนำเสนอ ทั้งยังถูกตั้งคำถามถึงการกุข่าว ในลักษณะดิสเครดิตรัฐบาลและประเทศไทย ปรากฏว่า เว็บไซต์ thaipbs.or.th ของไทยพีบีเอส ได้ออกคำชี้แจงกรณีการนำเสนอข่าว "ปลากุเลาเค็มตากใบ" โดยระบุว่า "ผู้สื่อข่าวของสถานีลงพื้นที่ อ.ตากใบ ด้วยความตั้งใจที่จะนำเสนอความภาคภูมิใจของชาวตากใบที่ผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล แต่ได้รับข้อมูลจากผู้ประกอบการหลายร้านว่าไม่มีการสั่งซื้อปลากุเลาจากร้านในพื้นที่ รวมถึงในไลน์กลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลากุเลาตากใบก็มีการสอบถามกันว่ารัฐบาลซื้อปลาจากร้านไหน แต่ไม่มีใครยืนยันว่าได้รับการสั่งซื้อ...
"ไทยพีบีเอสขอยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะสร้างความเข้าใจผิดในกรณีดังกล่าว การนำเสนอข่าวนี้เป็นการสะท้อนความรู้สึกและความเห็นของชาวบ้านในพื้นที่ที่กังวลต่อภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาภาคภูมิใจ
"ไทยพีบีเอสยอมรับว่า การนำเสนอข่าวดังกล่าวขาดความรอบด้าน โดยมิได้ตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของสื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการชี้แจงจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ไทยพีบีเอสก็นำเสนอข้อมูลที่ได้รับในเวลาต่อมา
"กองบรรณาธิการไทยพีบีเอสขออภัยในความบกพร่องที่อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องดังกล่าว และได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นตามระเบียบขององค์กร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต
"ไทยพีบีเอสขอยืนยันเจตนารมณ์ในฐานะสื่อสาธารณะในการรายงานข่าวและนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้องรอบด้าน เป็นธรรม และให้ความสำคัญต่อการประชุมเอเปก ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับการสะท้อนความรู้สึก ความคิดเห็นของประชาชนทุกระดับ"
ล่าสุด (25 พ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ไทยพีบีเอสได้แถลงแสดงความรับผิดชอบกรณีนำเสนอข่าว "ปลากุเลาเค็มตากใบ" ระบุว่า ตามที่ไทยพีบีเอสได้แถลงขออภัยและยอมรับข้อบกพร่องในการนำเสนอข่าวดังกล่าวไปวันที่ 15 พ.ย. ไทยพีบีเอส ขอแสดงความรับผิดชอบเพิ่มเติม ดังนี้
1.นายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มงานข่าว ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 2.ผู้อำนวยการสำนักข่าว และบรรณาธิการบริหารด้านข่าวรายวันและข่าววิเคราะห์ ขอรับผิดชอบด้วยการให้ตัดเงินเดือนตนเองร้อยละ 10 เป็นเวลา 1 เดือน 3.ผู้อำนวยการไทยพีบีเอส มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดแนวทางและมาตรการการดำเนินงานที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีกในอนาคต
ไทยพีบีเอสยังระบุด้วยว่า "ด้วยเจตนาและความยึดมั่นในเป้าหมายการเป็นสื่อสาธารณะ ไทยพีบีเอสจึงตระหนักและแสดงความรับผิดชอบทุกครั้ง เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น และไม่เคยนิ่งเฉยต่อเสียงสะท้อนของสังคม โดยพร้อมนำไปทบทวน ปรับปรุงการดำเนินงานเสมอมา เพื่อยังคงรักษามาตรฐานของการเป็นสื่อสาธารณะของสังคมไทยต่อไป"