ในการตั้งคณะสอบสวนเพื่อพิจารณาผู้ที่กระทำความผิดในสมัยก่อนนั้น มีการกระทำอันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่เรียกว่า “ขนบศาล” มีบันทึกหนึ่งที่บรรยายบรรยากาศในครั้งนั้นว่า
“...เวลาตระลาการไต่สวน คู่ความจะนั่งบนเสื่อตรงมุมหนึ่งของศาล มีหมอนวางอยู่ข้างตัวสำหรับหนุนข้อศอกในเวลานั่งหรือเวลานอนเอกเขนก ซักถามคู่ความไปพลาง สูบบุหรี่หรือดื่มน้ำชา หรือเคี้ยวหมากบ้วนน้ำหมากไปพลาง คนที่อยู่ในศาลเป็นตำรวจ พยาน ทนาย และคนฟัง ก็ประพฤติเช่นเดียวกันกับตระลาการ ส่วนคู่ความก็นั่งหมอบอยู่กับพื้นรอบตัวตระลาการ
สำหรับวิธีการสอบสวน ก่อนจะให้ตอบข้อซักถามต่างๆ ผู้ให้การจะต้องสาบานตัวต่อหน้าพระพุทธรูป เช่นกล่าวว่า
“...ไม่มีใครว่าจ้างหรือติดสินบนให้มาเป็นพยาน ถ้าหากกล่าวเท็จหรือเคลือบแฝง ทำให้การตัดสินผิดพลาด ก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ได้รับภยันตรายต่างๆ จากโจร จากปีศาจ และสัตว์ร้าย เช่น ราชสีห์ งูพิษ ถ้าไปทางน้ำก็ขอให้ถูกจระเข้หรือปลาดุร้ายขบกัดฟัดฟาดจนถึงแก่สิ้นชีวิต เมื่อตายแล้วก็ให้ตกนรก ถูกยมบาลทรมานอย่างแสนสาหัสเป็นเวลาหลายกัลป์ ถ้าหากไม่ตกนรกก็ให้เกิดเป็นสัตว์ ๕๐๐ ชาติ ถ้าเกิดเป็นคนก็ให้เป็นทาสหรือเป็นคนใบ้ คนตาบอด ต้องขอทานเขาเลี้ยงชีวิต หรือมิฉะนั้นก็ให้เป็นกระเทยถึง ๕๐๐ ชาติ”
นอกจากนี้กฎหมายยังให้อำนาจแก่ตระลาการไว้อีก เช่น
“...เมื่อตระลาการซักไซ้ไล่เรียงลูกความ ลูกความนิ่งเฉยไม่ยอมตอบคำถาม ให้เอาไม้แป้นตบปาก ถ้าจะเทียบชี้สำนวนว่าด้วยเนื้อความประการใด ลูกความกล้าแข็งแผดเสียเถียงขัดแย้งมิได้ว่า ให้จำใส่ขื่อคามันไว้ ถ้ามันจะว่าจึงให้ถอดออกมา...”
เกี่ยวกับคำสาบานให้เป็นกระเทย ๕๐๐ ชาตินั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ชายทั้งหลายต่างหวาดผวาไปตามกัน เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงตรัสขู่สำทับเอาไว้ ถึงโทษกรรมของผู้ชายที่ชอบล่วงประเวณีว่า
“...ครั้นดับสังขารอนาคต ไปตกอยู่ในโลหกุมภีนรกหกหมื่นปี แล้วขึ้นมาทนทุกข์เวทนาอยู่ในอุสุทธินรกฉิมพลี ไม้งิ้วหนามยาว ๑๖ องคุลี นายนิวิยบาลรุมกันทิ่มแทง แร้งรุมกันจิก ครั้นสิ้นกรมขึ้นมาเป็นหญิง ๕๐๐ ชาติ เป็นกระเทย ๕๐๐ ชาติ เป็นสัตว์เขาตอนเสีย ๕๐๐ ชาติ บาปกรรมในอบายภูมิฉะนี้...”
การเป็น “กระเทย” ในสมัยก่อนจึงเป็นเรื่องสยดสยองกันมาก แต่ปัจจุบันยุคสมัยได้เปลี่ยนไป คนที่ต้องตกเป็นกระเทย ๕๐๐ ชาติอาจจะดีใจถึงขั้นกระโดนโลดเต้นก็เป็นไปได้
นี่แหละความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย