ผ่านไป 1 ปี หลังเข้ามาอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน การผนึกกำลังของ แม็คโคร x โลตัส เพื่อช่วยเหลือ SMEs ไทย ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การดำเนินงานที่สำคัญของกลุ่มธุรกิจแม็คโคร ที่มุ่งสนับสนุนธุรกิจรายย่อยนับล้านรายให้เติบโต สร้างกระแสหมุนเวียนทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ นอกจากนี้การขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจของแม็คโครและโลตัสได้มุ่งเน้นเรื่องความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ได้กำหนดเงื่อนไขประกอบการอนุญาตรวมธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มบริษัทซีพี จำนวน 7 ข้อ เพื่อกำกับดูแลให้กลุ่มบริษัทซีพีในตลาดร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดหลังการรวมธุรกิจอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้สำนักงาน กขค.ได้รายงานผลการประกอบธุรกิจ และ การติดตาม ซึ่งผลการตรวจสอบและติดตามล่าสุดเป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ครบทุกข้อ ถือได้ว่า กขค.มีการกำกับดูแลและตรวจสอบติดตามผลการปฏิบัติของกลุ่มบริษัทซีพีในตลาดร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนด 7 ข้ออย่างเข้มงวด ซึ่งที่ผ่านมา พบว่าการดำเนินธุรกิจสอดคล้องตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนของยอดขายสินค้าที่มาจากผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และ ขนาดย่อม (SMEs) ประกอบด้วย กลุ่มสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน สินค้าOTOP และกลุ่มสินค้าอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย พบว่ามียอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 10 จากปี 2563 โดยพบว่ามียอดขายสินค้าที่มาจาก SMEs จำนวนร้อยละ 10.86 มากกว่าที่เงื่อนไขกำหนด โดย LOTUS’S มียอดขายสินค้า OTOP เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 และสินค้ากลุ่มเกษตร/สินค้าเกษตรชุมชน มียอดขายสูงขึ้นถึงร้อยละ 45.9 จึงถือได้ว่าการส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยเห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การผนึกกำลังระหว่างแม็คโครและโลตัสเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อน ส่งเสริม SMEs ไทย ในการพัฒนาและเพิ่มโอกาสการแข่งขันในทุกมิติ ซึ่งจะทำให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยทั้งแม็คโครและโลตัสมีจุดเด่นในด้านเครือข่ายและช่องทางการกระจายสินค้าทั้งที่สาขาเกือบ 3,000 แห่งทั้งยังมีช่องทางออนไลน์อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจความต้องการของทั้งกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C ทั้งยังสามารถส่งต่อองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้พัฒนาสินค้าได้ตรงใจลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยที่ผ่านมาได้สนับสนุนผู้ผลิต SMEs ผ่านโครงการจับคู่ธุรกิจ SMEs Business Matching ในส่วนกลางและระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือกับภาครัฐ อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ สสว.
นอกจากการสนันสนุนผู้ผลิต SMEs แล้ว ปัจจุบัน ‘แม็คโคร’ ยังได้เข้าไปสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอีกหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้าปลีกรายย่อยหรือโชห่วย ที่เป็นสมาชิกแม็คโครกว่า 500,000 ราย ผ่านโครงการแม็คโครมิตรแท้โชห่วย ที่ดำเนินงานมาต่อเนื่องกว่า 16 ปี นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารและโรงแรมอีกราว 300,000 ราย ซึ่งแม็คโครได้จัดตั้งแม็คโครโฮเรก้าอคาเดมี (MHA) และร่วมกับสมาคมเชฟประเทศไทย ให้องค์ความรู้ จัดเวิร์กช็อปในการบริหารธุรกิจ ลดต้นทุน รวมถึงสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ มีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารอยู่รอดและมีรายได้ แม้ในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา นอกเหนือจากนี้ได้สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยอีกมากกว่า 7,500 ครัวเรือน โดยตั้งเป้ารับซื้อสินค้าเกษตรกว่า 230,000 ตันในปีนี้
ส่วน ‘โลตัส’ ให้ความสำคัญกับการสนับสนุน SMEs และเกษตรกรรายย่อยมาโดยตลอด อีกทั้งมีแผนงานชัดเจนในการเพิ่มปริมาณการรับซื้อสินค้าเกษตรและสินค้า SME อย่างน้อย 10% ทุกปี เป็นระยะเวลา 5 ปี เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืน ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “โลตัส ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยหนึ่งในพันธสัญญาของโลตัสคือการเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาส ช่วยสนับสนุน SMEs และเกษตรกรไทย ผ่านช่องทางจำหน่ายของสาขาและช่องทางออนไลน์ รวมถึงพื้นที่เช่าในศูนย์การค้า นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ ด้วยการจัดอบรมร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน แบ่งปันประสบการณ์ ให้ความรู้ ช่วยยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ และช่วยสนับสนุนด้านพื้นที่ขายสินค้า”
“ในครึ่งปีแรกของปี 2565 โลตัส ได้ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไปแล้วกว่า 2,500 รายผ่านโครงการ ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาทางธุรกิจ (Business Matching) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในครึ่งปีแรกจัดกิจกรรมไปแล้ว 4 ครั้ง มีผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมเจรจาธุรกิจเพื่อเป็นคู่ค้ากว่า 300 ราย นอกจากนี้ยังเพิ่มจำนวนเกษตรกรในโครงการรับซื้อผลผลิตตรง (Direct Sourcing) โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางกว่า 1,600 ครัวเรือน และรับซื้อผักและผลไม้จากเกษตรกรไปกว่า 32,000 ตัน ซึ่งเราพร้อมเดินหน้าสนับสนุน SMEs และเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งปีหลัง โดยใช้พื้นที่ในสาขาของเราให้เป็น Everyday SMART Community Center ที่เอื้อประโยชน์ในการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย และโครงการต่าง ๆ” นางสาวสลิลลา กล่าว
ท้ายสุด นางศิริพร จากแม็คโคร ได้กล่าวเสริมอีกว่า “การรวมธุรกิจค้าปลีกครั้งนี้ ทำให้ SMEs มีช่องทางที่ครอบคลุม เพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าทั้ง B2B และ B2C ผ่านธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของแม็คโคร โลตัส และเพิ่มโอกาสการขยายตลาดสู่ต่างประเทศที่แม็คโครมีสาขาตั้งอยู่ ซึ่งสินค้าของไทยเป็นที่นิยมอยู่แล้ว โดยปัจจุบัน เราได้พาสินค้า SMEs ไทย ไปขายยังกัมพูชา และเมียนมา มากกว่า 300 รายการ ในอนาคตยังวางแผนเพิ่มรายการสินค้าจาก SME ไทยในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง”
p