xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 9-15 ต.ค.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.หลายฝ่ายรับไม่ได้ "โน้ส อุดม" ด้อยค่า "บิ๊กตู่" สารพัด แถมเปรียบเป็น รปภ.ขับเครื่องบิน "ป๋าเทพ" อ่อนใจ แนะโน้สไปอยู่กับณัฐวุฒิ เพราะอารมณ์เดียวกัน!

กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย กรณีทอล์กโชว์ เดี่ยว 13 ของ “โน้ส อุดม แต้พานิช” ที่เผยแพร่ทางช่องเน็ตฟริกซ์ โดยโน้ส อุดม ได้จัดหนักฟาด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บางช่วงบางตอนว่า “จะพูดถึงคนๆ หนึ่ง ที่ผมจะไม่ทนเขาแล้ว ทนเขามา 8 ปี (คนปรบมือ) หัวอกเดียวกันเหรอ ไม่มั้ง เขาเป็นคนที่เอาเป็นว่าเขาไม่อยากออกแล้วกัน ดูจากจิตวิทยาแล้วอยากอยู่ต่อเป็นอย่างมาก แม้จะบอกว่าแล้วแต่ประชาชนนะจ๊ะ แต่พฤติกรรมคืออยากอยู่ต่อ อยากอยู่ต่อถึงประชุมเอเปกให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล หรืออยู่ต่อไปอีก 4 ปี ให้ครบ 12 ปี เพื่อทำลายสถิติอะไรก็ไม่รู้

"แต่ไหนๆ ไล่ไม่ออก เรามาสานฝันเขาให้เป็นจริงไปเลย คือทำให้คนมีอายุคนหนึ่งสำเร็จความฝัน เขาจะได้ไม่ค้างคา ใจลึกๆ อยากอยู่ทีมท่าน ช่วยทำแคมเปญหาเสียงยุคหน้าให้ เพราะรู้เลยว่าท่านทำเองไม่รอด

"ใจถึง พึ่งไม่ค่อยได้ สร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่ ยืนยันเรื่องความโปร่งใส แต่ไม่ให้ตรวจสอบ พร้อมชนทุกปัญหาด้วยสติปัญญาที่มี แปดหมื่นสี่คือจำนวนเซลล์สมอง จุดแข็งคือหัว จุดอ่อนคือสิ่งที่อยู่ในนั้น ฉลาดพูด ตอนไม่พูดฉลาดกว่า แก้ปัญหาชาติด้วยการแต่งเพลง มึงไม่ออกอัลบั้มไปเลยล่ะ แก้ปัญหาตัวเองด้วยการทำเป็นโมโห เขาถามอะไรตอบไม่ได้ก็โมโห ท่านอาสามากู้ชาติ ท่านไม่ได้กู้แค่ชาติเดียว ท่านกู้มาหลายชาติแล้ว ชาติล่าสุดเพิ่งกู้ญี่ปุ่นไป

"ตอนนี้เป็นหนี้สิบกว่าล้านล้าน มาร่วมแรงร่วมใจผ่อนไปด้วยกัน ส่งมอบมรดกหนี้สินให้กับลูกหลาน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันผ่อนไม่จบที่รุ่นเรา ไม่ลอกนโยบายใคร เลือกชัชชาติก็ได้แค่ทำงานๆ แต่ถ้าเลือกลุงตู่ จะได้ทำใจ ทำใจ ทำใจ ตามด้วย รำคาญ รำคาญ รำคาญ

"ถ้าท่านเป็นคอมพิวเตอร์นะ ป่านนี้คอมฯ ท่านแฮงค์แล้ว ท่านครับ หายใจลึกๆ ตื่นก่อน ท่านไม่ใช่คอมพิวเตอร์ คือคอมพิวเตอร์เนี่ย มันต้องมีสมองประมวลผล แล้วหน่วยความจำท่านไม่มีนะฮะ ท่านไม่มีอะไรนะฮะ แถวบ้านเรียกแป้นพิมพ์ดีดรุ่นโบราณด้วย รำคาญไหมฮะ รำคาญๆๆ

"ตอนนี้ประชากรในประเทศไทยหลายสิบล้านคน สมมติเราขึ้นเครื่องบินลำเดียวกัน เป็นเครื่องบินลำใหญ่ ปกติเครื่องบินขับด้วยกัปตันที่เชี่ยวชาญ แต่ตอนนี้กัปตันทั้งหลายที่ขับเครื่องบินเก่งไม่ได้ขับ ที่ขับอยู่คือ security (พนักงานรักษาความปลอดภัย)

"ปกป้องชาติบ้านเมืองจากความเจริญก้าวหน้าด้วยการเลือกลุงตู่ ลุงตู่คือทางเลือกที่ดีที่สุดของคนไม่มีทางเลือก และถ้าหายไป ก็ไม่ได้ไปบวช!”

ทั้งนี้ คนที่ฟังโน้ส อุดม แล้วเห็นด้วยก็ชอบใจ แต่หลายคนที่ไม่เห็นด้วยก็ฟาดโน้สกลับเช่นกัน ทั้งเรื่องการดูถูก รปภ. เรื่องขับเครื่องบินซึ่งไม่น่าใช่สิ่งที่ถูกต้อง บางรายฟาดแรงว่าเป็นมุกฝืด โสโครก บางคนแสดงออกถึงการรับไม่ได้ ด้วยการนำซีดีของโน้ส อุดม ที่ตัวเองเคยสะสมไว้มาทิ้งที่พื้นแล้วเหยียบ บางคนมีการนำภาพที่โน้ส อุดม เคยนั่งไหว้ธรรมกายมาแซวด้วย

โดยนายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ตลกเล่นมุกว่า รปภ.ขับเครื่องบิน แต่ผมว่าพระขับจานบิน มีตลกเป็นลูกเรือ อันนั้นตลกกว่า แถมกัปตันยานแม่ยังล่องหนอยู่เลย”

ด้านนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่โน้ส อุดม เสียดสี พล.อ.ประยุทธ์ ในการแสดง “เดี่ยวไมโครโฟน 13” เหมาะสมหรือไม่ว่า ถ้าความคิดเห็นของทุกคนมีเจตนาบริสุทธิ์ ก็เป็นเรื่องปกติของประชาธิปไตย แต่ตนมองว่ามีหลายส่วนที่ไม่ได้เหมาะสม ในฐานะที่เรามีรัฐบาล หรือผู้นำ บางอย่างคิดว่าเกินเลยไปบ้าง แม้โน้ส อุดม จะเคยวิพากษ์วิจารณ์หลายรัฐบาล แต่เราเห็นได้ว่ามันต่างกัน เราไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเหมือน

ส่วนนายกรัฐมนตรีจะมีการดำเนินคดีหรือไม่นั้น นายอนุชา กล่าวว่า ยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่นายกฯ ดูการแสดงครั้งนั้นอย่างคร่าวๆ เห็นเพียงการวิเคราะห์ของสังคม ที่แบ่งเป็นฝักฝ่าย ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย “ศิลปินเมื่อก่อนไม่มีใครมาทำแบบนี้ เพราะเป็นผู้ที่ทำให้สังคมได้คิดเห็นไปในมุมมองได้หลายอย่าง เพราะมีชื่อเสียงที่ต้องระมัดระวัง”

ขณะที่ "เทพ โพธิ์งาม” นักแสดงตลก ได้กล่าวระหว่างไลฟ์ขายขนมเปี๊ยะ โดยตำหนิเชิงเตือนสติโน้ส อุดม ที่พูดถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีในทางเสียหาย “ไอ้นี่พูดอะไรของมันก็ไม่รู้ จะบ้าหรือเปล่า เมื่อก่อนก็รู้จักกับมัน มันก็ปั้นรูปให้ ไม่รู้หรอกว่าเป็นคนแบบนี้ การศึกษาช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ เหรอวะไอ้โน้ส มึงพูดอะไรของมึงออกมา เหมือนไม่มีความคิดเลยเหรอวะ มีความรู้ขนาดนั้นแล้ว ไปติ ไปว่าเขา กูถามว่ามึงทำอะไรได้ดีกว่าผู้นำเขาไหม ไปพูดถึงเขาอย่างนั้น สิ่งที่พูดก็เหมือนที่เขาพูดกันเลย ตกลงมึงเอามุกเก่าๆ เขามาใช้เหรอ มึงต้องไปอยู่กับณัฐวุฒิโน่น อารมณ์เดียวกัน

"เราทำอะไร เราอย่าไปถึงขนาดนั้น เรากำลังดีๆ อยู่ เดี๋ยวจะเสียไปด้วย เราต้องเอาความจริงมาพูด เราเป็นนักแสดงหรืออะไรก็แล้วแต่ อย่ามามีเล่ห์เหลี่ยมสิ แล้วจะไปหนักข้างหนึ่งข้างไหนก็ไม่ได้ เราเป็นนักแสดง เราต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ใช่เอาใจบางคน และเพื่อผลประโยชน์ของมึง กูรู้เลยเพื่อผลประโยชน์ของมึงนะที่มึงกล้าพูดขนาดนี้ ไม่สมควร ระดับมึงแล้ว ความรู้ก็ดี วุฒิก็ดี ทำไม แต่ตรงนี้คิดได้แค่นี้เหรอวะ กู ป.4 นะ มึงจบ ม.อะไรก็ไม่รู้ แต่กูว่ามึงพูดผิด มึงคิดผิด มึงทำตรงนี้มึงพลาด กูจะบอกให้ มึงดีอยู่แล้ว มาพูดแบบนี้ไม่ถูก มึงเอาตามเขาหมดเลย มึงต้องเอาจากใจมึงบ้าง มึงไม่เห็นเหรอเขาทำอะไรเยอะแยะซะหมด มึงไม่เห็นเลยเหรอ

"ไม่ใช่ว่ามึงต้องรักประยุทธ์นะ กูก็ไม่ชอบบางอย่างเขาเหมือนกัน แต่ตรงนั้นมึงไม่ถูก มึงผิด มึงต้องดูสิว่าเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า มีหลักฐาน รู้หรือเปล่าที่ทำทุกวันนี้มันเป็นเส้นขีดแดง มึงอย่าไปทำอย่างนั้นเดี๋ยวอนาคตจะดร็อปลงไปเรื่อย พวกสลิ่มก็ชอบมึงเยอะนะ กูยังชอบเลย แต่พอมาพูดแบบนี้ กูอ่อนใจเลยวะไอ้โน้ส มึงอย่าทำอย่างนั้น เรื่องอีกเยอะแยะที่เอามาพูดมาเล่นได้ มึงจะพูดเล่นได้ก็ไม่ว่า แต่อย่าเกินไป เอาซะเสียหายเลย เวลาเกิดวิกฤตกูไม่เคยเห็นพวกมึงเลยนะ แต่พอเบา โอ้โห โผล่มาเยอะเลย เวลาบ้านเมืองวิกฤต กูเห็นเงียบหมด ไม่เห็นออกมาช่วยประเทศเลย ไม่ได้เรื่อง..."

ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กกรณีการพูดของโน้ส อุดม โดยระบุว่า “โน้ส เดี่ยว-13 ให้ท้ายม็อบก้าวล่วงหรืออย่างไร? พูดเอามัน เอาฮา ไร้เหตุผล และให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน...เดี๋ยวเจอกัน..!!”

