นิวซีแลนด์ นับว่าเป็นประเทศที่นักเรียนไทยและต่างชาติ ให้ความสนใจในการศึกษาต่อมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก ด้วยจุดเด่นที่เปิดกว้างทางการศึกษา มีมาตรฐานติดอันดับโลก สามารถทำงานได้ระหว่างเรียน และหลังจบการศึกษาก็ยังสามารถต่อวีซ่าทำงานได้สูงสุดถึง 3 ปี อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะแก่การศึกษา ผู้คนเป็นมิตร และความปลอดภัยสูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก จากการจัดอันดับประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ประจำปี 2022 จาก CS Global Partners
โดยหน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ (Education New Zealand) ได้มุ่งส่งเสริมความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างประเทศ และเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาของไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ร่วมกับสถาบันการศึกษาของไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น โครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (RMUTT) และมหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ ที่เริ่มต้นในปี 2016 และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ในการร่วมกันพัฒนาหลักสูตรเตรียมความพร้อมปริญญาตรีไฮบริดนิวซีแลนด์ (Business Foundation Studies Programme) เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเรียนไทยสามารถต่อปริญญาตรีแบบไฮบริดกับมหาวิทยาลัยระดับโลกของนิวซีแลนด์
รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (RMUTT) เปิดเผยว่า โครงการความร่วมมือระหว่าง RMUTT กับ มหาวิทยาลัยโอทาโก เป็นการร่วมกันพัฒนาหลักสูตรเร่งรัดสำหรับนักเรียนไทยโดยเฉพาะ เป็นหลักสูตรปรับพื้นฐานด้านธุรกิจ (Business Foundation Studies Programme) หลักสูตรเรียนเตรียมปริญญาปี 1 นิวซีแลนด์ที่ประเทศไทย 8 เดือน (เทียบเท่า ป.ตรี ปี 1) หลังจากจบหลักสูตรเร่งรัดแล้วสามารถเรียนจบ ป.ตรี นิวซีแลนด์ได้ใน 3 ปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเรียนไทยสามารถสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาในนิวซีแลนด์ได้เร็วขึ้น
“นับเป็นความโชคดีที่เรามีความร่วมมือกับ Education New Zealand มาตั้งแต่ปี 2016 และก็ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากการเข้ามาของโรคระบาด ทำให้การที่เราจะได้เจอกันแบบ Face To Face นั้นหยุดไปเกือบ 3 ปี แต่ถึงจะอยู่ในช่วงของโรคระบาด เราก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เรายังคงมีการติดต่อสื่อสารและมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะการสื่อสารแบบออนไลน์ เราดำเนินการความร่วมมือกับ The University of Otago แบบออนไลน์ด้วยกัน มีการดำเนินกิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งจัดการเรียนการสอนด้วยกัน สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่สร้างจุดแข็งให้กับบัณฑิตของราชมงคลธัญบุรี”
นอกจากความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรปริญญาตรีไฮบริดนิวซีแลนด์แล้ว ที่ผ่านมา RMUTT ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศนิวซีแลนด์ ผ่านสถานทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทยในการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZC) ที่ศูนย์นวัตกรรมและความรู้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีที่ DD Mall เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อเชื่อมโยงการศึกษาระหว่างการศึกษาไทยกับการศึกษานิวซีแลนด์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับนานาชาติให้นักเรียนไทยอีกด้วย
นายกรานท์ แมคเฟอร์สัน (Mr. Grant McPherson) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ (Education New Zealand; ENZ) ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า ตลาดการศึกษานานาชาติในภูมิภาคเอเชียมีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งประเทศไทยนับเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย ที่มีการส่งนักเรียนไปศึกษาต่อที่นิวซีแลนด์ โดยจากข้อมูลเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 มีจำนวนนักเรียนต่างชาติที่ถือวีซ่านักเรียน (ที่ยังไม่หมดอายุ) ในประเทศนิวซีแลนด์ จำนวนสูงถึง 16,959 คน จากทั้งหมด 126 ประเทศ ในจำนวนนี้ มีนักเรียนไทยกว่า 840 คน
“ในส่วนของความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ไทย-นิวซีแลนด์ (Education New Zealand) เรามองที่ความต้องการของนักเรียนเป็นหลัก เพราะว่าจะต้องตอบสนองความต้องการของนักเรียนที่ต้องการเรียนต่อในต่างประเทศ และในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการศึกษาและวิถีชีวิตในภาพรวม เราจึงต้องมามองดูปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่นักเรียนสามารถจ่ายได้เพื่อศึกษาต่อต่างประเทศ การจัดพื้นที่ในการศึกษา สามารถเรียนได้ที่บ้านของตัวเอง และการที่นักเรียนจะได้ผลประโยชน์ต่าง ๆ จากที่เขาเรียนต่อต่างประเทศตรงนี้”
