เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ได้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงกลางลำน้ำโขงระหว่างบ้านพี่เมืองน้องลาวกับไทยในบรรยากาศที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าครอบคลุม ต่างระดมทั้งปืนเล็ก ปืนใหญ่ รถถัง จนถึงเครื่องบินเข้าเผชิญหน้าและสาดกระสุนเข้าหากัน พันจ่าผู้ถือท้ายเรือตรวจการณ์ลำน้ำของไทยถูกกระสุนเจาะเข้าหน้าผากขณะพูดวิทยุ ทำให้เรือพุ่งเข้าเกยตื้นดอนกลางลำน้ำ ลูกเรืออีก ๓ คนต้องสละเรือ ฝ่ายไทยระดมกำลังจะเอาศพลูกประดู่ออกมาให้ได้ แต่ก็ถูกระดมยิงอย่างหนักเพราะกลายเป็นเป้านิ่งบนเนินกลางลำน้ำที่ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรักษาการผู้บัญชาการทหารเรือรุดไปที่เกิดเหตุ ลั่นวาจาที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจลูกประดู่ไปตามกันว่า “ถ้าชิงศพมาไม่ได้ ก็เพิ่มศพเข้าไป”
เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑๒.๕๓ น. เมื่อเรือของ นปข. หรือหน่วยตรวจการตามลำน้ำโขงของไทย ล.๑๒๓ มีเรือตรีโชติ แทนศิริ เป็นผู้ควบคุมเรือ พันจ่าตรีปรัศน์ พงษ์สุวรรณ ถือพังงาเรือ จ่าตรีบัญญัติ มากุล เป็นประจำปืน และมีจ่าพรรคกลินเป็นช่างกลประจำเรืออีก ๑ นาย ได้รับคำสั่งออกลาดตระเวนเมื่อมีข่าวว่าจะมีการขนอาวุธสงครามข้ามมาฝั่งไทย พอขึ้นเหนือมาถึงบ้านดอนน้อย อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ก็ถูกระดมยิงมาจากฝั่งลาวด้วยปืนหลายชนิด ล.๑๒๓ จึงเร่งความเร็วหลบวิถีกระสุนลงใต้ แล้วรีบแจ้งเหตุไปยังสถานีเรืออำเภอศรีเชียงใหม่ ซึ่งได้ส่งเรือ ล.๑๒๘ ไปยังจุดปะทะอย่างเร่งด่วน แต่เมื่อ ล.๑๒๘ ออกจากท่ามาไม่นานก็ถูกถล่มอีกเช่นกันโดยกองกำลังที่ตั้งแถวเรียงรายอยู่บนฝั่งเหมือนเตรียมการอยู่แล้ว
ล.๑๒๓ ทราบเหตุจึงหันหัวเรือกลับขึ้นไปช่วย แต่เมื่อมาถึงบ้านดอนน้อย อำเภอศรีเชียงใหม่อีก ก็ถูกถล่มหนักด้วยจรวดอาร์พีจี. ปืนเล็ก ปืนใหญ่เต็มอัตรา กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้าหน้าผากพันจ่าตรีปรัศน์ผู้ถือท้ายเรือ ทำให้เรือเสียการควบคุมพุ่งเข้าเกยตื้นด้านท้ายของดอนแตง ซึ่งเป็นดอนอยู่กลางลำน้ำโขง
ดอนแตง ซึ่งอยู่หน้าบ้านดอนน้อยในอำเภอศรีเชียงใหม่นี้ มีเนื้อที่ประมาณ ๒,๐๐๐ ไร่ ช่วงที่น้ำลดจะมีชาวบ้านฝั่งไทยกว่า ๑๐๐ ครอบครัวไปปลูกพริก ยาสูบ หรือพืชอายุสั้น เมื่อครั้งที่ทำสนธิสัญญาแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ให้ใช้ร่องน้ำลึกแบ่งเขต ดอนแตงจึงเป็นของไทย
เมื่อ ล.๑๒๓ เกยตื้นจึงกลายเป็นเป้านิ่งที่ถูกถล่มอย่างหนักให้หมดสภาพ เรือ ล.๑๒๘ พยายามจะเข้าช่วยก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะถูกระดมยิงเช่นกัน จึงเพียงแค่ยิงคุ้มกันให้เท่านั้น ขณะนั้นบนฝั่งลาวยังมีขบวนรถถังเข้ามาเสริม ส่วนในน้ำก็มีเรือรบ ๓ ลำพุ่งเข้ามาร่วมถล่ม ล.๑๒๓ ทางสถานีเรือศรีเชียงใหม่ได้ส่งเรือ นปข.เข้ามาช่วยอีก ๒ ลำ แต่ก็ถูกเตรียมรับยิงสกัดหน้าสกัดหลังจนไม่สามารถเข้าถึงที่เกิดเหตุได้ จนถึงเวลา ๑๕.๔๐ น. ลูกเรือ ล.๑๒๓ อีก ๓ คนได้พยายามต่อสู้จนกระสุนหมด จ่าตรีบัญญัติ จ่าปืนเรือ ถูกยิงทั้งขาขวา แขนขวา และแขนซ้าย อาการหนัก ผู้ควบคุมเรือจึงจำต้องสั่งสละเรือ ประคองจ่าตรีบัญญัติคืบคลานหลบหลีกข้ามมาอีกฝั่งของดอนด้านตลิ่งฝั่งไทย นาวิกโยธินจึงได้นำเรือหางยาวออกไปรับลูกเรือ ล.๑๒๓ ทั้ง ๓ คนกลับมา แต่ไม่สามารถไปถึงเรือนำศพพันจ่าตรีปรัศน์กลับมาได้
นปข.แม้จะเป็นทหารเรือ หรือแม้ตำรวจ ตชด.ในเขตนั้น ทุกหน่วยกำลังป้องกันชายแดนด้านนี้ต้องขึ้นกับกองทัพภาคที่ ๒ ด้วยเหตุนี้ในคืนวันนั้น พล.ท.เปรม ติณสูลานนท์ แม่ทัพภาคที่ ๒ จึงได้สั่งให้กำลังของทุกหน่วยในพื้นที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกัน ในการที่จะชิงเอาเรือ ล.๑๒๓ กลับมาให้ได้พร้อมศพพันจ่าตรีปรัศน์ จึงมีการเสริมกำลังพร้อมอาวุธหนักทั้งรถถังและปืนใหญ่เข้าไปในพื้นที่ มีทหารราบอีก ๑ กองร้อยเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ได้ทันทีเมื่อมีคำสั่ง และเมื่อพบว่ามีการเคลื่อนไหวจากฝ่ายลาวที่จะเข้ายึด ล.๑๒๓ จึงมีการยิงพลุส่องสว่างและกระสุนระเบิดป้องกันไม่ให้ฝ่ายลาวเข้าใกล้ ล.๑๒๓ ได้
เช้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน เมื่อสว่างก็เห็นกองกำลังฝ่ายลาวเรียงรายตลอดแนว พร้อมทั้งรถถัง ๔ คันและปืนใหญ่ ส่วนในลำน้ำก็มีเรือรบและเรือลำเลียงพลเหมือนเตรียมจะขึ้นยึดดอนแตง นาวิกโยธินจำนวนหนึ่งจึงใช้เรือพายเคลื่อนกำลังขึ้นไปบนดอนแตง แต่เมื่อเข้าใกล้ ล.๑๒๓ ก็ถูกกองกำลังของลาวทั้งบนบกและในน้ำโจมตีอย่างหนัก กองทัพอากาศจึงส่งเครื่องบิน ที ๒๘ ขึ้นกราดปืนกลยิงช่วย และยิงเรือรบลาวที่เข้ามาใกล้ดอนแตงจนต้องถอยออกไป บ่ายวันนั้นเครื่องบินไอพ่นลำหนึ่งของลาวก็บินโฉบดอนแตงเป็นการข่มขวัญ สถานการณ์จึงส่อเค้าว่าจะรุนแรงและยืดเยื้อ
พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรักษาราชการผู้บัญชาการทหารเรือได้ไปยังที่เกิดเหตุ และให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวมีประโยคตราตรึงผู้ปฏิบัติการรักษาศักดิ์ศรีความเป็นไทยในครั้งนั้นว่า “ถ้าชิงศพมาไม่ได้ ก็เพิ่มศพเข้าไป” ทำให้มีกำลังใจฮึกเหิมกันมากขึ้น