นอกจากนี้ปฏิกิริยาในโลกโซเชียลที่ไม่เห็นด้วยกับโน้ส อุดม ได้แก่ “ไอ้ตัวตลกฟังนะ ตลอดเวลาที่กัปตันเข้ามา ไม่มีโกงกิน ตั้งใจทำงาน เอ็งกลับทนไม่ได้ แต่กัปตันคนก่อนโกงชาวนาโกงประเทศ เอ็งกลับทำเฉย แล้วจะให้ประเทศมันจะเจริญอย่างไร ถ้ามีคนอย่างเอ็งหลายๆ คน”, “ไม่มีมุกจะเล่นแล้ว เลยโหนลุงตู่ ผิดหวังค่ะเคยชื่นชอบ”, “เพิ่งบวชมา แต่แยกแยะไม่ออกเหรอโน้ส ว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ผลงานลุงตู่โคตรเยอะ แต่มองไม่เห็น”, “ผมคนหนึ่งเคยชอบ ตอนนี้ เลิกติดตามแล้วครับ”, “ผิดหวังกับโน้สจริงๆ”, ผิดหวังมานานแล้ว เลิกดูเดี่ยวมานานแล้วค่ะ” ฯลฯ

2."แอ๊ด คาราบาว" กราบขออภัยผู้ว่าฯ สุพรรณฯ แล้ว หลังผู้ว่าฯ จ่อฟ้องดำเนินคดีที่ถูกแอ๊ดด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย กล่าวหาไม่ให้เล่นคอนเสิร์ต!


กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกโซเชียล กรณีมีผู้ใช้ติ๊กต๊อกนำคลิป “แอ๊ด คาราบาว” หรือ ยืนยง โอภากุล นักร้องเพื่อชีวิต ที่ซัดเดือดผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี โดยอ้างว่าโดนสั่งไม่ให้คาราบาวเล่นคอนเสิร์ตที่สุพรรณฯ ถึงกับลั่น มึงรู้ไหมกูเป็นใคร พร้อมเรียกผู้ว่าฯ ขึ้นมาเคลียร์กลางคอนเสิร์ต

โดยคลิปเผยให้เห็นการพูดของแอ๊ดว่า “มึงเป็นผู้ว่าฯ มึงคิดว่ามีอำนาจเหรอ ขึ้นมาเคลียร์กันหน่อยดิ อยู่เปล่า ไม่ต้องเล่น (ให้วงหยุดเล่น) ขึ้นมาเคลียร์กันหน่อยดิ มึงรู้ไหมกูเป็นใคร กูเกิดที่นี่ กูตายที่นี่ แล้วมึงเป็นใคร ไม่ให้กูเล่นที่สุพรรณฯ คนกาญจน์ฯ ยังให้กูไปเล่นเลย ไอ้สั.. ส้นตี.. คิดเหรอ มึงแค่เอาตัวรอด แล้วไม่คิดเหรอคนสุพรรณฯ จะเป็นยังไง เขาไม่ได้ดูคาราบาว (คนปรบมือ) มึงคิดว่ามึงเป็นผู้ว่าฯ มึงมีอำนาจเหรอ กูไม่ได้เป็นผู้ว่าฯ แต่กูคือแอ๊ด คาราบาว กูไม่มีอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น แต่กูพูดความจริง นำเสนอความจริง กูทำเพื่อชาติบ้านเมืองจริงๆ ไม่ได้เป็นข้าราชการแบบพวกมึง ที่เลีย..ให้ได้ตำแหน่งและรักษาตำแหน่ง เลีย..ไปเรื่อยรักษาตำแหน่ง ไอ้สั.. ไอ้เด็กเมื่อวานซืน กูเล่นไม่ได้แล้วเว้ย โมโห”

ต่อมา มีอีกรายโพสต์คลิปที่แอ๊ดใจเย็นลงแล้ว พร้อมเผยว่า โดยเจ้าตัวพูดว่า “ไม่ได้โกรธเกลียดผู้ว่าฯ โกรธเกลียดใคร แค่สอนให้น้องๆ ว่าสิ่งอะไรทำผิดพลาดไปแล้วก็แก้ไขซะ บ้านเมืองมีขื่อมีแป เข้ามาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ อย่าใช้แต่อำนาจ อย่าลุแต่อำนาจ เกรงใจชาวบ้านบ้างที่เกิดเป็นประชาชน คนจังหวัดสุพรรณฯ มาก่อนมึง ไม่ใช่มึงเป็นผู้ว่าแล้วใหญ่ ค.. กูเกิดมาก่อนมึง อาบน้ำร้อนเมืองสุพรรณฯ มาก่อน กูส่งปิ่นโตให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยก่อน จนพี่ชายกูเป็นผู้ว่าฯ จนน้องชายกูเป็นผู้ว่าฯ แล้วมึงไอ้เด็กเมื่อวานซืนมาเป็นผู้ว่าฯ แต่ไม่ให้กูเข้าเมืองสุพรรณฯ มึงคิดยังไงวะเนี่ย แต่หลังจากนี้ไป จะอำนวยอวยพรให้มันจงเจริญต่อไป จะไม่ยึดติดกับมึงอีกต่อไปแล้ว จะสละให้มัน ปล่อยมันไปเถอะ ผมปล่อยมันไปแล้วนะครับ ผมปลดปล่อยแล้ว มีความสุขแล้ว นิพพานแล้ว”

ทั้งนี้ เป็นที่ทราบในเวลาต่อมาว่า การพูดของแอ๊ดดังกล่าวมีขึ้นระหว่างไปเล่นดนตรีงานวันคล้ายเกิดอายุ 59 ปี กำนันพุก หรือนายปิยพจน์ เกียรติชูสกุล ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอสองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เมื่อคืนวันที่ 12 ต.ค.