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการระบาดของโควิด-19 ทางหน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ ก็ให้การดูแลเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายของนักเรียน การจัดพื้นที่ในการศึกษาให้สามารถเรียนได้ในห้อง และการดูแลในเรื่องอื่น ๆ
“สำหรับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งเป็น Partner ที่ดีที่ทำให้นักศึกษาไทยมีโอกาสในการเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ ในความร่วมมือนี้ก็ไม่ได้มีเพียงมหาวิทยาลัยเพียง 1 แห่ง แต่ว่าทั้ง 8 แห่งของนิวซีแลนด์ทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมของนักเรียนไทยในการที่พวกเขาจะ Transition ไปสู่การศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยที่นิวซีแลนด์ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่โอทาโก ทำให้นักเรียนมีทางเลือกมากขึ้นในการที่พวกเขาจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพสูงสุด ทั้งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีและนิวซีแลนด์”
นายกรานท์ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ว่าเป็นโอกาสในการที่จะสามารถร่วมมือกันในการพัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ ที่สามารถเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าไปสู่การศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ และหลักสูตรการศึกษาทางด้านอื่นที่สามารถต่อยอดจากความร่วมมือตรงนี้ ก็คือ Creative design ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบแฟชั่น, Digital Media , และการบริหารธุรกิจ นอกจากนี้ก็ยังมีสาขาวิชาในเรื่องของอนาคตที่เป็นทักษะที่มีความต้องการในปัจจุบัน อย่างปัญญาประดิษฐ์หรือ AI หรือสาขาวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้ทางนิวซีแลนด์มองว่าจะต้องตรงกับความต้องการของนักเรียนในปัจจุบันด้วย
“ในส่วนของการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ มีจุดแข็งคือ เป็นการศึกษาที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นในระดับของโรงเรียน หรือว่าระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยทั้ง 8 แห่งของประเทศนิวซีแลนด์ติดอยู่ใน 500 อันดับแรกของ Heigher Education และในหลายสาขาวิชาก็ติด Top 20 ของโลก ทั้งนี้ประโยชน์ของนักเรียนไทยที่ไปศึกษาที่นิวซีแลนด์ ตอนนี้มหาวิทยาลัยทั้ง 8 แห่งของนิวซีแลนด์สามารถที่จะรับตรงได้”
นายกรานท์ ให้รายละเอียดต่อไปอีกว่า โดยปกติ ป.ตรีของไทยจะมีระยะเวลาเรียนที่ 4 ปี แต่ของนิวซีแลนด์จะอยู่ที่ 3 ปี ถ้าจากหลักสูตรของไทยได้ GPA. 3.2 และ IELTS ในระดับ 6 ก็จะสามารถเข้าไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์และจบภายใน 3 ปีได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในหลักสูตรเตรียมความพร้อมของไทยก็จะสามารถช่วยนักเรียนในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทั้ง ภาษาอังกฤษในระดับสูง และทำให้นักเรียนคุ้นชินกับหลักสูตรและระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของนิวซีแลนด์
“นิวซีแลนด์มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งที่ผ่านมาในช่วงของโควิด ที่ทำให้นักเรียนไม่สามารถกลับมายังประเทศไทยได้ ทางนิวซีแลนด์ก็ได้ให้การดูแลเป็นอย่างดี ทั้งทางรัฐบาลที่ให้ความใส่ใจและมีมาตราการดูแลในส่วนนี้ด้วย และนิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศแรกของโลกที่มีกฎหมายในการดูแลชาวต่างชาติ”
ในปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์โควิดทำให้สถิตินักเรียนไทยที่ไปศึกษาอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์น้อยลงกว่าเดิม แต่หลังจากนิวซีแลนด์เปิดประเทศ ก็มีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 5 พ.ย. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับการศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก มีสถาบันมาเข้าร่วม 47 สถาบัน ทำให้เห็นว่าถึงแม้จะอยู่ในช่วงโควิด แต่เทรนด์ในการศึกษาต่อที่นิวซีแลนด์ไม่ได้ลดลงไปเลย
ทั้งนี้ ภายหลังนิวซีแลนด์หลังเปิดประเทศ มีคนไทยสนใจไปเรียนต่อเพิ่มขึ้นกว่า 25% เนื่องด้วยหลักสูตรการศึกษาที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานโลก เช่น หลักสูตรการพัฒนาเอไอ (AI), หลักสูตรการสร้างเกมส์ เทคโนโลยีแฟชั่นดิจิทัล (Digital Fashion Technology) ออกแบบเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital and Design) วิทยาศาสตร์สุขภาพด้านสุขภาพดิจิทัล (Health Sciences in Digital Health), นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) และ การตลาดดิจิทัล (Digital Ubiquitous Marketing) เป็นต้น
สำหรับน้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาที่มีความประสงค์ที่จะศึกษาต่อ หรือสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษานิวซีแลนด์ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.studywithnewzealand.govt.nz/en
โดยหน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ (Education New Zealand) ได้มุ่งส่งเสริมความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างประเทศ และเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาของไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ร่วมกับสถาบันการศึกษาของไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น โครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (RMUTT) และมหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ ที่เริ่มต้นในปี 2016 และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ในการร่วมกันพัฒนาหลักสูตรเตรียมความพร้อมปริญญาตรีไฮบริดนิวซีแลนด์ (Business Foundation Studies Programme) เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเรียนไทยสามารถต่อปริญญาตรีแบบไฮบริดกับมหาวิทยาลัยระดับโลกของนิวซีแลนด์
รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (RMUTT) เปิดเผยว่า โครงการความร่วมมือระหว่าง RMUTT กับ มหาวิทยาลัยโอทาโก เป็นการร่วมกันพัฒนาหลักสูตรเร่งรัดสำหรับนักเรียนไทยโดยเฉพาะ เป็นหลักสูตรปรับพื้นฐานด้านธุรกิจ (Business Foundation Studies Programme) หลักสูตรเรียนเตรียมปริญญาปี 1 นิวซีแลนด์ที่ประเทศไทย 8 เดือน (เทียบเท่า ป.ตรี ปี 1) หลังจากจบหลักสูตรเร่งรัดแล้วสามารถเรียนจบ ป.ตรี นิวซีแลนด์ได้ใน 3 ปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเรียนไทยสามารถสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาในนิวซีแลนด์ได้เร็วขึ้น
“นับเป็นความโชคดีที่เรามีความร่วมมือกับ Education New Zealand มาตั้งแต่ปี 2016 และก็ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากการเข้ามาของโรคระบาด ทำให้การที่เราจะได้เจอกันแบบ Face To Face นั้นหยุดไปเกือบ 3 ปี แต่ถึงจะอยู่ในช่วงของโรคระบาด เราก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เรายังคงมีการติดต่อสื่อสารและมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะการสื่อสารแบบออนไลน์ เราดำเนินการความร่วมมือกับ The University of Otago แบบออนไลน์ด้วยกัน มีการดำเนินกิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งจัดการเรียนการสอนด้วยกัน สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่สร้างจุดแข็งให้กับบัณฑิตของราชมงคลธัญบุรี”
นอกจากความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรปริญญาตรีไฮบริดนิวซีแลนด์แล้ว ที่ผ่านมา RMUTT ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศนิวซีแลนด์ ผ่านสถานทูตนิวซีแลนด์ประจำประเทศไทยในการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZC) ที่ศูนย์นวัตกรรมและความรู้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีที่ DD Mall เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เพื่อเชื่อมโยงการศึกษาระหว่างการศึกษาไทยกับการศึกษานิวซีแลนด์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับนานาชาติให้นักเรียนไทยอีกด้วย
นายกรานท์ แมคเฟอร์สัน (Mr. Grant McPherson) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ (Education New Zealand; ENZ) ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า ตลาดการศึกษานานาชาติในภูมิภาคเอเชียมีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งประเทศไทยนับเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย ที่มีการส่งนักเรียนไปศึกษาต่อที่นิวซีแลนด์ โดยจากข้อมูลเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 มีจำนวนนักเรียนต่างชาติที่ถือวีซ่านักเรียน (ที่ยังไม่หมดอายุ) ในประเทศนิวซีแลนด์ จำนวนสูงถึง 16,959 คน จากทั้งหมด 126 ประเทศ ในจำนวนนี้ มีนักเรียนไทยกว่า 840 คน
“ในส่วนของความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ไทย-นิวซีแลนด์ (Education New Zealand) เรามองที่ความต้องการของนักเรียนเป็นหลัก เพราะว่าจะต้องตอบสนองความต้องการของนักเรียนที่ต้องการเรียนต่อในต่างประเทศ และในช่วง Covid-19 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการศึกษาและวิถีชีวิตในภาพรวม เราจึงต้องมามองดูปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่นักเรียนสามารถจ่ายได้เพื่อศึกษาต่อต่างประเทศ การจัดพื้นที่ในการศึกษา สามารถเรียนได้ที่บ้านของตัวเอง และการที่นักเรียนจะได้ผลประโยชน์ต่าง ๆ จากที่เขาเรียนต่อต่างประเทศตรงนี้”
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการระบาดของโควิด-19 ทางหน่วยงานการศึกษานิวซีแลนด์ ก็ให้การดูแลเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่ายของนักเรียน การจัดพื้นที่ในการศึกษาให้สามารถเรียนได้ในห้อง และการดูแลในเรื่องอื่น ๆ
“สำหรับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งเป็น Partner ที่ดีที่ทำให้นักศึกษาไทยมีโอกาสในการเรียนต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ ในความร่วมมือนี้ก็ไม่ได้มีเพียงมหาวิทยาลัยเพียง 1 แห่ง แต่ว่าทั้ง 8 แห่งของนิวซีแลนด์ทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมของนักเรียนไทยในการที่พวกเขาจะ Transition ไปสู่การศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยที่นิวซีแลนด์ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่โอทาโก ทำให้นักเรียนมีทางเลือกมากขึ้นในการที่พวกเขาจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพสูงสุด ทั้งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีและนิวซีแลนด์”
นายกรานท์ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ว่าเป็นโอกาสในการที่จะสามารถร่วมมือกันในการพัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ ที่สามารถเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าไปสู่การศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ และหลักสูตรการศึกษาทางด้านอื่นที่สามารถต่อยอดจากความร่วมมือตรงนี้ ก็คือ Creative design ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบแฟชั่น, Digital Media , และการบริหารธุรกิจ นอกจากนี้ก็ยังมีสาขาวิชาในเรื่องของอนาคตที่เป็นทักษะที่มีความต้องการในปัจจุบัน อย่างปัญญาประดิษฐ์หรือ AI หรือสาขาวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้ทางนิวซีแลนด์มองว่าจะต้องตรงกับความต้องการของนักเรียนในปัจจุบันด้วย
“ในส่วนของการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์ มีจุดแข็งคือ เป็นการศึกษาที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นในระดับของโรงเรียน หรือว่าระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยทั้ง 8 แห่งของประเทศนิวซีแลนด์ติดอยู่ใน 500 อันดับแรกของ Heigher Education และในหลายสาขาวิชาก็ติด Top 20 ของโลก ทั้งนี้ประโยชน์ของนักเรียนไทยที่ไปศึกษาที่นิวซีแลนด์ ตอนนี้มหาวิทยาลัยทั้ง 8 แห่งของนิวซีแลนด์สามารถที่จะรับตรงได้”
นายกรานท์ ให้รายละเอียดต่อไปอีกว่า โดยปกติ ป.ตรีของไทยจะมีระยะเวลาเรียนที่ 4 ปี แต่ของนิวซีแลนด์จะอยู่ที่ 3 ปี ถ้าจากหลักสูตรของไทยได้ GPA. 3.2 และ IELTS ในระดับ 6 ก็จะสามารถเข้าไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในนิวซีแลนด์และจบภายใน 3 ปีได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในหลักสูตรเตรียมความพร้อมของไทยก็จะสามารถช่วยนักเรียนในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทั้ง ภาษาอังกฤษในระดับสูง และทำให้นักเรียนคุ้นชินกับหลักสูตรและระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของนิวซีแลนด์
“นิวซีแลนด์มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพสูง อีกทั้งที่ผ่านมาในช่วงของโควิด ที่ทำให้นักเรียนไม่สามารถกลับมายังประเทศไทยได้ ทางนิวซีแลนด์ก็ได้ให้การดูแลเป็นอย่างดี ทั้งทางรัฐบาลที่ให้ความใส่ใจและมีมาตราการดูแลในส่วนนี้ด้วย และนิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศแรกของโลกที่มีกฎหมายในการดูแลชาวต่างชาติ”
ในปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์โควิดทำให้สถิตินักเรียนไทยที่ไปศึกษาอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์น้อยลงกว่าเดิม แต่หลังจากนิวซีแลนด์เปิดประเทศ ก็มีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 5 พ.ย. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับการศึกษาต่อที่ประเทศนิวซีแลนด์ มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก มีสถาบันมาเข้าร่วม 47 สถาบัน ทำให้เห็นว่าถึงแม้จะอยู่ในช่วงโควิด แต่เทรนด์ในการศึกษาต่อที่นิวซีแลนด์ไม่ได้ลดลงไปเลย
ทั้งนี้ ภายหลังนิวซีแลนด์หลังเปิดประเทศ มีคนไทยสนใจไปเรียนต่อเพิ่มขึ้นกว่า 25% เนื่องด้วยหลักสูตรการศึกษาที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์และกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานโลก เช่น หลักสูตรการพัฒนาเอไอ (AI), หลักสูตรการสร้างเกมส์ เทคโนโลยีแฟชั่นดิจิทัล (Digital Fashion Technology) ออกแบบเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital and Design) วิทยาศาสตร์สุขภาพด้านสุขภาพดิจิทัล (Health Sciences in Digital Health), นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) และ การตลาดดิจิทัล (Digital Ubiquitous Marketing) เป็นต้น
สำหรับน้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาที่มีความประสงค์ที่จะศึกษาต่อ หรือสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษานิวซีแลนด์ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.studywithnewzealand.govt.nz/en