1."ครม." ไฟเขียว มท.ถอนร่างฯ ให้ต่างชาติซื้อที่ดิน 1 ไร่ ไปศึกษาให้รอบคอบ ด้าน “ศรีสุวรรณ” เปิดประเด็นใหม่ ยื่นศาล ปค. ถอนประกาศให้นิติบุคคลต่างชาติซื้อที่ดิน 35 ไร่!
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทยถอนร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อนำไปศึกษาเพิ่มเติม รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์อย่างรอบด้านของผู้ที่เกี่ยวข้อง
นายอนุชา กล่าวว่า ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 ต.ค. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์เป็นการเฉพาะเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินของกลุ่มคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง 4 ประเภท ได้แก่ 1) กลุ่มประชาคมโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง 2) กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ 3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ ตามมาตรา 96 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยต้องนำเงินมาลงทุนในธุรกิจ หรือกิจการประเภทหนึ่งประเภทใดไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท โดยต้องดำรงการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 3 ปี เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น สำหรับการได้มาซึ่งที่ดินที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าวโดยทั่วไป ยังคงเป็นไปตามกฎกระทรวง พ.ศ.2545 ที่ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบัน
นายอนุชา กล่าวด้วยว่า กระทรวงมหาดไทยได้ขอถอนร่างกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อนำไปรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ และนำไปศึกษาเพิ่มเติมให้มีความรอบคอบ ถี่ถ้วน และครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน รวมถึงการฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อพิจารณาถึงผลดีผลเสียที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ร่างกฎกระทรวงเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติต่อไป
ขณะที่นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงคำร้องที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธรานนท์ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ยื่นให้ตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรี กรณีร่างกฎกระทรวงให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดินได้ 1 ไร่ แลกกับการลงทุน 40 ล้านบาทว่า กรณีนี้เป็นเพียงมติคณะรัฐมนตรี ยังไม่มีการออกเป็นกฎหมายมาบังคับใช้ จึงมีแนวโน้มว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่รับไว้วินิจฉัย ไม่ส่งต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะไม่เข้าเงื่อนไข
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีการถอนร่างกฎกระทรวงดังกล่าวออกแล้ว ทางผู้ตรวจการแผ่นดินจะยังมีการตรวจสอบหรือไม่ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า คงต้องมีการยุติเรื่อง เมื่อเหตุแห่งคำร้องไม่มี เรื่องนี้ก็ไม่เข้าเงื่อนไขเพียงพอที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับไว้พิจารณา และเป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่จะดำเนินการต่อไป ซึ่งทาง ครม.ก็ระบุจะนำเรื่องนี้กลับไปทบทวนอีกครั้ง จึงต้องรอดูก่อน หากมีการทบทวนและประกาศใช้แล้วเกิดผลกระทบ ก็จะเข้าเงื่อนไขที่จะพิจารณาส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการต่อไป เนื่องจากกฎกระทรวงมีศักดิ์ต่ำกว่า พ.ร.บ.