ซึ่งหลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ปรากฏว่า นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ชี้แจงผ่านทีวีช่องหนึ่ง โดยยืนยันว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน การจัดงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์จัดมาต่อเนื่องทุกปี เป็นงานประจำปีของจังหวัด แต่ประสบปัญหาในปี 64 เพราะสถานการณ์โควิดจึงจัดไม่ได้ จึงเลื่อนมาจัดปี 65 ช่วงวันที่ 18 ม.ค.-1 ก.พ. เพราะว่ามีสัญญาที่อาจจะทำกันมาก่อนหน้านั้น ก่อนที่ตนจะมาอยู่ที่สุพรรณบุรี มีสัญญาว่าจะจัดงานกับภาคเอกชน เราก็ต้องดำเนินการตามสัญญา แต่พอถึงเวลาจริง จัดงานไม่ได้ เพราะว่าสถานการณ์โควิดรุนแรงมากยิ่งขึ้น เราก็คิดว่าอาจจะต้องเลื่อนอีก

พอคุยกับคณะกรรมการ ก็เลื่อนไปเป็นช่วงประมาณเดือนมีนาคม ซึ่งรูปแบบการจัดงานเหมือนเดิม มีการแสดงยุทธหัตถี ออกร้านของ OTOP แสดงนิทรรศการของอำเภอ และการแสดงคอนเสิร์ต ซึ่งตรงนี้มันไม่ใช่งานของทางจังหวัด การแสดงคอนเสิร์ตของทุกๆ ปีที่ผ่านมา จะเป็นภาคเอกชน เขาเป็นคนที่รับจ้างมา ไม่ใช่จังหวัดจัด ทีนี้ในช่วงมีนาคม 2565 สถานการณ์โควิดของจังหวัดสุพรรณบุรี ระบาดเยอะ ซึ่งจะรวมคนจำนวนมากไม่ได้ อันนี้เป็นประเด็นหนึ่งที่ว่า ทำไมเล่นที่นี่ได้ แต่ทำไมมาเล่นที่จังหวัดนี้ไม่ได้

นายณัฐภัทร กล่าวด้วยว่า โดยส่วนตัวตนเป็นแฟนคลับคาราบาวด้วยซ้ำ ตนชอบผลงานของเขาอยู่แล้ว ไม่มีในเรื่องของความขัดแย้งอะไรกันเลย ตนเองก็เป็นคนสุพรรณฯ พอรู้ว่า แอ๊ด คาราบาว ก็เป็นคนสุพรรณฯ ผมยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ยืนยันว่า จังหวัดไม่เคยมีการปิดกั้นวงคาราบาวแต่อย่างใด

ต่อมา นายปรีชา ทองคำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กกรณีแอ๊ด คาราบาว ซัดผู้ว่าฯ สุพรรณฯ โดยระบุว่า "ความจริงกรณีของแอ๊ด คาราบาว ด่าผู้ว่าฯ สุพรรณบุรีบนเวทีคอนเสิร์ต ที่ อ.สองพี่น้อง เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 เรื่องทั้งหมดเกิดจากกรณีแอ๊ดโกรธที่ไม่ถูกจ้างมาเล่นงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ ความจริงคือ

1. ผู้ว่าฯ ย้ายมาสุพรรณฯ เมื่อ 1 ต.ค. 2563 2. ปี 2564 ไม่มีการจัดงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์เนื่องจากสถานการณ์โควิด 3. ปี 2565 สถานการณ์โควิดผ่อนคลายลง มีการจัดงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ แต่ก็หลังจากช่วงเวลาปกติ ที่เคยจัดระหว่าง 18 ม.ค.-1 ก.พ. เป็นช่วงเดือนมีนาคม 2565

4. ช่วงของการจัดงาน สุพรรณฯ เป็นพื้นที่สีส้ม งดการจัดการแสดงมหรสพ แต่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สีฟ้า ก็มีการจัดงานดอนเจดีย์ และจ้างแอ๊ดไปเล่น แอ๊ดก็มีการกล่าวบนเวทีด่าผู้ว่าสุพรรณฯ ว่าไม่ให้แอ๊ดไปเล่นดนตรีที่สุพรรณฯ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย

5. การจัดงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ที่สุพรรณบุรี มีการประมูลพื้นที่จำหน่ายสินค้า โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ชนะประมูลพื้นที่เป็นคนจัดหามหรสพ (ยกเว้นปี 2565 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้ว่าฯ คนปัจจุบันเข้ามารับผิดชอบการจัดงานฯ และเป็นปีที่คณะกรรมการจัดงานฯ มีมติให้งดจัดมหรสพ เนื่องจากให้เป็นไปตามมติ ศบค. ที่ให้กำหนดโซนพื้นที่ตามสีต่างๆ และสุพรรณฯ เป็นพื้นที่สีส้ม จึงไม่สามารถจัดมหรสพได้ แต่พื้นที่สีฟ้าสามารถจัดได้) 6. เมื่อการจัดมหรสพเป็นหน้าที่ของผู้ชนะการประมูลพื้นที่จำหน่ายสินค้า ผู้ว่าฯ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการจ้างวงดนตรีต่างๆ มาแสดงในงานฯ แต่อย่างใด

