รายงานพิเศษ
“เส้นเลือดฝอย หรือ ระบบการระบายน้ำในคลองต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องโฟกัสก่อนในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าน้ำท่วม กทม. ในขณะนี้ เพราะด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีลักษณะแบน ทำให้ กทม.ระบายน้ำได้ช้า ไม่สามารถส่งน้ำเข้าไปสู่เส้นเลือดใหญ่ หรือ อุโมงค์ยักษ์ที่จะระบายน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้ ดังนั้นหากมีคนบอกว่า ต้องไปดูที่ระบบใหญ่ หรือ เส้นเลือดใหญ่ด้วย เช่น ต้องสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่เพิ่ม แม้จะเป็นคำแนะนำที่ถูกต้อง แต่นั่นเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวไม่ใช่การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในเวลานี้ ซึ่ง กทม. กำลังบาดเจ็บอย่างหนัก จากปริมาณน้ำฝนที่มากเป็นพิเศษ”
นี่เป็นความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ เพราะมีหน้าที่ให้ข้อมูลและวิเคราะห์แนวทางการบริหารจัดการน้ำให้กับหน่วยงานของรัฐบาลโดยตรง เขาตอบคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับ กทม.จนต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วมหนักหลายจุดในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาทั้งที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือ
“กทม. ไม่เคยเจอฝนหนักแบบนี้มาก่อน เพราะครั้งนี้มีฝนตกในปริมาณ 100 มิลลิเมตรขึ้นไปติดต่อกันถึง 3 วัน”
ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ ยืนยันว่า ความเห็นของเขาไม่ได้ปกป้องการทำงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้ แต่ต้องการให้ข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อให้นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ดังนั้น เขาจึงนำข้อมูลเชิงสถิติมาอ้างอิง โดยมีช่วงเวลาสำคัญอยู่ที่วันที่ 6 – 8 กันยายน 2565
6 กันยายน 2565 มีฝนตกหนักที่บริเวณรอยต่อระหว่าง กทม. กับ จ.ปทุมธานี ที่หลักหก หลักสี่ ดอนเมือง ไปจนถึงเขตลาดพร้าว วัดปริมาณน้ำฝนที่สถานีตรวจวัดฟิวเจอรพาร์ค รังสิต ได้ 150 มิลลิเมตร ส่งผลให้น้ำในคลองรังสิตเต็มและล้นตลิ่ง โดยมีระดับน้ำสูงขึ้น 1.50 เมตร ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และเป็นวันที่ผู้ว่าฯ กทม.ไปที่ประตูระบายน้ำ เปรม-ใต้ ซึ่งเป็นต้นทางของคลองเปรมประชากรในจังหวัดปทุมธานี เพื่อหาทางผลักดันน้ำจากต้นคลองเปรมประชากร ออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนจะมาเติมในคลองเปรมประชากร .... ข้อมูลนี้จะมีผลต่อการระบายน้ำ
7 กันยายน 2565 มีฝนตกขนาดมากกว่า 100 มิลลิเมตร บริเวณรอยต่อ กทม. และ จ.สมุทรปราการ คือ ที่เขตลาดกระบัง ไปถึง อ.บางเสาธง และ อ.บางบ่อ ทำให้น้ำในเขตลาดกระบังเต็มทันที เนื่องจากไม่สามารถระบายน้ำลงไปทางสมุทรปราการได้ ... ข้อมูลนี้จะมีผลต่อการระบายน้ำเช่นกัน
8 กันยายน 2565 ฝนตกช่วงกลางวันในปริมาณมากกว่า 100 มิลลิเมตรเช่นเดิม ที่รังสิต ดอนเมือง ก่อนจะไล่เข้ามาที่ใจกลาง กทม. และไล่ต่อไปยังเขตลาดกระบังอีกรอบ
จากฝนที่ตกหนักทั้ง 3 วัน ทำให้พื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ต้องรับน้ำฝนในปริมาณมากเกินกว่าศักยภาพการระบายน้ำถึง 3 วันติดต่อกัน และแม้ว่าในวันที่ 9 กันยายน ฝนจะเบาบางลงไป แต่ก็กลับมาตกหนักอีกครั้งในวันเสาร์ที่ 10 กันยายน โดยไปตกหนักอยู่ในพื้นที่เดิม คือ ดอนเมือง ลาดกระบัง ของ กทม. และ อ.บางเสาธง อ.บางบ่อ ของ จ.สมุทรปราการ
กทม. เจ็บหนัก เพราะน้ำท่วมทางระบายน้ำออกทั้งฝั่ง เหนือ – ใต้
เมื่อเห็นสถานการณ์แล้ว ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ อธิบายต่อเพื่อให้เห็นถึงเส้นทางการระบายน้ำออกจาก กทม. ซึ่งมีเส้นทางหลักอยู่ 3 เส้นทาง
ทางที่ 1 ทางเหนือของ กทม. ระบายน้ำย้อนกลับออกไปทางคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ... จากสถานการณ์ในช่วงนี้ จะเห็นว่า คลองรังสิตประยูรศักดิ์มีน้ำเต็มแล้ว กทม.จึงไม่สามารถใช้เป็นเส้นทางระบายน้ำออกไปได้ หรือหากจะระบายน้ำออกไป ต้องได้รับความร่วมมือจาก จ.ปทุมธานี เพื่อนำเครื่องผลักดันน้ำไปดันน้ำจากคลองรังสิตฯ ไปลงที่แม่น้ำเจ้าพระยาให้ได้ก่อน
“ปัญหา คือ ปทุมธานี สามารถประกาศเป็นเขตภัยพิบัติได้หรือยัง นำงบประมาณมาติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำได้หรือไม่” ผู้เชี่ยวชาญ ตั้งคำถาม
ทางที่ 2 ทางระบายน้ำลงฝั่งใต้ ระบายน้ำออกไปทาง อ.บางปู จ.สมุทรปราการ เพื่อส่งน้ำลงสู่อ่าวไทย ซึ่งเป็นทางที่ตรงและมีประสิทธิภาพที่สุด ... แต่จากสถานการณ์นี้ ก็จะเห็นอีกว่า มีน้ำท่วมเต็มอยู่ที่ อ.บางเสาธง และ อ.บางบ่อ ถ้าจะใช้เส้นทางนี้ ก็ต้องประสานทาง จ.สมุทรปราการ ให้ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำลงทะเลให้เร็วขึ้นอีกเช่นกัน
ทางที่ 3 เส้นทางระบายน้ำแนวขวางของ กทม. เส้นทางนี้มีคลองใน กทม.หลายคลองที่เชื่อมต่อกัน ไล่ลงมาตั้งแต่ คลองหกวา คลองลาดพร้าว คลองบางเขน คลองบางซื่อ คลองแสนแสบ และคลองประเวศบุรีรมย์
ทางนี้มีทางออกของน้ำที่สำคัญ 2 ทางย่อย คือ
1. ตัดน้ำจากคลองแสนแสบ ออกอุโมงค์พระราม 9 ไปลงแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็มีปัญหาเดิมๆ คือ น้ำที่ท่วมอยู่ ไส่มสารถเข้าสู่ระบบเพื่อส่งมาถึงอุโมงค์ยักษ์ได้ เนื่องจากมีภูมิประเทศ “แบน”
ถ้าจะใช้เส้นทางนี้ ต้องติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำจำนวนมาก เพื่อทำระบบ “ส่งต่อ” นำน้ำจากอีกจุดข้ามาลงอีกจุด เพื่อส่งน้ำเข้าระบบของอุโมงค์ยักษ์ให้ได้
2. ผันน้ำจากปลายคลองประเวศบุรีรมย์ ออกไปทางคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต เพื่อลงแม่น้ำบางปะกงที่ จ.ฉะเชิงเทรา แต่เส้นทางนี้ น้ำจะเดินทางได้ช้าอยู่แล้ว เพราะเป็ทางลาดเอียง หากเรียงลำดับความสูงของพื้นที่จากสูงมาต่ำ คือ บางปะกง - กทม. – แม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นการส่งน้ไออกไปทางบางปะกง จึงต้องใช้การสูบน้ำจากที่ตำไปที่สูง
“จากข้อมูลนี้ จะเห็นว่า ทางระบายน้ำเดิมที่มีประสิทธิภาพของ กทม. คือ การระบายน้ำไปที่คลองรังสิต และไปที่ฝั่ง จ.สมุทรปราการ แต่ทั้ง 2 ทาง กลับถูกน้ำท่วมจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักจนเต็มทั้งหมดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงกลายเป็นปัญใหญ่ที่ กทม.ไม่สามารถระบายน้ำออกไปโดยใช้เส้นทางเดิมได้เลย ส่วนพื้นที่ตรงกลางที่จะระบายออก จ.ฉะเชิงเทรา เป็นเส้นทางที่ทำได้ช้ามากอยู่แล้ว เพราะพื้นที่มีความลาดเอียง และ กทม.อยู่ต่ำกว่าแม่น้ำบางปะกง เราพบข้อมูลที่น่าสนใจมากว่า กทม. ได้พยายามระบายน้ำผ่านทางคลองประเวศบุรีรมย์ ออกไปที่คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิตแล้ว โดยใช้เวลาทั้งวัน มีระดับน้ำลดลงเพียง 20 เซนติเมตร แต่เมื่อฝนตกลงมาซ้ำในช่วเวลาหนึ่งที่ปริมาณน้ำฝน 80 มิลเมตร กลับทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นถึง 30 เซนติเมตร”
“ผมคิดว่า ทางแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งทำ คือ กทม.ต้องตามหาเครื่องผลักดันน้ำมาใช้โดยเร่งด่วน ซึ่งไม่แน่ใจว่า เครื่องผลักดันน้ำของ กทม.ที่มีอยู่เดิมยังใช้งานได้ยู่หรือไม่ เพราะหากจะส่งน้ำไปลงที่อุโมงค์พระราม 9 ให้ได้เร็ว จำได้ต้องอาศัยสูบหรือผลักน้ำที่ท่วมอยู่จากพื้นที่ลักษณะแบนๆ ไปเข้าสู่ระบบให้ได้ โดยใช้การส่งต่อเชื่อมโยงกันไปทีละจุด หรือที่เรียกว่า ฟีดเดอร์ เนื่องจากน้ำไหลลงไปเองไม่ได้
ในขณะเดียวกัน กทม.ก็จะต้องประสานขอความร่วมมือจาก จ.ปทุมธานี ช่วยผลักดันน้ำออกไปจากคลองรังสิตฯ และประสาน จ.สมุทรปราการ ช่วยผลักน้ำที่ อ.บางเสาธง และ อ.บางบ่อ ลงสู่ทะเลโดยเร็ว ซึ่งนี่อาจเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลกลางจะต้องช่วยเข้ามาประสาน ให้เกิดความร่วมมือระหว่างท้องถิ่นด้วย โดยเฉพาะการเปิดทางให้ท้องถิ่นสามารถใช้งบประมาณเพื่อเตรียมการ หรือใช้งบประมาณเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรอยต่อของท้องถิ่นให้ได้ เพราะที่ผ่านมา ท้องถิ่นอาจจะกังวลกับการใช้งบประมาณในลักษณะนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้งบประมาณ ทั้งที่ยังไม่สามารถประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ” ... ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำ กล่าวทิ้งท้าย


