แม้จะได้รับการกล่าวขานกันทั่วไปว่า “ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก” ตลอดระยะเวลาที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก แทบจะมิได้มีชีวิตส่วนพระองค์เลย วันเวลาของพระองค์หมดไปกับการเสด็จเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภาค เพื่อดูแลทุกข์สุขและขจัดปัญหาในการดำรงชีวิตของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า มีโครงการพระราชดำริ โครงการส่วนพระองค์ กระจายอยู่ทั่วผืนแผ่นดินไทย ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวอีกเหมือนกันที่ราษฎรได้เห็นพระเสโทไหลย้อย แต่ก็ไม่มีใครได้เคยเห็นพระองค์แสดงพระอาการเหนื่อยล้า ทรงมีพระอารมณ์ขันดับความเหนื่อย และพลอยทำให้ผู้ตามเสด็จคลายเหนื่อยไปด้วย
วิลาศ มณีวัต ได้เรียบเรียงพระอารมณ์ขันของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไว้ในหนังสือ “พระราชอารมณ์ขัน” จึงขอนำบางส่วนมาเล่าต่อในวันนี้
มีอยู่คราวหนึ่ง หลังจากปีนเขาขึ้นไปบนสันเขาใหญ่ลูกหนึ่ง มีผู้กราบบังคมทูลถามว่า ภูเขาลูกใหญ่ที่ปีนเมื่อบ่ายวานซืนกับลูกนี้ ลูกไหนจะสูงกว่ากัน?
ในหลวงตรัสตอบว่า
“ลูกวานซืนนี้สูงกว่า เพราะฉันเคี้ยวมะขามป้อมถึงห้าลูกกว่าจึงยอด... แต่วันนี้เพียงสามมะขามป้อมเท่านั้น”
บางครั้งก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชายคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่พอเมียได้เงินแล้วก็กลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้เงินชดใช้ แล้วปล่อยให้ภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ
รับสั่งด้วยพระอารมณ์ขันว่า
“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป...หญิงผู้นั้นก็ต้องตกเป็นของฉัน”
รับสั่งแล้วทรงพระสรวล
สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย
“ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้”
ในการเสด็จฯออกเยี่ยมราษฎรอำเภอห่างไกล บางคนจึงไม่ทราบเรื่องราชาศัพท์ แต่ก็พยายามกราบทูลให้ถูกต้องตามแผน กำนันคนหนึ่งอุตส่าห์ไปซ้อมมาหลายวัน พอถึงเวลาจริงก็สั่นเทิ้มด้วยฤทธิ์ประหม่า รายงานตัวว่า
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า...”
“เราพวกเดียวกันนะ”
รับสั่งด้วยความเมตตา ทำให้ท่านกำนันเห็นว่าทรงพระกรุณาก็เลยเปลี่ยนใจมากราบบังคมทูลด้วยภาษาธรรมดา
แต่ก็มีชาวบ้านบางคนกราบบังคมทูลราชาศัพท์อย่างชัดถ้อยชัดคำ จนสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รับสั่งถามทำนองว่าเคยเข้ารั้วเข้าวังที่ไหนหรือ ความเลยแตกเมื่อชายผู้นั้นกราบบังคมทูลตอบว่า
“ขอเดชะ...พระบารมีปกเกล้าฯ เกล้ากระหม่อมเคยเป็นตัวเอกลิเกมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
พระราชกรณียกิจอีกอย่างหนึ่งก็คือ พระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยต่างๆ ครั้งหนึ่งหลังพระราชทานที่มหาวิทยาลัยประสานมิตรเสร็จ มีพระราชดำรัสแก่ ม.ล.ปิ่น มาลากุล ว่า
“วันนี้ฉันได้ให้ปริญญาบัตรไปกี่กิโล”
ม.ล.อึกอักจนด้วยเกล้าฯ ปีต่อมาจึงให้อธิการบดีชั่งปริญญาบัตรไว้ก่อน จึงกราบบังคมทูลเสียงดังว่า
“วันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปริญญาบัตรไปจำนวนทั้งหมด ๒๓๐ กิโลกรัม”
ทันใดก็มีพระราชดำรัสถาม ม.ล.ปิ่น ว่า
“ฉันจะต้องได้อาหารสักกี่แคลอรีจึงจะพอชดเชยกับแรงงานที่ได้เสียไป”
ส่วนที่พระองค์ทรงได้รับการถวายปริญญาก็มีมาก ครั้งหนึ่งมีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ ได้รับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า
“ฉันได้เป็นหมอความแล้ว”
ต่อมามีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการแพทย์ ก็รับสั่งว่า
“คราวนี้ฉันได้เป็นหมอยา”
ต่อมาอีกไม่นานได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการดนตรี ก็รับสั่งว่า
“คราวนี้เป็นหมอลำ”
ปัญญาใหญ่ของกรุงเทพฯอย่างหนึ่งก็คือการจราจร พระอารมณ์ขันในเรื่องนี้ปรากฏอยู่ใน ส.ค.ส.พระราชทานในปี ๒๕๓๗ มีข้อความว่า
ส.ค.ส. ๒๕๓๗
“ปีที่แล้ว ยิ้มบ้าง ไม่ยิ้มบ้าง
ปีนี้ต้องยิ้ม... “จร” คือ “แล่น”
ต้องใจเย็น... “อจร” คือ “ไม่แล่น”
“จราจร” คือ แล่นบ้าง ไม่แล่นบ้าง
เมื่อครั้งที่ บ็อบ โฮป ตลกเอกของโลกได้เดินทางมากรุงเทพฯ โชคดีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯที่วังสวนจิตรฯ โปรดเกล้าฯพระราชทานดินเนอร์ด้วย บ็อบ โฮป กราบบังคมทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าขอพาเพื่อนไปด้วย”
“ได้เลย ไม่ขัดข้อง” รับสั่งตอบ “พาเพื่อนของคุณมาด้วยเลย”
“ต้องขอบพระราชหฤทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคนของข้าพระพุทธเจ้าด้วย”
คืนนั้น บ็อบ โฮป ก็นำวงดนตรีของเขาเข้าไปเล่นถวายในวังสวนจิตรฯอยู่จนดึก จึงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯที่บ้านพักของเขา
รับสั่งว่า
“ยินดี...ฉันพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ”
บ็อบ โฮป กราบบังคมทูลเสียงอ่อยๆว่า
“คิดด้วยเกล้าฯ ว่า ตกลงพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องนี้ บ็อบ โฮป นำไปเล่าอย่างสนุกสนานในรายการโทรทัศน์ของเขา
เมื่อคราวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี ๒๕๐๓ ทรงได้รับการต้อนรับอย่างมโหฬารยิ่งกว่าประมุขของประเทศใดๆ ด้วยทรงเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่ทรงมีพระราชสมภพที่อเมริกา ทรงสร้างความประทับใจให้คนอเมริกันจำนวนมาก แต่ก็มีนักข่าวคนหนึ่งกราบบังคมทูลถามว่า
“ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก...ไม่ทรงยิ้มเลย?”
ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พลางรับสั่งว่า
“นั่นไง...ยิ้มของฉัน”
นี่ก็เป็นส่วนน้อยใน “พระราชอารมณ์ขัน” ของ วิลาศ มณ๊วัต ซึ่งสำนักพิมพ์กรีน ปัญญาญาณ จัดพิมพ์ในปี ๒๕๕๙