ฝ่ายไทยประเมินกันว่า การเข้าชิงศพในเวลากลางวันจะเป็นการยาก ต้องใช้ความมืดเป็นฉากกำบัง ในคืนนั้นหน่วยซีน ๕ นายจึงได้รับมอบหมายให้เป็นมนุษย์กบไปชิงศพกลับมาให้ได้ โดยมีนาวิกโยธินอีกหมวดหนึ่งขึ้นไปบนดอนคอยคุ้มกัน
แม้จะไปใต้น้ำจนถึงเรือแล้ว แต่จะขึ้นไปบนเรือก็ลำบากเพราะฝ่ายลาวซึ่งอยู่ห่างไปเพียง ๒๐๐ เมตรได้กราดไฟฉายดูอยู่เสมอ จึงพยายามเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด ส่งเพียงคนเดียวขึ้นไปบนเรือ พบศพพันจ่าตรีปรัศน์ยังนั่งอยู่ในที่ถือท้ายเรือ มือยังถือไมโครโฟนที่พูดวิทยุ จึงประคองร่างมาส่งให้เพื่อน และนำศพมาถึงฝั่งไทยได้ในเวลา ๐๒.๑๕ น.ของวันใหม่ หลังจากใช้เวลาปฏิบัติการ ๖ ชั่วโมง
แม้จะได้ศพคืนมาแล้ว กองทัพเรือก็ยังต้องการเอาเรือกลับเพื่อศักดิ์ศรี แม้จะปะทะกันก็ยอม การปฏิบัติการณ์ก็ต้องใช้เวลากลางคืนเท่านั้น และการจะเอาเรือกว้าง ๑๑ ฟุต ยาว ๓๑ ฟุต มีน้ำหนักเป็นตันๆที่ติดอยู่บนบกลงน้ำ ทั้งยังไม่อาจใช้เครื่องทุ่นแรงใดๆได้ นอกจากกำลังคนเท่านั้นจึงเป็นการยาก นาวิกโยธินราว ๓๐ คนได้รับมอบหมายให้ใช้แรงฉุดเชือกดึงเรือลง โดยขุดร่องน้ำเข้าช่วย และมีกองกำลังอีกหมวดคุ้มกัน ปฏิบัติการเริ่มขึ้นตั้งแต่ความมืดโรยตัว จนสว่างแล้วก็ยังไม่สำเร็จ เพียงแต่ลากเรือมาชิดน้ำได้เท่านั้น จึงตัดสินใจที่จะเอาเรือลงน้ำให้ได้ ด้วยความแปลกใจที่ตลอดคืนนี้ไม่มีปฏิบัติการจากฝ่ายลาวเลย และสามารถเอาเรือลงน้ำได้เมื่อสายๆ ท่ามกลางประชาชนทั้ง ๒ ฝั่งยืนเรียงรายกันเฝ้าดูอย่างแน่นขนัด เมื่อเหล่านาวิกโยธินไชโยโห่ร้องที่เอาเรือลงน้ำได้สำเร็จ ประชาชนทั้ง ๒ ฝั่งโขงก็ร่วมไชโยด้วย ทั้งยังมีเสียงจากฝั่งลาวตะโกนมาว่า “เฮ้ย เอาไปเสียที ขี้เกียจเฝ้าโว้ย”
เหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรไปได้ถึงขนาดนี้ มีกระแสข่าวจากภายในว่า ได้มียกหูโทรศัพท์เจรจากันในระดับสูงของทั้งสองฝ่ายว่าจะสู้กันไปทำไม ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่เสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย เรื่องพี่น้องทะเลาะกันก็เลยจบง่ายๆด้วยการหันหน้าเข้าพูดจากัน
แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นวีรกรรมของทหารหาญซึ่งมีหน้าที่สละชีวิตเพื่อประเทศชาติครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ถูกขนานนามว่า “วีรกรรมดอนน้อย”