xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 25 ก.ย.-1 ต.ค.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.ศาล รธน.มีมติ 6 ต่อ 3 “บิ๊กตู่” ยังเป็นนายกฯ ไม่ถึง 8 ปี เพราะต้องเริ่มนับตั้งแต่ 6 เม.ย.60 วันที่ รธน.ประกาศใช้!

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดอ่านคำวินิจฉัยตามคำร้องที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องของ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 2 ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่ หรือไม่ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.65 ที่ผ่านมา

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 170 บัญญัติว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (5) กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187(6) มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 171

ขณะที่วรรค 2 บัญญัติว่า นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา 158 วรรคสี่ ด้วย โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง

นอกจากนี้ มาตรา 158 วรรคหนึ่ง วรรคสอง บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคสาม บัญญัติว่าใ ห้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

ผู้ถูกร้องได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2557 ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถวายคำแนะนำ เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งต้องมีที่มาตามมาตรา 158 วรรคสอง กล่าวคือได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 2560 มีบทเฉพาะกาล มาตรา 264 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญพิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 264 เป็นบทบัญญัติที่มีความมุ่งหมายยืนยันถึงหลักความต่อเนื่องของคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ แม้คณะรัฐมนตรีซึ่งมีผู้ถูกร้องเป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับอื่นอยู่ก่อนวันประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่เมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2560 แล้ว ต้องถือว่าคณะรัฐมนตรีซึ่งแม้จะเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีโดยรัฐธรรมนูญฉบับอื่นก็ตาม ย่อมเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 ซึ่งเป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นต้นไป ตามบทเฉพาะการมาตรา 264

สำหรับข้อกล่าวอ้างที่ว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3-5/2550 และ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 24/2564 เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังเพื่อเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคการเมืองและการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มิใช่โทษทางอาญาสามารถกระทำได้ เช่นเดียวกับกรณีตามคำร้องในคดีนี้นั้น ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ทั้งสองกรณีดังกล่าวมีบทบัญญัติของกฎหมายที่เขียนไว้โดยชัดเจนว่าให้มีผลย้อนหลังได้ เพราะเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหรือขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรก

แต่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ใช้บังคับ มิได้บัญญัติกรณีการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีตามระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้มีผลย้อนหลังได้ คำวินิจฉัยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นคนละกรณีกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ จึงไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

ส่วนข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่า บันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่ 7 ก.ย. 2561 ระบุเจตนารมณ์การจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่ ไว้อย่างชัดเจน ประกอบกับการประชุมดังกล่าวประธานและรองประธาน กรธ. คนที่ 1 ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับว่า บุคคลใดก็ตามที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวิธีการใดก็ตาม ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้บังคับ ก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ ซึ่งเมื่อนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีระยะเวลาไม่เกิน 8 ปีนั้น

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การประชุมดังกล่าวเพื่อพิจารณาความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นเพียงการอธิบายแนวความคิดของ กรธ.และการจัดทำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตราต่างๆว่า มีความมุ่งหมายอย่างไร เป็นการพิจารณาภายหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับเป็นเวลาถึง 1 ปี 5 เดือน ประกอบกับความเห็นของประธาน กรธ.และรองประธาน กรธ.คนที่ 1 ที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง มิได้นำไประบุไว้เป็นความมุ่งหมายหรือคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ มาตรา 158

ดังนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับในวันที่ 6 เม.ย. 2560 และผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 264 จะต้องถือเอาวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นวันเริ่มต้นเข้ารับตำแหน่ง

ด้วยเหตุนี้ ผู้ถูกร้องจึงดำรงนายกรัฐมนตรีตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญ 2560 นับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 ถึงวันที่ 24 ส.ค. 2565 ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังไม่ครบกำหนดเวลาตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้อง จึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่ ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเสียงข้างมาก จึงวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่

หลังทราบผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเคารพต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ให้กำลังใจและความปรารถนาดีมาโดยตลอด และว่า "ผมจะต้องใช้เวลาอันมีค่าที่มีอยู่อย่างจำกัดของรัฐบาล ในการติดตามและผลักดันโครงการสำคัญต่างๆ มากมาย ที่ผมได้ริเริ่มเอาไว้ ให้เดินหน้าและเสร็จสมบูรณ์ สร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับบ้านเมือง และสร้างอนาคตให้กับลูกหลานของเรา โดยผมจะใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด และใช้ศักยภาพของผมอย่างเต็มที่ มุ่งมั่นในภารกิจการพลิกโฉมประเทศ ตามกลยุทธ์ 3 แกน ที่ผมได้เคยกล่าวไว้ ให้สำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด”

ด้านพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ออกแถลงการณ์ต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า แม้ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีสิทธิดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไปได้ แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคงมิใช่เป็นการฟอกขาวให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่า ภาพจำของประชาชนที่มีต่อตัวนายกฯ คือ ผู้ที่พยายามจะสืบทอดอำนาจทุกวิถีทาง การที่จะอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้อยู่ในอำนาจได้ต่อไป จึงมีแต่ความว่างเปล่าในสายตาของประชาชน

2.รวบเครือข่ายอาหารเสริมผสมสารอันตราย "นารา เครปกะเทย" โดนด้วย เจ้าตัวโอด ตั้งแต่โดน ม.112 ชีวิตแย่ ขอโทษรู้สึกผิดแล้ว ขอโอกาสทำมาหากิน!


เมื่อวันที่ 27 ก.ย.) พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. ได้นำทีมผู้เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงผลการจับกุมเครือข่ายผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 (2-ไดเฟนิลเมทิลโพโรลิดีน) หลังเปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 7 จุดในพื้นที่ จ.ราชบุรี จ.มหาสารคาม จ.พระนครศรีอยุธยา

โดยสามารถจับกุมนายอนิวัต ประทุมถิ่น หรือ "นารา เครปกะเทย" อายุ 23 ปี เน็ตไอดอลชื่อดัง นายเมธากร จันทวงศ์ อายุ 39 ปี น.ส.นิชกานต์ แก้วมีสี อายุ 28 ปี 3 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 (2-ไดเฟนิลเมทิลโพโรลิดีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำทางการค้า”

พ.ต.อ.เนติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากก่อนหน้าได้มีการนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่จำหน่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เช่น เฟซบุ๊ก , ติ๊กต็อก และไลน์ มาทำการสุ่มตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์
การแพทย์ ก่อนพบว่า ผลิตภัณฑ์ “ชาร์มาร์ กลูต้า” มีส่วนผสมของสารวัตถุออกฤทธิ์ไดเฟนิลเมทิลไพโรลิดีน (desoxy-D2PM) ซึ่งจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฯ พ.ศ. 2565 จึงสืบสวนขยายผลจนทราบว่า บริษัท ชาร์มาร์เพอร์เฟค จำกัด ของ น.ส.นิชกานต์ ได้ว่าจ้างให้โรงงานสิรินดา คอสเมติกส์ ผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขึ้นมา ก่อนว่าจ้างให้นายอนิวัต หรือนารา เป็นอินฟลูเอนเซอร์หลักในการโฆษณาและขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ส่วนเงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าจะถูกโอนเข้าสู่บัญชีธนาคารของนายเมธากร ซึ่งเป็นญาติของ น.ส.นิชกานต์ จึงรวบรวมพยานหลักฐานจนนำมาสู่การจับกุมดังกล่าว

พ.ต.อ.เนติ กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 3 รายให้การปฏิเสธ แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้หนักใจ เนื่องจากมั่นใจในพยานหลักฐานที่มีอยู่ และว่า การที่นายอนิวัต หรือนารา ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับขั้นตอนหรือกระบวนการผลิต เป็นเพียงอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ถูกจ้างมาทำการโฆษณาหรือการตลาด เมื่อเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่อสังคมได้

