“โครงกระดูกในตู้” เป็นหนังสือที่ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นำเรื่องราวบรรพบุรุษของท่านที่เป็นโครงกระดูกไปหมดแล้วมาเล่าให้ลูกหลานฟังและคนอื่นได้พลอยฟังไปด้วย โดยท่านออกตัวไว้ว่า
“...มีบางท่านเห็นว่าผู้เขียนนำเรื่องที่ไม่ควรเล่ามาเล่า แต่ผู้เขียนเองมีความเห็นว่า เมื่อเรื่องเหล่านี้เป็นความจริงถึงจะไม่เล่าเอง ต่อไปก็จะมีผู้อื่นนำมาเล่าจนได้ แต่เมื่อผู้ที่จะนำมาเล่านั้นมิได้ใกล้ชิดกับบุคคลในเรื่อง และไม่ได้ยินกับหูรู้ด้วยตา ก็อาจเล่าผิดพลาดซ้ำเติมและต่อเติมไปในทางที่ไม่เป็นจริงได้มาก เรื่องของบรรพบุรุษใครคนนั้นเล่าเสียเองจะดีกว่า”
เรื่องที่ท่านนำมาเล่าเรื่องหนึ่งคือ เรื่องสนุกของ “คุณป้าปุก” ธิดาเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ (แพ บุนนาค) และเป็นพี่สาวของมารดาท่าน เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์เป็นบุตรของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) เป็นเอกอัครราชทูตจำทูลพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปเจริญสัมพันธไมตรี ณ ราชสำนักพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ ณ กรุงปารีส เป็นองคมนตรี เป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในสมัย ร.๕ ซึ่งท่านได้ถวายตัว “คุณป้าปุก” เข้ารับราชการเป็นเจ้าจอมท่านหนึ่งด้วย
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้เล่าว่า
“คุณป้าปุกดูเหมือนจะจะมีนิสัยใจคอเหมือนผู้เขียนเรื่องนี้เอง คือเป็นคนมีเพื่อนมาก ชอบสนุกเฮฮาและเลี้ยง
เพื่อนฝูงเป็นเจ้ามือใหญ่อยู่เสมอ ที่เรือนท่านในวังนั้นก็มีเพื่อนฝูงและญาติไปมาหาสู่และเลี้ยงดูกันอยู่เป็นประจำ เจ้าคุณตาท่านมิได้เป็นเศรษฐี บุตรหญิงบุตรชายอื่นๆท่านก็มีอยู่มาก เบี้ยหวัดเงินปีของเจ้าจอมนั้นก็มิใช่ว่าจะมากมายอะไรนัก ถ้ารู้จักกินรู้จักใช้แต่พอควรก็พอจะรักษาเกียรติยศของเจ้าจอมไว้ได้ แต่ถ้าเป็นเจ้ามือใหญ่อย่างคุณป้าปุก เงินทองก็จะต้องขาดมือลง ไม่พอใช้
ในสมัยนั้นมีระเบียบอยู่ว่า เจ้าจอมคนใดทรงครรภ์พระองค์เจ้า ก็จะได้รับพระราขทานเงินเลี้ยงครรภ์ ๑๐๐ ชั่ง หรือ ๘,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นเงินมากมายในสมัยนั้น อยู่มาวันหนึ่ง คุณป้าปุกก็กราบบังคมทูลฯว่าทรงครรภ์พระองค์เจ้าแล้ว จึงทรงพระกรุณาพระราชทานเงิน ๑๐๐ ชั่งตามธรรมเนียม คุณป้าปุกก็หน้าบาน และครรภ์คุณป้าปุกก็โตขึ้นเรื่อยๆตามธรรมดาของคนมีครรภ์ จนที่สุดก็ครบถ้วนทศมาส ถึงเวลาที่จะประสูติพระองค์เจ้า
วันที่คุณป้าปุกจะประสูติพระองค์เจ้านั้น เจ้าพนักงานก็จัดเครื่องดุริยดนตรี มีปี่พาทย์และแตรสังข์แตรฝรั่งเข้าไปเตรียมไว้พร้อมตามราชประเพณี ถ้าประสูติพระองค์เจ้าชายก็จะประโคมแตรสังข์แตรฝรั่งและปี่พาทย์ ถ้าประสูติพระองค์เจ้าหญิงก็ประโคมแต่ปี่พาทย์เท่านั้น บรรดาพวกเจ้าคุณราชินีกุลฝ่ายใน คือคนในสกุลบุนนาคที่รับราชการอยู่ในวัง เช่นเจ้าคุณจอมมารดาสำลี เจ้าคุณนุ่มซึ่งเรียกกันว่าเจ้าคุณตำหนักเดิม เจ้าคุณคลี่ เจ้าคุณเป้า ฯลฯ ตลอดจนเจ้าคุณตาซึ่งเป็นบิดาคุณป้าปุก และพระยาในสกุลบุนนาคอีกหลายท่าน ก็พากันเข้าไปนั่งในเรือนคุณป้าปุกพร้อมกัน เพราะครั้งนั้นจะเป็นครั้งแรกที่ประสูติพระองค์เจ้าในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งมีเจ้าจอมมารดาเป็นคนในสกุลบุนนาค
แต่คราวนั้นไม่ได้ประโคมพระองค์เจ้าประสูติ เพราะเมื่อเห็นจะไปไม่รอดเข้าจริงๆ คุณป้าปุกท่านก็เผยความจริงว่าครรภ์ของท่านที่เติบโตขึ้นมานั้น ท่านใช้ผ้าขาวม้าพันเอาไว้และเสริมให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยมา ท่านมิได้ทรงครรภ์พระองค์เจ้าเลย ชะรอยคุณป้าปุกท่านจะเป็นคนสนุกสนาน ทำให้เบิกบานพระราชหฤทัยมาได้เสมอ พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึงไม่ได้ทรงพระพิโรธ แต่กลับทรงเห็นเป็นเรื่องขบขัน มิได้ลงพระราชอาญาแก่ท่านแต่อย่างใด ชั่วแต่ทรงเปลี่ยนระเบียบเสียใหม่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเจ้าจอมทรงครรภ์พระองค์เจ้า จะต้องประสูติพระองค์เจ้าให้เห็นเสียก่อน จึงจะพระราชทานเงินเลี้ยงท้อง ๑๐๐ ชั่ง”
นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นจริง นำมาเล่าโดยผู้ที่ใกล้ชิดกับบุคคลในเรื่อง ซึ่งได้ยินกับหูรู้ด้วยตา และไม่ได้ต่อเติมซ้ำเติมไปในทางที่ไม่เป็นจริง