7. จากการสอบถามผู้ชนะการประมูลพื้นที่ว่าทำไมไม่จ้างแอ๊ดมาเล่น ได้รับคำตอบว่า เคยจ้างแอ๊ดมาเล่นในงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ โดยการเปิดเวทีพิเศษเป็นบางวัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีคนมาเที่ยวงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์มากขึ้น มีการปิดกั้นพื้นที่การแสดง และเก็บบัตรเข้าชมการแสดง ปรากฏว่า ค่าจ้างวงคาราบาวสูงมาก เก็บรายได้ไม่คุ้มกับค่าจ้าง โดยขาดทุนเป็นเงินหลักแสน ขณะที่ดนตรีเพื่อชีวิตอื่นๆ ยังพอมีกำไรบ้างเล็กน้อย เพราะไม่ได้หวังกำไรมาก จุดประสงค์เพียงเพื่อดึงดูดคนให้มาเที่ยวชมงาน แต่ถ้าขาดทุนเป็นแสน จึงไม่คุ้มกับการจ้าง

8. การที่แอ๊ด คาราบาว อยากมาเล่นที่สุพรรณบุรี เป็นเรื่องของธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องของคนสุพรรณอยากมาเปิดการแสดงที่สุพรรณแต่อย่างใด จึงเป็นสิทธิ์ของผู้ว่าจ้าง ว่าจะจ้างการแสดงของวงดนตรีคณะใดเช่นกัน 9. ไม่ใช่แอ๊ดเป็นคนสุพรรณฯ คนเดียว ผู้ว่าฯ ก็เป็นคนสุพรรณฯ เช่นกัน เกิดที่อำเภอศรีประจันต์ ...รอผู้ว่าฯ แถลง และแจ้งความดำเนินคดีต่อแอ๊ดในขั้นตอนต่อไปครับ"

ล่าสุด นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ออกมายืนยันว่า หากการต่อว่าตน เป็นการกล่าวถึงเฉพาะชื่อตัว ก็ไม่คิดจะติดใจเอาความ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับตำแหน่งหน้าที่ จึงต้องดำเนินคดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อแจ้งความ

ขณะที่ชาวบ้านจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ออกมาเรียกร้องให้แอ๊ด คาราบาว กลับมาขอโทษ หากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการเข้าใจผิด และไม่คิดว่าศิลปินแห่งชาติจะใช้ถ้อยคำที่รุนแรง และว่า ที่ผ่านมาทางจังหวัดก็ไม่ได้ให้เอกชนรายใดจัดคอนเสิร์ต ไม่เฉพาะของแอ๊ด คาราบาว เท่านั้น

ด้านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้รับคำชี้แจงจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีแล้ว และให้รวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีร้องทุกข์กล่าวโทษตามกฏหมาย พร้อมย้ำว่า หาก ผู้ว่าฯ สุพรรณบุรี จะแจ้งความส่วนตัว ก็สามารถทำได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลที่พึงกระทำได้

ล่าสุด วันนี้ (15 ต.ค.) แอ๊ด ได้ออกมาโพสต์ข้อความกราบขออภัยผู้ว่าฯ สุพรรณฯ แล้ว โดยอ้างว่า เป็นอารมณ์ชั่ววูบที่ขาดสติไป ส่วนเรื่องคดีพร้อมอ้าแขนรับความผิดเต็มๆ “กระผมนายยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) ได้ใช้วาจาลบหลู่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีจากบนเวทีต่อหน้าผู้คนนับพัน เมื่อคืนวันที่ 12 ต.ค. 2565 ณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาท่านผู้ว่าฯ ออกมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็นการเข้าใจผิด กระผมได้ฟังคำอธิบายแล้วรู้สึกสำนึกผิด มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบของผมที่ขาดสติไป จึงขอกราบขออภัยท่านผู้ว่าฯ และขอบพระคุณที่กรุณาออกมาชี้แจงความจริง ส่วนเรื่องคดีความ ผมพร้อมอ้าแขนรับความผิดเต็มๆ เลยครับ ขอบพระคุณครับ”

3. “มิลลิ” ยอมขอโทษ! หลังโพสต์ “ไปก็ไปเป็นภาระ...” ด้าน “พัดชา” กล้าให้ท้าย “มิลลิ” จะโพสต์ขอโทษทำไม?


กลายเป็นประเด็นเดือด เมื่อนักร้องสาว มิลลิ (MILLI) หรือดนุภา คณาธีรกุล ได้ทวีตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์เกี่ยวกับเหตุกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลอุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู โดยระบุว่า "ไปก็ไปเป็นภาระ ไม่ได้ช่วยเยียวยาจิตใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเลยสักนิด" จนเกิดดราม่าลุกลามบานปลาย หลายกลุ่มออกมาประกาศแบนมิลลิ ขณะที่สังคมบางส่วนแสดงความเห็นว่า ในช่วงเวลานี้ควรให้กำลังใจกันมากกว่าจะมา “แขวะ” และได้รวมตัวกันเพื่อจะแบนสินค้าที่นักร้องคนนี้เป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วยนั้น

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 ต.ค. มิลลิ ได้ทวีตข้อความขอโทษ โดยระบุว่า "จากกรณีทวีตข้อความ "ไปก็ไปเป็นภาระ ไม่ได้ช่วยเยียวยาจิตใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเลยสักนิด" ซึ่งข้อความดังกล่าวทำให้หลายท่านรู้สึกเสียใจและไม่พอใจ หนูขอน้อมรับผิดในครั้งนี้ ซึ่งเกิดจากอารมณ์และความไม่รอบคอบในการใช้คำพูด จนทำให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจและขอโทษทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียจากเหตุการณ์นี้ หนูตระหนักแล้วว่า ทุกคน ทุกฝ่าย ต่างมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือและเยียวยาผู้สูญเสียด้วยกันทั้งนั้น

“และขออนุญาตชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อเสริมในสิ่งที่หนูอยากจะสื่อสาร สิ่งที่ตั้งใจสื่อในครั้งนี้ คือการวิพากษ์วิจารณ์ในส่วนของวิธีการจัดการบนพื้นที่ที่เกิดเหตุ หนูเห็นว่าควรมีการกั้นพื้นที่จุดเกิดเหตุให้ชัดเจนและไม่ควรไปรบกวนพื้นที่ดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อหลักฐานของคดี และหนูเป็นห่วงจิตใจของผู้ที่เสียบุคคลอันเป็นที่รักจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

"จากข้อความที่หนูทวีตไป ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและถูกนำไปตีความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่หนูต้องการจะสื่อ ซึ่งก็เกิดจากการที่หนูพิมพ์ไปอย่างไม่ชัดเจนและไม่รอบคอบ หนูต้องขอโทษและจะปรับปรุงตัวในการใช้คำพูดต่อไปค่ะ"

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมิลลิทวีตข้อความขอโทษดังกล่าว น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ นักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ทำนองว่า อยากจะขอโทษอย่างสง่างามต้องมีวุฒิภาวะมากพอ "คนที่จะขอโทษอย่างสง่างามได้ต้องมีวุฒิภาวะมากพอ ถ้ายังไม่มี เขาก็จะขอโทษแบบมีข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นไปด้วย แต่อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะการเอ่ยคำขอโทษ บางครั้งต้องใช้ความกล้าหาญด้วยในระดับหนึ่ง และคนเราก็พัฒนากันได้"

อย่างไรก็ตาม ได้มีบางคนออกมาโพสต์ไม่เห็นด้วยที่มิลลิขอโทษ คือ “พัดชา เอนกอายุวัฒน์” หรือ “พัดชา เอเอฟ” โดยได้โพสต์ว่า “นวย...นวยไม่ต้องขอโทษ สิ่งที่ทำให้นวยต้องออกมาพิมพ์แบบนี้ ต้องขอโทษนวย” และสิ่งที่นักร้องสาวอดีตนักล่าฝันโพสต์นั้นไม่รู้ว่าหมายถึงใครที่ต้องออกมาขอโทษนวย

4. เจ้าของร้าน Subscribe แจ้งความเอาผิด “อิลสลิก” แล้ว หลังได้รับความเสียหายกว่า 1 ล้าน ด้านเจ้าตัวยันไม่คืนเงินค่าจ้าง 4.5 แสน!


ความคืบหน้ากรณี “อิลสลิก” หรือทิฆัมพร เวชไทยสงค์ แรปเปอร์ชื่อดัง ยกเลิกคอนเสิร์ตที่ร้าน Subscribe Rama7 ร้านดังย่านนทบุรี โดยอ้างว่าอุปกรณ์ร้านไม่มีมาตรฐานเพียงพอ ต่อมาอิลไปขึ้นโชว์อีกร้าน และกล่าวพาดพิงถึงร้าน Subscribe ทำนองเหยียดทีมงานเรียกว่าไอ้อี ทำเครื่องดนตรีพัง อีกทั้งยังเปรียบเทียบตัวเองกับ “ตูน บอดี้สแลม” ท้าให้มาประชันกันบนเวที ยกตัวเองเป็นนักกวี อย่าเอาไปเทียบกับนักวิ่ง จนเกิดกระแสดราม่าบานปลายไม่จบง่ายๆ

ต่อมา เจ้าของร้าน Subscribe ยืนยันว่า ไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างที่ถูกอิลสลิกกล่าวหา และจะขอเงินค่าตัวที่จ่ายให้อิลสลิกไปแล้ว 4.5 แสนคืน พร้อมให้ชดใช้ค่าเสียหาย เพราะร้านได้รับความเสียหายกว่า 1 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 ต.ค. นายจารุกิตต์ กฤษขจร พร้อมด้วยหุ้นส่วนของร้าน Subscribe และทีมซาวด์ ได้เดินทางเข้าพบทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพื่อปรึกษาหลังเกิดประเด็นดรามา อิลสลิก (ILLSLICK) ขึ้นพูดบนเวทีในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งย่านรัชดา โดยมีการกล่าวพาดพิงถึงร้านและมีการเปรียบเทียบกับ ตูน บอดี้สแลม

นายจารุกิตต์ กล่าวว่า ตนมีความชื่นชอบอิลมาก เป็นศิลปินในดวงใจ และดีใจที่วงของอิลจะมาขึ้นแสดงที่ร้าน ซึ่งทางร้านมีการจัดเตรียมความพร้อม และมีการจ่ายค่าจ้างจำนวน 4.5 แสนบาท แต่สุดท้ายไม่มีการแสดง เนื่องจากเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการเตรียมความพร้อม ทำให้ในวันนั้นทางร้านไม่คิดค่าบริการลูกค้าและมีการคืนเงินให้กับลูกค้าเต็มจำนวนเพื่อขอโทษ นอกจากนี้ยังมีการโพสต์ขอโทษวงของอิล เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหา

ส่วนกรณีที่เกิดการเข้าใจผิดที่มีการกล่าวพาดพิงถึงตูน บอดี้สแลมนั้น ทางทีมซาวด์เล่าว่า น่าจะเกิดจากที่ทีมซาวด์ของร้านได้มีการพูดแนะนำเรื่องการแก้ปัญหาระบบเสียงกับทีมงานของอิล โดยยกตัวอย่างว่า ทีมซาวด์ของวงบอดี้สแลมและวงซิล ก็แก้ปัญหาแบบเดียวกัน จนนำไปสู่ความเข้าใจผิด