ด้าน นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รอง เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า สาร 2-ไดเฟนนิลเมทิลไพโรลิดีน เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ซึ่งช่วงหลังมักถูกตรวจพบว่า มีโรงงานผู้ผลิตลักลอบนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มมากขึ้นเหมือนไซบูทรามีน ซึ่งอันตรายจากการใช้สารตัวนี้จะมีอาการประสาทหลอน หวาดระแวง หรือมีพฤติกรรมรุนแรง ม่านตาขยาย และเกิดภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติได้ ส่วนไซบูทรามีน จะมีอาการตั้งแต่ท้องผูก ปากแห้ง นอนไม่หลับ คลื่นไส้ หลอดเลือดขยาย ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น สับสน อ่อนแรง ปวดหัว ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

วันต่อมา (28 ก.ย.) นารา เครปกะเทย ได้ออกมาไลฟ์สดพร้อมร้องไห้ โดยยืนยันว่า ตนเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์กลูต้าชาร์มาร์ และว่า วันที่เซ็นสัญญาตนดูเอกสารการผลิต ซึ่งเอกสารที่เจ้าของแบรนด์มีอยู่ อย.ให้ผ่านเรียบร้อย จึงมั่นใจว่าปลอดภัย จึงตัดสินใจรับเป็นพรีเซ็นเตอร์

"วันที่ตำรวจมารวบที่บ้าน หนูตกใจมาก เราก็คิดว่า เขามารวบเราเรื่องอะไร ตำรวจก็ยังไม่ถาม กระทั่งเขาก็บอกให้เราว่า กลูตาตัวนี้มีสารตัวนี้ๆ นะ เราก็ตกใจว่ามันมีได้อย่างไร เราเป็นพรีเซ็นเตอร์มาตั้งนานแล้ว จนสิ้นเดือน ก.ย.จะหมดสัญญาแล้ว 6 เดือน ล็อต 1-3 ไม่มีปัญหา ซึ่งการผลิตนาราไม่ทราบว่าเจ้าของแบรนด์คุยกับโรงงานอย่างไร ไม่รู้ว่าสูตรเขาคืออะไร เรามีหน้าที่ขาย มีหน้าที่โปรโมต เพราะหนูเป็นพรีเซ็นเตอร์ หนูจะทำยังไงให้คนเขามาซื้อ...”

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากนาราจะไลฟ์สดและร้องไห้ตลอดเวลาแล้ว ตอนหนึ่งยังได้พูดถึงกรณีที่ตนโดนคดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 ด้วย โดยบอกว่า ตั้งแต่โดนคดี 112 มีแต่คนบอกว่าไม่รอดแน่ เพราะวงในบอกมาว่าจะต้องเข้าคุก ...คนพูดกรอกหูว่าหนูไม่รอดแน่ เขาเอามึงแน่ ตนนอนไม่หลับมา 5 วันแล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องโดนอะไรอีก

นารา ยังกล่าวระหว่างไลฟ์อีกว่า "วันนี้ทำให้หนูรู้เลยว่า 112 ที่หนูโดน กระทบกับหนูหลายอย่างมาก หนูเลยอยากจะขอโอกาสจากผู้ใหญ่ หนูขอคุณอานนท์ กลิ่นแก้ว (แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส.) ท่านศรีสุวรรณ (จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย) ที่ฟ้องหนูมา ถ้าหนูทำอะไรไม่ดี หรือทำให้หนูขัดใจท่าน หนูขอโทษไว้ ณ ที่นี้ ในวันที่หนูไลฟ์สด หรือในวันที่หนูคิดว่าผิดพลาดในสายตาผู้ใหญ่ วันที่หนูเฟียสหรืออะไรก็ตาม หนูขอโทษ ณ ที่นี้ ท่านผู้ใหญ่คนไหนที่จะทำร้ายอะไรหนูอีก หนูขอโอกาสให้หนูได้มีช่องทางในการทำมาหากิน หนูรู้สึกผิดหมดแล้วทุกอย่าง ทุกอย่างที่หนูทำไปหนูไม่เคยคิดร้ายกับใคร หนูไม่เคยคิดที่จะฆ่าใคร ทุกเรื่องทุกราวที่หนูมีส่วนเกี่ยวข้อง หนูขอสัญญาและสาบาน หนูขอโอกาสจากพวกท่าน อย่าได้ทำอะไรให้หนู ... อีกเลย หนูขอให้ของของหนูได้กลับมาเลี้ยงชีพตัวเองต่อ...."

