รายงานพิเศษ
16 กันยายน 2565 ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณริมแม่น้ำน้อย พื้นที่นอกคันกั้นน้ำ ใน อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รวมตัวกันไปประท้วงที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาผักไห่ เพื่อขอให้ทางกรมชลประทาน ผันน้ำจากพื้นที่น้ำท่วมริมแม่น้ำน้อย เข้าไปยังทุ่งป่าโมกข์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามในแนวคันกั้นน้ำ
หลังผ่านกำหนดที่เคยมีการสื่อสารกับชาวบ้านไว้ว่า การผันน้ำเข้าทุ่งจะเกิดขึ้นหลังพอนวันที่ 15 กันยายน ทำให้ทางชลประทานต้องพยายามชี้แจงว่า การผันน้ำเข้าทุ่ง จำเป็นต้องชะลอออกไปก่อน เพื่อให้มีพื้นที่รับน้ำหากมีพายุเข้าประเทศไทยในช่วงต้นเดือนตุลาคม
เหตุการณ์นี้ เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่า แม้หน่วยงานบริหารจัดการน้ำของรัฐ จะพยายามจัดการน้ำด้วยการมองภาพใหญ่ของสถานการณ์ทั้งหมด ก่อนกำหนดเป็นแผนการทำงาน แต่ข้อมูลและความเข้าใจยังส่งไปไม่ถึงประชาชนในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมอยู่
วันเดียวกัน 16 กันยายน 2565 กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาขึ้น เพื่อให้เข้ามาเป็นทีมที่ทำหน้าที่วางแผนและตัดสินใจในการจัดการน้ำในช่วงนี้
หลังมีข้อมูลคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ที่ในช่วงต้นเดือนตุลาคม จะมีพายุพัดผ่านประเทศไทยตามรูปแบบที่เกิดขึ้นเกือบทุกปี ในขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ จ.นครสวรรค์ เหนือเขื่อนเจ้าพระยา ยังคงเพิ่มสูงขึ้นจากน้ำเหนือที่ไหลลงมาเติม
นั่นจึงจำเป็นต้องให้ศูนย์ฯ ส่วนหน้า ซึ่งเป็นทีมจากส่วนกลาง ที่มีความคล่องตัวกว่ากรมชลประทานเพียงหน่วยงานเดียว ทำหน้าที่ประเมินและวางแผนการระบายน้ำ พร้อมประสานงานกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำงาน ซึ่งรวมถึงการลงไปทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย
นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์และติดตามถานการณ์น้ำ สทนช. ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯส่วนหน้า เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ว่า ในวันที่ 24 กันยายนนี้ ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาที่ จ.นครสวรรค์ จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะทำให้เขื่อนเจ้าพระยาต้องเพิ่มการระบายน้ำจากวันนี้ที่ระบายอยู่ประมาณ 1,950 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็นมากกว่า 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
เพราะแผนในภาพใหญ่คือการทยอยพร่องน้ำออกจากแม่น้ำเจ้าพระยาให้ถูกผลักดันลงทะเลไปให้มากที่สุดก่อน เพื่อให้เหลือพื้นที่รับน้ำเพียงพอที่จะรองรับพายุที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป เช่น การทำให้น้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีอยู่ไม่เกิน 40% ของความจุเขื่อน ไม่ให้มีน้ำไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่เกาะเมืองพระนครศรีอยุธยามากเกินไปในช่วงหลังจากนี้ และการเว้นพื้นที่ทุ่งรับน้ำไว้สำหรับรอรับน้ำในช่วงพีกของสถานการณ์ในปีนี้
ซึ่งหากเป็นไปตามแผนนี้ ก็จะต้องไปทำความเข้าใจกับประชาชนที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ อย่างที่ อ.ผักไห่ อ.บางบาล อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา หรือที่ อ.ป่าโมกข์ จ.อ่างทอง ด้วย แต่ที่ผ่านมา ก็ใช้วิธีการปล่อยน้ำแบบขั้นบันไดมาตลอด ทำให้น้ำทยอยผ่านลงไป และพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ ไม่ถูกท่วมสูงมากจนประชาชนใช้ชีวิตลำบากเกินไป
"การมีศูนย์ส่วนหน้า จะทำให้เราทำงานได้คล่องตัวขึ้น เพราะเราสามารถใช้อำนาจดึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยงานได้ตามโครงสร้าง เช่น ประสานให้มหาดไทย ไปช่วยทำความเข้าใจประชาชนริมน้ำที่จะได้รับผลกระทบ ประสานหน่วยทหารไห้ช่วยในการขนย้ายสิ่งของหรือช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ หรือประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดทำสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ประชาชน อย่างเส้นทางสัญจร เรือ สุขาลอยน้ำ และหลังจากนี้ยังสามารถใช้กลไกของกรรมการลุ่มน้ำ เชิญตัวแทนภาคประชาชนจากลุ่มน้ำต่างๆมาร่วมเสนอให้เห็นความเดือดร้อน รวมทั้งรับฟังข้อเสนอแนวทางแก้ปัญหาได้อีกด้วย" นายฐนโนจน์ กล่าว
ด้านนายนรเศรษฐ์ ฤกษ์สงเคราะห์ ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาผักไห่ กรมชลประทาน ซึ่งเป็นจุดที่มีการประท้วง บอกว่า ได้พยายามอธิบายให้ประชาชนในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำเข้าใจถึงภาพรวมที่ต้องเร่งพร่องน้ำในทางตรง คือ ผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาไปก่อนให้มากที่สุด เพราะเป็นทางที่ตรง กว้าง และเร็วที่สุดที่จะส่งน้ำลงทะเล ดีกว่าการรับผันน้ำลงมาในทุ่งป่าโมกข์ เพราะจะนำน้ำออกจากทุ่งไม่ได้ ทำให้ไม่เหลือพื้นที่รับน้ำหากเกิดพายุ
แต่ก็ยอมรับว่า ความเดือดร้อนของประชาชนมีอยู่จริง ทำให้ยังมีปัญหาด้านการสื่อสาร ประชาชนบางส่วนยังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงเชื่อว่า การมีศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้ามาช่วยประสานงานเพื่อบูรณาการหลายหน่วยงานให้ทำงานไปด้วยกัน จะช่วยแก้ปัญหานี้ลงไปได้ และทำให้สถานการณ์น้ำท่วมในลุ่มน้ำภาคกลางไม่หนักเหมือนปี 2554 แน่นอน
จากแผนใหญ่ที่หน่วยงานบริหารจัดการน้ำกำลังพยายามดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ทั้งการพร่องน้ำลงทะเล เหลือพื้นที่รับน้ำจากพายุที่อาจเกิดขึ้น และการบูรณาการหลายหน่วยงานเข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่า มีเป้าหมายเพื่อทำให้สถานการณ์ในช่วงเวลาที่คาดการณ์ว่าจะเป็นช่วงพีกที่สุดของปี คือ ต้นเดือนตุลาคม ไม่มีพื้นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มมากจนเกินไป
รวมทั้งมีเป้าหมายเพื่อไม่ให้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเดือนตุลาคม ไหลผ่านจุดชี้วัดสำคัญที่สถานีบางไทร เกินกว่า 3000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีด้วย ซึ่งหากทำได้ตามเป้าหมายนี้ พื้นที่กรุงเทพมหานคร จะไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือ