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายคนไทยทั้งชาติ คนริมคลอง และคนที่ถูกภาครัฐไล่รื้อบ้านเรือนให้ออกไปจากแผ่นดินเกิด ได้เข้ายื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 10 พ.ย. โดยกล่าวหาว่า บีโอไอออกประกาศให้นักลงทุนที่เป็นนิติบุคคลจากต่างชาติที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 5 ล้านบาท สามารถซื้อที่ดินหรือถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินในไทยได้ถึง 35 ไร่ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาเพิกถอนประกาศดังกล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 65 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการบีโอไอ ได้ออกประกาศอนุญาตให้นิติบุคคลต่างด้าวที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนสามารถซื้อหรือถือกรรมสิทธิในที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยในไทยได้ไม่เกิน 35 ไร่ แบ่งเป็นที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งสำนักงานได้ไม่เกิน 5 ไร่ ที่ดินสำหรับเป็นที่พักอาศัยของผู้บริหารหรือผู้ชำนาญการได้ไม่เกิน 10 ไร่ ที่ดินสำหรับเป็นที่พักอาศัยของคนงานได้ไม่เกิน 20 ไร่ โดยที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานและที่พักอาศัยจะอยู่ในบริเวณเดียวกันกับที่ดินอันเป็นที่ตั้งสถานประกอบการ หรือไม่ก็ได้ โดยประกาศดังกล่าวไม่มีการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นข้อพิรุธอย่างชัดแจ้ง
นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า “มติ ครม.ให้ต่างชาติซื้อที่ดินอาศัยได้ 1 ไร่ก่อนหน้านี้ ว่าหนักแล้ว ประกาศนี้อัปยศยิ่งกว่า สมาคมฯ และตัวแทนคนไทยทั้งชาติ คนริมคลอง คนที่ถูกภาครัฐไล่รื้อบ้านเรือนให้ออกไปจากแผ่นดินเกิด ไม่อาจปล่อยให้นายกรัฐมนตรีและบอร์ดบีโอไอ ใช้อำนาจได้โดยย่ามใจเพื่อเอาใจบริษัทต่างด้าวแบบนี้ได้ จึงต้องร้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนการประกาศที่เรียกสั้นๆ ว่า การขายแผ่นดินกิน ฉบับนี้เสีย”
2.ศาลฎีกาพิพากษายืนประหารชีวิต “ผู้กองเหน่ง” คดีฆ่า “ผอ.อ้อย” ให้ชดใช้เงินแก่โจทก์ 3.5 ล้าน!
สืบเนื่องจากคดีที่ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย ผู้อำนวยการกองการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมอบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ หายตัวไปตั้งแต่เดือน ก.ค. 2560 พ่อแม่ พร้อมด้วยสามีได้แจ้งความคนหายไว้ที่ สภ.กันทรลักษ์ ตำรวจและญาติพี่น้องได้ออกตามหาตัว ผอ.อ้อย ที่หายไปอย่างลึกลับ จนกระทั่งวันที่ 23 ต.ค. 2560 จึงพบกะโหลกศีรษะ โครงกระดูก เส้นผม เครื่องประดับ เข็มขัด นาฬิกาของ ผอ.อ้อย ในป่าใกล้ชายแดนสามเหลี่ยมมรกต อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี โดยมี ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือผู้กองเหน่ง นายทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ตกเป็นผู้ต้องหา ต่อมา วันที่ 30 ต.ค. 2560 พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา ร.อ.ศุภชัย 3 ข้อหา ประกอบด้วย 1. ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2. หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 3. ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย. นายบุญเลิศ อุ่นอ่อน และนางแหลม อุ่นอ่อน พ่อและแม่ของ ผอ.อ้อย พร้อมทนายและญาติพี่น้อง ได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีนี้
ทั้งนี้ ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ประหารชีวิต ร.อ.ศุภชัย
ส่วนคดีทางแพ่งที่ให้ชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วม ซึ่งมีพ่อ แม่ สามี และลูกสาว ให้จำเลยชำระค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็น ค่าขาดไร้อุปการะและขาดแรงงานในครัวเรือนแก่โจทก์ร่วมที่ 1-4 จากเดิม 2,376,000 บาท เป็น 3,510,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยศาลฎีกาให้แก้ส่วนที่เป็นดอกเบี้ยจาก 7.5 ต่อปี เป็น 5% ต่อปี ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ นอกนั้นยืนตามศาลศาลอุทธรณ์
ด้านพ่อแม่และญาติพี่น้องของ ผอ.อ้อย รู้สึกพอใจในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้ความเป็นธรรมกับครอบครัว
สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ค. 2560 ผอ.อ้อย หายตัวไปร่วมเดือน โดยฝากลูกไว้กับพ่อแม่ ญาติจึงแจ้งความตามหา ระหว่างนั้นมีการติดต่อเพื่อนทางไลน์เพื่อทวงหนี้ ตำรวจสืบสวนในภายหลังพบบัญชีของ ผอ.อ้อยมีความเคลื่อนไหว โอนเงินให้ทหารยศ ร.อ.นายหนึ่ง และพบว่ามีการเดินทางไปด้วยกัน กลางเดือน ส.ค. ตำรวจพบรถของ ผอ.อ้อย ที่อู่แห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี ในรถมีคราบเลือด ต่อมา ตำรวจสืบสวนออกหมายจับ ผู้กองเหน่ง นายทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กับพวก รวม 4 คน
ต่อมา เดือน ต.ค. ปีเดียวกัน สามี ผอ.อ้อย และครอบครัวพยายามตามหาศพ จนพบกระดูกและกะโหลกในป่าลึกห่างจากฐานทหารใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ต่อมา ตรวจดีเอ็นเอ พบเป็นของ ผอ.อ้อย ตำรวจได้แจ้งข้อหาผู้กองเหน่ง ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ซ่อนเร้นอำพรางศพ และกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต่อมา ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2562 ให้ประหารชีวิตผู้กองเหน่ง
ต่อมา วันที่ 1 ก.ย.2563 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนให้ประหารชีวิตผู้กองเหน่งเช่นกัน
3. ศาลพิพากษาจำคุก "หมอ รพ.ตร." 3 ปี เมาซิ่งปอร์เช่ชนซีวิคดับ 2 สาหัส 1 ด้านลูกผู้ตายจ่ออุทธรณ์ให้เพิ่มโทษ-ไม่รอลงอาญา!
เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ศาลอาญาธนบุรีได้นัดฟังคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาธนบุรี 4) และโจทก์ร่วม น.ส.ผ่องเพชร สิริอิสสระนันท์ ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ฟ้อง ร.ต.อ.นพ.ภาณุรักษ์ รัตนไพศร นายแพทย์ (สบ1) กลุ่มงานศัลยกรรม รพ.ตำรวจ เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถขณะเมาสุรา และโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถที่มีไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อมในเวลาต้องห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522
คดีนี้ อัยการโจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2564 จำเลยได้ขับรถปอร์เช่ ป้ายแดง เวลาหลังพระอาทิตย์ตกแล้ว ไปตาม ถ.ราชพฤกษ์ แขวงบางจาก เขตภาษีเจริญ ในขณะที่จำเลยเมาสุราโดยมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถความเร็วเกินกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่กฎหมายกำหนด แล้วได้เกิดพุ่งชนท้ายรถยนต์ฮอนด้าซีวิคได้รับความเสียหายอย่างมาก ซึ่งผู้โดยสารในรถยนต์ซีวิค 2 คน (ชาย-หญิง) ได้รับอันตรายจนถึงแก่ความตาย และหญิงที่ขับขี่รถยนต์ซีวิคคันดังกล่าวได้รับอันตรายสาหัส
นายกานต์พงศ์ สิริอิสสระนันท์ ลูกชายผู้เสียชีวิต กล่าวว่า คดีนี้ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ในความผิดฐานขับรถขณะเมาสุรา และโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส เป็นเวลา 6 ปี ปรับ 202,000 บาท แต่จำเลยรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 ปี ปรับ 101,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี
นายกานต์พงศ์ เผยด้วยว่า โดยส่วนตัวน่าจะยื่นอุทธรณ์คดีขอให้ศาลเพิ่มโทษจำคุกและไม่รอการลงโทษ เพราะเห็นว่าฝ่ายจำเลยไม่ได้รู้สึกผิดในการกระทำ โดยมารับสารภาพในการสืบพยานชั้นศาล แต่ก่อนหน้านี้ให้การปฎิเสธมาโดยตลอด ส่วนเรื่องค่าเสียทางจำเลยวางเงินค่าสินไหมทดแทนสำหรับครอบครัวตนที่ศาลเป็นจำนวนเงิน 1.5 ล้านบาท สำหรับการเสียชีวิตของพ่อตนเเละ 1 ล้านบาท สำหรับผู้บาดเจ็บสาหัสซึ่งเป็นน้องสาว รวมกันราคาสองชีวิตยังไม่ถึงครึ่งของมูลค่ารถปอร์เช่ที่ผู้ก่อเหตุขับชน
ด้าน น.ส.ผ่องเพชร ผู้ได้รับบาดเจ็บ กล่าวว่า หลังได้รับอุบัติเหตุมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลา 1 ปีกว่าแล้ว ก็ยังรักษาไม่หายเป็นปกติ ทางด้านคดีรู้สึกว่า ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรม กฎหมายบ้านเราลงโทษคดีเมาแล้วขับสถานเบา ไม่เหมือนต่างประเทศ ทำให้เกิดคดีแบบนี้ซ้ำๆ
4. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก “เเอมมี่” 2 เดือน ปรับ 2 หมื่น รอลงอาญา 1 ปี คดีสาดสีใส่ตำรวจหน้า สน.สำราญราษฎร์!
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ศาลแขวงดุสิตได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ The Bottom Blues ศิลปินแนวร่วมกลุ่มราษฎร ถูกฟ้องเป็นจำเลยกรณีชุมนุมสาดสีใส่ตำรวจที่หน้า สน.สำราญราษฎร์ เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2563
คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2564 ว่าจำเลยมีความผิด 3 ข้อหา ได้แก่ ทําร้ายร่างกายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391, ทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และทำให้ปรากฏซึ่งรูปรอยใดๆ บนถนนหรือที่สาธารณะ ตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 12 ลงโทษจำคุก 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 เดือน ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี โดยให้รายงานตัวคุมประพฤติ 1 ปี และให้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ต่อมา จำเลยยื่นอุทธรณ์
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการกระทำครั้งเดียวและกระทำในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่มีเจตนาทำร้ายร่างกายตำรวจ รวมถึงทำลายทรัพย์สินส่วนตัวและสาธารณะให้เกิดความเสียหาย การลงโทษจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ที่สำคัญ การสาดสีใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจนชุดของเจ้าหน้าที่รัฐเกิดความเสียหาย ถือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตราย พฤติการณ์ร้ายแรง และเป็นการก่อความวุ่นวายต่อบ้านเมือง อีกทั้งจากรายงานการสืบเสาะยังปรากฏว่า จำเลยยังถูกกล่าวหาในคดีอื่นๆ อีกหลายคดี จึงสมควรแก่การลงโทษแล้ว พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
หลังศาลอ่านคำพิพากษา นายไชยอมร หรือแอมมี่ กล่าวว่า ตนคิดไว้อยู่แล้วว่าคงไม่กลับคำพิพากษา เพราะเป็นคดีการเมือง แต่ที่ยื่นอุทรณ์ไป เพราะเผื่อว่าจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงอะไรได้
สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2563 กลุ่มนักศึกษาและประชาชนที่ได้รับหมายเรียกจากการเข้าร่วมชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2563 รวม 15 ราย ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.สําราญราษฎร์ และได้มีมวลชนไปรวมตัวให้กำลังใจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรึงกำลังรอบพื้นที่พร้อมแผงเหล็กกั้นถึงสองชั้น ไม่ให้เข้าไปในพื้นที่หน้า สน. แต่ผู้ชุมนุมพยายามดันแผงเหล็กเข้าไป และนายไชยอมรได้ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยใช้ถังสีพลาสติก สีน้ำเงินสาดใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จนสามารถเข้าไปยืนบริเวณลานจอดรถใต้ถุน สน.สำราญราษฎร์
5. กสทช.อนุมัติงบ 600 ล้าน ให้ กกท. ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดบอลโลก ด้าน “ก้องศักด” หนักใจต้องหาเพิ่มพันล้าน สะพัดเอกชนร่วมหนุนแล้ว 3 ราย!
เมื่อวันที่ 9 พ.ย. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ประชุมวาระสำคัญคือ การพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เพื่อนำไปซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ทั้ง 64 นัด จำนวน 1,600 ล้านบาท ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 พ.ย.-18 ธ.ค.2565 ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ โดยที่ประชุม กสทช.ได้เชิญนายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่า กกท.เข้ามาชี้แจงรายละเอียดของเงิน 1,600 ล้าน ว่ามีค่าอะไรบ้าง และจะนำไปทำอะไรบ้าง
หลังประชุม นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เผยว่า ที่ประชุม กสทช.มีมติเสียงข้างมากอนุมัติสนับสนุนเงินงบประมาณแก่ กกท.เพื่อถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายตามจำนวนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 600 ล้านบาท โดยให้คณะกรรมการบริหารกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) และสำนักงาน กสทช.ดำเนินการตามระเบียบต่อไป
นายไตรรัตน์ กล่าวว่า ที่ประชุม กสทช.ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง ตามมาตรา 52(1) แห่ง พ.ร.บ.องค์การจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ.2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเป็นการดำเนินการเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของคนพิการและคนด้อยโอกาสให้เข้าถึง หรือรับรู้และใช้ประโยชน์จากรายการของกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ได้อย่างเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป ตามมาตรา 36 และมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ซึ่ง กสทช.สามารถดำเนินการได้ และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกองทุน กทปส. อีกทั้งการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็น 1 ใน 7 รายการที่ กสทช.กำหนดไว้ในประกาศ กสทช.เรื่อง มัสต์แฮฟ (Must Have) หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555
ด้านนายก้องศักด ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมากรณี กสทช.อนุมัติเงินสนับสนุนถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 600 ล้าน จากที่ขอไป 1,600 ล้าน โดยยอมรับว่าหนักใจกับจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่ เพราะตอนแรกคาดว่าจะได้มากกว่านี้ แต่จะพยายามทำอย่างเต็มที่ในการหาเงินมาเพิ่มให้ครบตามจำนวนในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ เพื่อให้คนไทยได้รับชมฟุตบอลโลก และว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการพูดคุยกับหน่วยงานเอกชนบางแห่งไว้บ้างแล้ว แต่ต้องรอดูว่า จะมีใครสนับสนุนได้เท่าไหร่บ้าง
วันต่อมา (10 พ.ย.) นายก้องศักด เผยว่า กกท.ได้ทำหนังสือถึงสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และทางอินฟรอนท์ บริษัทตัวแทนของฟีฟ่าในการเจรจาลิขสิทธิ์ เพื่อให้ช่วยพิจารณาลดราคาที่เคยเสนอมา 36 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,326.24 ล้านบาท โดยแจ้งว่า ได้รับเงินสนับสนุนจาก กสทช.จำนวน 600 ล้านบาท ขอให้ช่วยพิจารณาค่าลิขสิทธิ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง “ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะได้ลดราคาลงมาเหลือเท่าไร เพราะคราวก่อนขอให้ลดจาก 38 ล้านเหรียญ ก็ลดลงมาเหลือ 36 ล้านเหรียญเท่านั้น”
นายก้องศักด กล่าวอีกว่า ไทม์ไลน์ตอนนี้คือ รอทางอินฟรอนท์สรุปราคาเข้ามา จากนั้นไปหารือกับเอกชนเพื่อหาเงินให้ได้ครบตามจำนวน และทำข้อตกลงสัญญาต่างๆ ส่งให้อัยการสูงสุดตรวจพิจารณา จึงนำไปเซ็นสัญญาได้ ถือว่ายังมีกระบวนการอีกมาก และต้องทำงานอย่างหนัก เพราะเหลือเวลาไม่มาก เนื่องจากเส้นตายของฟีฟ่ากำหนดไว้ในการซื้อลิขสิทธิ์คือ ก่อนเริ่มการแข่งขัน
ทั้งนี้ มีรายงานว่า รัฐบาลได้ดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 จากภาคเอกชนรายใหญ่ได้แล้ว 4 ราย วงเงิน 800 ล้านบาท ส่วนอีก 1 รายจำนวน 200 ล้านบาท กำลังรอคำตอบ
ด้านนายก้องศักด ได้ออกมาปฏิเสธตัวเลข 800 ล้านที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนว่า "คงไม่ใช่ ผมเองยังไม่เคยเปิดเผยด้วยว่าได้รับการสนับสนุนเป็นจำนวนเงินดังกล่าว และไม่ทราบด้วยว่ามาจากไหน ส่วนตัวเลขสนับสนุนตอนนี้ยังไม่นิ่ง หวังจะได้รับการอนุเคราะห์จากภาคเอกชนอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย"
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจาก กกท. รายงาน (11 พ.ย.) ว่า เวลานี้มีการตอบรับสนับสนุนเข้ามาแล้ว 400 ล้านบาท จาก 3 บริษัทเอกชน ซึ่งอาจดันตัวเลขไปได้ถึง 500 ล้านบาท โดยเมื่อรวมกับงบประมาณที่ได้รับจาก กสทช. จะทำให้มีเงินอยู่ในมือในการเจรจากับทางฟีฟ่าประมาณ 1,000-1,100 ล้านบาท