วันต่อมา (29 ก.ย.) นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันฯ (ศปปส.) ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.หญิง ณภัชนันท์ กวยรักษา ผกก.สอบสวน บก.ปอท. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายอนิวัต ประทุมถิ่น หรือ “นารา เครปกะเทย” ที่ออกมาไลฟ์สดชี้แจงกรณีถูกตำรวจ บก.ปคบ.จับกุมคดีร่วมขบวนการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมวัตถุออกฤทธิ์ แต่มีบางช่วงได้พูดพาดพิงสถาบันฯ

นายอานนท์ กล่าวว่า นารา เครปกระเทย ร้องห่มร้องไห้ไลฟ์สด มีการเอ่ยชื่อตนและคุณศรีสุวรรณ ตรงนั้นไม่ได้ผิดอะไร เพราะคดีนั้นเป็นความผิดตาม ป.อาญามาตรา 112 ไปแล้ว ไม่สามารถยอมความ หรือถอนแจ้งความได้ สังคมอาจจะให้อภัยคุณ แต่กฎหมายก็คือกฎหมาย และในไลฟ์สดบางช่วงบางตอนของนารา มีการกล่าวพาดพิงไปถึงสถาบันฯ อีก เราจึงรวบรวมพยานหลักฐานการไลฟ์สดของเขามาให้พนักงานสอบสวน บก.ปอท.ตรวจสอบ ถ้าพบว่ากระทำผิด ก็ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

3. “สุวัจน์-กรณ์” ผนึกกำลังรีแบรนด์พรรคใช้ชื่อ “ชาติพัฒนากล้า” เชี่อการรวมคน 2 พรรค ช่วยขยายฐานให้เข้มแข็งขึ้น!



เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ได้มีการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคชาติพัฒนา มีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ ส.ส.และหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา เป็นประธานการประชุม สำหรับการประชุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการแถลงข่าวความร่วมมือในการทำงานทางการเมือง และด้านเศรษฐกิจระหว่าง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา และนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ซึ่งในที่สุด ที่ประชุมใหญ่ฯ ครั้งนี้ ได้เปลี่ยนชื่อพรรคใหม่เป็น “พรรคชาติพัฒนากล้า” พร้อมลงมติให้นายกรณ์ จาติกวนิช สมาชิกพรรคคนใหม่ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค

ทั้งนี้ นายกรณ์ ให้สัมภาษณ์หลังประชุมว่า วันนี้เป็นที่ชัดเจนทางกฎหมายแล้วว่า ทีมผู้บริหารและผู้สมัครของพวกเราทุกคนได้มาผนึกกำลังอยู่ร่วมกันที่ “พรรคชาติพัฒนากล้า” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายกรณ์ กล่าวอีกว่า “ขอให้เชื่อมั่นในพลังของพวกเราทุกคน ที่มีเจตนาเข้ามาทำงานแก้ปัญหาบ้านเมือง ด้วยแนวทางการเมืองสร้างสรรค์ ยึดหลักปฏิบัตินิยม แก้เศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นแนวทางหลักในการทำงานของพรรคตั้งแต่วันแรกที่ทุกคนมาร่วมทำงานการเมืองร่วมกัน และวันนี้เรามั่นใจว่าเรามีความเข้มแข็ง มีโอกาสที่จะเดินทางไปสู่จุดหมายที่วางไว้มากขึ้น”

นายกรณ์ ยังย้ำด้วยว่า จิตวิญญาณในการทำงานการเมืองยังคงเหมือนเดิม ความตั้งใจ และความมุ่งมั่นทุกอย่างของตนและทีมของเรายังคงมุ่งทำงานเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมพลังทุกกลุ่ม ทุกวัย มืออาชีพแต่ละด้านมาช่วยกัน และวันนี้ต้องยอมรับว่า เรามีพลังมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จะง่ายต่อการทำให้งานสำเร็จ จึงขอให้มั่นใจว่า เราเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงต่อไปอย่างเต็มกำลังต่อไปอย่างแน่นอน