นายจารุกิตต์ กล่าวถึงความเสียหายที่เกิดกับร้านด้วยว่า ประเมินโดยรวมแล้วหลักล้านบาท เช่น ค่าคืนบัตรลูกค้า ค่าเปิดโต๊ะ ค่าตัวอิลที่เขาไม่ได้คืน ค่าเตรียมงานต่างๆ ค่าพนักงานการ์ดที่เสริมขึ้นมาที่ทางอิลขอมาประจำเขา และค่าดูแลส่วนตัวเบิ้ลของเดิมขึ้นมา ยอดค่าตัว 450,000 บาท จ่ายไปหมดแล้วและไม่ได้คืน ตนไม่เข้าใจว่า สิ่งที่อิลทำ ต้องการอะไร อยากให้ตนเจ๊งเลยหรืออย่างไร พวกตนเป็นแค่คนทำมาหากิน ไม่ได้มีแสงมีสื่ออะไร ส่วนประเด็นเรื่องอุปกรณ์ของวงอิลที่บอกว่าเสียหายนั้น ทางร้านยืนยันไม่ได้มีการแตะต้อง โดยมีกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานยืนยัน

ทั้งนี้ วันต่อมา นายณัฐพล สุจริตศรีชัยกุล หุ้นส่วนและเจัาของร้าน "Subscribe พระราม 7" พร้อม ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี เพื่อขอให้ดำเนนคดีกับอิล ในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ

ทนายษิทรา กล่าวว่า ที่ดำเนินคดีใน 2 ข้อหานี้ก่อน เพราะมีหลักฐานที่ปรากฎในสื่อสังคมออนไลน์ชัดเจน โดยเฉพาะในเพจของ ILLSLICK ที่โพสต์เนื้อหาเกี่ยวเนื่องกัน 2 โพสต์ ซึ่งมีเนื้อหาที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และหนึ่งในนั้นมีการเอ่ยข้อความถึงชื่อร้านฯ ของผู้เสียหายชัดเจน และยังมีหลักฐานอื่นๆ ที่เชื่อได้ว่านักร้องหนุ่มสร้างความเสียหายให้เกิดกับทางร้านจริง

ขณะที่นายณัฐพล กล่าวว่า จะมีการเรียกร้องค่าเสียหายด้วย ซึ่งตัวมูลค่าความเสียหายค่อนข้างมาก อาจสูงถึงหลักล้านบาท และว่า คดีที่แจ้งความไป เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวที่สามารถยอมความได้ แต่จนถึงขณะนี้คู่กรณีก็ยังไม่มีการประสานกลับมาว่าจะขอไกล่เกลี่ยเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้าพนักงานสอบสวนได้นัดสอบปากคำพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ของร้าน และแฟนเพจของ ILLSLICK มาสอบปากคำ เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริง ก่อนดำเนินการตามกฎหมาย

ด้านอิลสลิก ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กยืนยันชัดเจนว่า จะไม่คืนเงินค่าตัว เพราะไม่ได้ทำผิดสัญญาที่ได้ทำหนังสือตกลงกันเอาไว้ โดยชี้แจงว่า "ทีมมีการเดินทางไปจนถึงพื้นที่ตั้งแต่ก่อนทำการแสดง 1 วัน เพื่อเตรียมความพร้อม จัดการแผนงานทุกอย่าง และเข้าทำการซาวด์เช็คแล้วในวันแสดงจริงตั้งแต่เวลากลางวันอย่างเต็มที่ ใช้ทีมงานจำนวนหลายคน แต่ปรากฏว่าเกิดความผิดพลาดบกพร่องขึ้น เพราะทางร้านไม่ได้ทำตามข้อตกลงในสัญญา จนเป็นเหตุทำให้ทีมงานไม่สามารถแสดงต่อไปได้

“ทางทีมงานจึงมีความจำเป็นต้องยึดเงินจำนวนดังกล่าวเอาไว้ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกก่อนตกลงว่าจ้าง ซึ่งทางร้านได้เซ็นสัญญาไว้แล้วด้วยความสมัครใจตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2565 ทั้งนี้ เพื่อเป็นค่าชดเชยค่าเหนื่อยค่าเสียเวลาของทีมงานทุกคน ชดเชยค่าเสียโอกาสของศิลปินสำหรับคิวแสดงในวันนั้น และค่าเสียหายอื่น ๆ การยึดเงินดังกล่าวจึงเป็นการใช้สิทธิตามข้อสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมาย

"ทีมงานได้พยายามเจรจาแก้ไขปัญหาทุกอย่างแล้วเพื่อจะให้โชว์สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีคุณภาพ ถ้ามีการเปิดคลิปกล้องวงจรปิดในร้านทั้งหมดทั้งภาพเคลื่อนไหวและเสียงจะเห็นได้ว่าทีมงานพยายามทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถแล้วเท่าที่ศิลปินคนหนึ่งจะทำได้เพื่อต้องการให้โชว์ออกมาดีที่สุด ซึ่งทางทีมจะขอให้ผู้ที่มีอำนาจเรียกหลักฐานส่วนนี้มาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของทีมงานตามกระบวนการกฎหมายต่อไป"

ส่วนกรณีที่สังคมมองว่าการที่อิลสลิกยึดเงินค่าจ้าง ย้อนแย้งกับที่ตัวเองเคยบอกว่า “ไม่ได้ออกมาแสดงเพื่อเงิน” นั้น เจ้าตัวยืนยันว่า "พี่อิลไม่ได้ออกมาทำการแสดงเพื่อเงิน และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป พี่อิลทำเพลงหาเงินเลี้ยงชีพเป็นหลักด้วยการทำเพลงที่สตูดิโอส่วนตัวเผยแพร่ทางช่อง Youtube สามารถมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงชีพโดยไม่จำเป็นต้องออกแสดงคอนเสิร์ต ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ชอบ พี่อิลมีความสุขที่จะแต่งเพลงอยู่ที่บ้านมากกว่าด้วยซ้ำ