ด้านนายสุวัจน์ ประธานพรรคชาติพัฒนา ได้ร่วมแถลงหลังประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคว่า มติที่ประชุมเห็นชอบให้นายกรณ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ ตนได้แจ้งที่ประชุมว่า นายกรณ์ จะช่วยงานของพรรคด้านเศรษฐกิจที่เป็นวิกฤติของประเทศพร้อมกับคณะ รวม 80 คน ทำให้พรรคชาติพัฒนามั่นคงในด้านเศรษฐกิจ นอกจากนั้น มติที่ประชุมเห็นชอบกับการรีแบรนด์พรรคตามที่ประชุมของคณะกรรมการบริหาร ที่มีนายเทวัญ เป็นประธานการประชุมนำเสนอ และเปลี่ยนชื่อพรรค เนื่องจากสมาชิกเห็นว่า มีความซ้ำซ้อนและสับสนกับพรรคการเมืองหลายพรรค จึงต้องการสร้างความชัดเจน

นายสุวัจน์ กล่าวด้วยว่า “พรรคชาติพัฒนาความหมายดี คงเอาไว้ แต่ต้องการปรับปรุงให้ชัดเจน แต่คงความมุ่งหมายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไว้ ทั้งนี้มีคนเสนอชื่อหลากหลาย ทั้งชาติพัฒนาเศรษฐกิจ กล้าชาติพัฒนา พัฒนากล้า ชาติพัฒนาไทย กล้าพัฒนา ชาติกล้า พัฒนาทั้งชาติ หรือพัฒนาตลอดชาติ และมีการลงมติชื่อที่ได้คะแนนสูงสุด คือ พรรคชาติพัฒนากล้า ได้คะแนน 259 คน จากผู้ร่วมประชุมกว่า 300 คน จึงเป็นมติเอกฉันท์ให้รีแบรนด์พรรค”

นายสุวัจน์ ยังเชื่อด้วยว่า การรวมบุคลากรของ 2 พรรคเข้าด้วยกัน จะขยายฐานพรรคชาติพัฒนากล้า ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อถามถึงการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา นายสุวัจน์ กล่าวว่า การประชุมวันนี้ ยังเป็นไปตามโครงสร้าง คือ นายเทวัญเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนนายกรณ์ เป็นกรรมการบริหารพรรค แต่อนาคตจะมีโอกาสหรือไม่ เป็นเรื่องของอนาคต ขณะที่การกำหนดบุคคลที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น ยังไม่ได้หารือ

4. ที่ประชุม ก.ตร. ไฟเขียวคืนตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ให้ "พล.ต.อ.วิระชัย" ก่อนเกษียณ 4 วัน เหตุการดำเนินการทางวินัยไม่แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด!



เมื่อวันที่ 26 ก.ย. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งมีคณะกรรมการ ก.ตร.และคณะอนุกรรมการ ก.ตร.วินัย คณะอนุกรรมการ ก.ตร. ร้องทุกข์ และคณะอนุกรรมการ ก.ตร. บริหารทรัพยากรบุคคล เข้าร่วมประชุมด้วย

หลังประชุม พล.อ ประวิตร เผยว่า ที่ประชุม ก.ตร. ได้คืนตำแหน่งให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ที่ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและถูกสำรองราชการก่อนหน้านี้ ให้กลับเข้ารับตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ด้าน พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า วันนี้เป็นการประชุม ก.ตร.นัดสุดท้ายในปีงบประมาณ 2565 โดยคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจด้านวินัย อุทธรณ์ ร้องทุกข์ และบริหารทรัพยากรบุคคล ได้รายงานข้อมูลการกระทำผิดวินัยร้ายแรงของข้าราชการตำรวจ เดือน ก.ย.65 มีข้าราชการตำรวจถูกลงโทษทั้งสิ้น จำนวน 27 นาย ซึ่งเป็นการไล่ออกจากราชการ จำนวน 19 นาย และปลดออกจากราชการ จำนวน 8 ราย

พล.ต.ต.ยิ่งยศ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ย.65 มีข้าราชการตำรวจถูกลงโทษทั้งสิ้น 215 นาย เป็นการไล่ออกจากราชการ 169 นาย และปลดออกจากราชการ 46 นาย จะเห็นว่าการลงโทษข้าราชการตำรวจ ถ้ากระทำผิดวินัยจะดำเนินการด้วยความรวดเร็ว คาดว่าแนวโน้มที่ข้าราชการตำรวจจะกระทำผิดคงจะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมีความเข้มข้นในการกวดขันทางวินัย และมี พ.ร.บ.ตำรวจใหม่ รวมถึงกฎหมายลูกอีกหลายฉบับที่จะมาดูแลข้าราชการตำรวจ ทั้งนี้ ทาง พล.อ.ประวิตร ได้เร่งรัดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกกฎหมายลูกมารองรับให้ทันตามเวลา เพื่อรองรับ พ.ร.บ.ตำรวจใหม่ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ ก็เร่งรัดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดูแลสิทธิประโยชน์เรื่องสวัสดิการของตำรวจ

โฆษก ตร. กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม ก.ตร. ได้มีการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ คือ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ซึ่งเดิมเป็นสำรองราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้มีผลกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งผ่าน ก.ตร.เป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อการดำเนินการทางวินัยยังไม่แล้วเสร็จ และเกินห้วงระยะเวลาที่กำหนด จึงให้สิทธิประโยชน์ในการกลับเข้ารับราชการเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีคำสั่งไปแล้วเมื่อวันที่ 14 ก.ย.2565 เหตุผลเนื่องจากการพิจารณาสั่งการทางวินัยยังไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 87/2 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 จึงให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา กลับคืนสู่ฐานะเดิมก่อน และให้ถือว่าไม่เป็นผู้อยู่ระหว่างการสอบสวนนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2565 เป็นต้นไป จนกว่าการพิจารณาสั่งการจะเสร็จสิ้นและมีคำสั่ง

อนึ่ง การคืนตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ให้ พล.ต.อ.วิระชัย ในครั้งนี้ มีขึ้นก่อนที่ พล.ต.อ.วิระชัย จะเกษียณอายุราชการ 4 วัน คือ วันที่ 30 ก.ย.2565 ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.วิระชัย ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีบันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ หลังจากนั้นได้มีการส่งต่อคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวให้กับบุคคลที่สาม และภายหลังปรากฏว่าได้มีผู้เผยแพร่คลิปเสียงสนทนาดังกล่าวต่อสื่อมวลชนหลายแขนง และกรณีให้ข่าวสัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา

5. “บิ๊กตู่” ห่วง ปชช.ได้รับผลกระทบน้ำท่วม ยืนยัน รบ.พร้อมเยียวยาทุกครัวเรือนอย่างรวดเร็ว-ทั่วถึง!



อิทธิพลจากพายุโนรูที่เคลื่อนเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคอีสาน โดยเฉพาะ จ.อุบลราชธานี และ จ.อำนาจเจริญ ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่พายุเข้าถล่ม ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในเวลาต่อมาได้แก่ จ.สุรินทร์ มหาสารคาม ขอนแก่น ยโสธร ศรีสะเกษ นครราชสีมา ชัยภูมิ ฯลฯ

สถานการณ์น้ำท่วม ไม่เพียงส่งผลกระทบให้ต้องมีการอพยพประชาชนในพื้นที่ เพื่อไปอยู่ที่สูง แต่ยังสร้างความเสียหายให้ถนนหนทางและพืชผลทางการเกษตรจำนวนมาก ขณะที่ จ.ขอนแก่น มีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์น้ำท่วม 4 ราย

ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ของพายุโนรู (29 ก.ย.) ว่า แต่ละจังหวัดได้เตรียมความพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงสถานการณ์ เพื่อให้เกิดการตื่นตัว รวมทั้งได้เตรียมอุปกรณ์อพยพชาวบ้าน รวมถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ขณะที่กรมชลประทานได้เตรียมทั้งเครื่องสูบน้ำ-ผลักดันน้ำ ติดตั้งเพิ่มเร่งระบายน้ำ และรถอาหาร เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ

นายอนุชา กล่าวอีกครั้ง (30 ก.ย.) ว่า “นายกฯ ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมฝากความห่วงใยไปยังประชาชนที่ได้รับผลกระทบและประสบปัญหาอยู่จากสถานการณ์ดังกล่าว รวมทั้งขอขอบคุณไปยังหน่วยงานทุกภาคส่วน จิตอาสา มูลนิธิ ตลอดจนภาคธุรกิจเอกชน ที่ต่างทุ่มเทเสียสละเพื่อประชาชนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย พร้อมยืนยันความพร้อมของรัฐบาลที่จะดูแล ให้ความช่วยเหลือ และเยียวยาทุกครัวเรือนอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และครอบคลุมมากที่สุด”

ขณะที่นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวว่า คาดว่าอิทธิพลจากพายุโนรูจะมีผลกระทบในพื้นที่ต่างๆ 38 จังหวัด ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ซึ่ง กอนช.ได้เตรียมการมาตั้งแต่ต้นฤดูกาล 13 มาตรการรับมือฤดูฝนไว้ล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม เพื่อให้ข้อมูลหน่วยงานได้เตรียมการในระดับพื้นที่

นายสุรสีห์ ยังยืนยันด้วยว่า ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลที่หลายฝ่ายห่วงกังวลว่า จะซ้ำรอยเหตุการณ์ปี 2554 นั้น ขอเน้นย้ำว่า แม้ว่าอาจได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ แต่จะไม่เหมือนกับปี 2554

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศว่า พายุดีเปรสชันโนรู ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณ อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง ส่งผลให้ยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งทั่วทุกภาค ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากต่อไปอีก 1 วัน

ล่าสุด (1 ต.ค.) กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้สรุปสถานการณ์น้ำ โดยได้มีการแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก และน้ำท่วมขัง ในหลายพื้นที่ มากกว่า 40 จังหวัด โดยระบุว่า ไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ นอกจากนี้ยังประกาศแจ้งเตือนน้ำหลาก-ดินถล่ม และพื้นที่ที่อาจจะเกิด น้ำท่วม และได้รับผลกระทบจากอิทธิพล พายุโนรู

โดยพื้นที่เฝ้าระวัง ที่จะเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก และน้ำท่วมขัง ได้แก่ 1.ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน ตาก แพร่ กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี และเพชรบูรณ์ 2.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี 3.ภาคกลาง จ.สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 4.ภาคตะวันออก จ.นครนายก สระแก้ว ระยอง จันทบุรี และตราด 5.ภาคใต้ จ.ระนอง พังงา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช และนราธิวาส

นอกจากนี้ กอนช. ยังได้ประกาศแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่ง บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขา ของแม่น้ำสาย แม่น้ำกก แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แม่น้ำแควน้อย แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย แม่น้ำเลย แม่น้ำชี ลำน้ำเชิญ ลำน้ำพรม ลำน้ำพอง แม่น้ำมูล แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำตราด แม่น้ำสายหลัก น้ำน้อยถึงปกติ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนแม่น้ำโขง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

และให้เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่มีปริมาตรน้ำสูงกว่าเกณฑ์ปฏิบัติการเก็บกักน้ำสูงสุด 19 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำแม่งัดสมบูรณ์ชล แม่มอก บึงบอระเพ็ด ทับเสลา กระเสียว ห้วยหลวง จุฬาภรณ์ อุบลรัตน์ ลำตะคอง ลำพระเพลิง มูลบน ลำแซะ ลำนางรอง สิรินธร ขุนด่านปราการชล คลองสียัด บางพระ หนองปลาไหล และนฤบดินทรจินดา


กำลังโหลดความคิดเห็น