"สาเหตุที่ออกมารับงานแสดง เพราะอยากตอบแทนคนฟังที่เรียกร้องอยากฟังอยากเจอ อยากตอบแทนคนที่สนับสนุนเราให้มีอยู่มีกินมาโดยตลอด แม้ว่าเราจะไม่ได้ออกสื่อ ไม่ได้โพสต์รูปบ่อยๆ พูดคุยกับทุกคนผ่านเพลงเท่านั้น เรายังคงยืนยันว่าคำกล่าวนั้นคือความจริง และการออกแสดงโดยรับค่าจ้าง เพราะเป็นค่าเสียรายได้จากการทำเพลง ค่าเหนื่อยของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ออกมาแสดงด้วยกัน ทุกคนต้องกินใช้และมีครอบครัวข้างหลังให้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นความจำเป็นในการรับค่าจ้าง แต่มิใช่เหตุผลที่อยากออกมารับงานแสดง"

5. ศาล พิพากษาจำคุกแก๊ง "คนไทย ยูเค" 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานแชร์ข้อมูลเท็จกล่าวหา "บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม" ซื้อดาวเทียมเพื่อละเมิดสิทธิ ปชช.!


เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุทัศน์ ประตัง, นายสมบัติ ชมโฉม, นายยอด ลาโสภา กับพวกรวม 11 คน เป็นจำเลยในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ฯลฯ

คดีนี้ อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 4-0 มิ.ย.2561 นางวัฒนา เอ็มเบจช์ ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "khonthai uk" โพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ขณะนั้น) พร้อมบรรยายประกอบภาพเกี่ยวกับการจัดซื้อดาวเทียมมูลค่า 9.12 หมื่นล้านบาท ทำนองว่า ซื้อมาเพื่อใช้ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน และหาผลประโยชน์จากการจัดซื้อดาวเทียมดังกล่าว

รวมทั้งข้อความ คสช.รัฐบาลเถื่อน ขายชาติ ตัวจริง และข้อความอื่น ซึ่งล้วนเป็นข้อความอันเป็นเท็จ เพราะความจริงแล้ว กระทรวงกลาโหมไม่มีโครงการจัดซื้อดาวเทียมมาเพื่อละเมิดสิทธิประชาชน รวมทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีสถานะถูกต้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ข้อมูลดังกล่าวได้สร้างความสับสนเข้าใจผิดแก่ประชาชน จนอาจเป็นช่องว่างให้มีผู้เข้าใจผิดร่วมกันสร้างแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล

ต่อมา จำเลยทั้ง 11 คนได้คัดลอกข้อความและภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร เผยแพร่ (แชร์) โดยประการที่จะสร้างความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร และทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า นายสุทัศน์ ประตัง จำเลยที่ 1 เบิกความว่า เหตุที่แชร์หรือส่งต่อภาพและข้อความ เนื่องจากเห็นว่ามีที่มาจากสำนักข่าว และการจัดซื้อดาวเทียมใช้เงินภาษีของประชาชน จึงเป็นประเด็นที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งศาลมองว่า การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า การจัดซื้อดาวเทียมใช้เงินภาษีของประชาชน เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในการตรวจสอบ จึงได้แชร์หรือส่งต่อภาพและข้อความออกไป ทั้งๆ ที่หากจำเลยที่ 1 ได้อ่านข่าวของสำนักข่าวสดที่มีการแนบเว็บไซต์มาด้วย ตามที่จำเลยที่ 1 เบิกความเองว่า จำเลยที่ 1 ได้กดเข้าไปที่เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ ซึ่งปรากฏ ภาพนายศรีสุวรรณ จรรยา และหัวข้อข่าวเกี่ยวกับการตรวจสอบการซื้อดาวเทียม จำเลยที่ 1 ย่อมทราบได้ว่า ทางกระทรวงกลาโหมไม่ได้มีการจัดซื้อดาวเทียมแต่อย่างใด

ดังนั้น การแชร์หรือส่งต่อภาพและข้อความที่ว่า “ยังจะซื้อ ดาวเทียม 91,200 ล้านมาแดกอีก...จะยอมมันอีกมั้ย” จำเลยที่ 1 ก็ย่อมทราบได้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ แต่จำเลยที่ 1 ยังตัดสินใจที่จะกดแชร์หรือส่งต่อออกไป โดยที่ไม่กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารให้ถี่ถ้วนเสียก่อน การกล่าวอ้าง ของจำเลยที่ 1 ที่นำสืบมา จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

ส่วนจำเลยที่ 2-3 นำสืบความว่า เหตุที่แชร์หรือส่งต่อภาพและข้อความเนื่องจากอยากให้ผู้ที่ติดตามเฟซบุ๊กของจำเลยที่ 2 ได้วิเคราะห์กัน ศาลมองว่า การที่จำเลยที่ 1-3 แชร์หรือส่งต่อภาพและข้อความออกไปโดยตั้งค่าเป็นสาธารณะที่บุคคลอื่นสามารถเข้าถึงภาพและข้อความข้างต้นได้ จึงเป็นการเผยแพร่หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตามมาตรา 14(5) การกระทำของจำเลยที่ 1-3 จึงเป็นความผิดตามฟ้อง

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-3 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(5) ประกอบมาตรา 14(2) จำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 1 ปี แต่ในทางนำสืบของจำเลยที่ 1-3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 4-11 ให้ยกฟ้อง


กำลังโหลดความคิดเห็น